🧥🧥🧥
พูดถึง King's Man ที่ผ่านมาสองภาค ภาคแรกได้รับทั้งคำชมกับความแปลกใหม่ไฮเทค และแอ็คชั่นที่ดุเดือด มาพร้อมกับรายได้มหาศาล พอมาภาคสองอาจจะได้รายได้ แต่คำชมน้อยลงเพราะขาดความแปลกใหม่ที่แตกต่างจากภาคแรก แต่ก็ยังดีพอที่จะไปต่อได้ พอมาภาคนี้ผู้กำกับและคนเขียนบทคงจะอยากพักตรงนั้นไว้ก่อน แล้วมาสร้างภาคแยกที่เป็นต้นกำเนิดขององค์กรนี้ออกมา ซึ่งถือว่าทำออกมาได้แตกต่างและมีจุดขาย


🧥🧥🧥
เรื่องราวย้อนไปในสมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 เมื่อโลกต้องพบกับกลุ่มมหาวายร้ายที่หมายจะก่อสงครามโลก บุรุษหนึ่งคนพร้อมลูกชายและทีม ได้จัดตั้งองค์กรลับในนาม The King's Man เพื่อปกป้องโลกให้พ้นจากเหล่าวายร้าย โดยการแทรกซึมไปตามองค์กรต่างๆ เพื่อสืบเสาะและหาทางหยุดเรื่องทุกอย่างก่อนที่มันจะเกิดขึ้น 


🧥🧥🧥
หนังเล่าเรื่องราวต่างจากสองภาคอย่างชัดเจน การเดินเรื่องจะค่อนข้างไปอย่างช้าๆ และเต็มไปด้วยรายละเอียดต่างๆ ซึ่งหนังเอาชื่อของบุคคลลในความเป็นจริงมาตีความเข้าไปใหม่ อาจจะเรียกว่าบิดเบือน แต่มันก็คือรสชาติความเป็นหนัง ซึ่งหนังเล่าถึงต้นกำเนิดของสงครามโลกครั้งที่ 1 โดยมีองค์กรวายร้ายเป็นตัวจุดชนวน ก็เลยต้องเอาเรื่องราวหลายๆ อย่างมาใส่รายละเอียดเข้าไปเพื่อให้เล่าได้อย่างสมเหตุสมผล บวกกับสไตล์การเล่าเรื่องแบบหนังสายลับอังกฤษโบราณที่ไม่ได้เน้นแอ็คชั่นไฮเทคแบบเดิม ซึ่งมันสร้างความแปลกใหม่ให้กับหนัง King's Man ภาคนี้อย่างชัดเจน


🧥🧥🧥
ซึ่งประวัติศาสตร์ต่างๆ นั้นถูกเอามาเป็นองค์ประกอบของเนื้อเรื่องแบบคร่าวๆ เท่านั้น แล้วเอาเรื่องราวของ King's Man ใส่เข้าไป ผสมผสานกันออกมา มันเลยกลายเป็นจุดที่ถ้าคนชอบเรื่องประวัติศาสตร์น่าจะอินกับตัวละครได้ไม่ยาก เพียงแต่ต้องมองเป็นการเสริมเติมแต่งของหนัง จะทำให้ดูหนังได้อย่างสนุกและมีอรรถรส เพราะเกร็ดประวัติศาสตร์ที่รู้มาจะถูดเอามายำใหญ่ใส่ไข่ใส่ลูกชิ้นเพิ่มได้อย่างสนุกสนาน


🧥🧥🧥
ฉากแอ็คชั่นรูปแบบแปลกๆ ต้องยกให้กับ King's Man มาตั้งแต่สองภาคก่อนหน้านี้แล้ว กับการต่อสู้แบบดุเด็ดเผ็ดมันส์ และการต่อสู้แบบที่ถูกออกแบบมาให้ดูแตกต่าง สองภาคที่ผ่านมาทำได้ดีมากๆ พอมาภาคนี้พวกอุปกรณ์ไฮเทคต่างๆ โดนตัดออกไปหมด เพราะนี่คือหนังสงครามโลกครั้งที่ 1 เพราะฉะนั้นการต่อสู้จะมีแค่ ดาบ มีด ปืน และมือเท่านั้น แต่หนังก็ยังคงเอกลักษณ์ความเป็นแอ็คชั่นในรูปแบบ King's Man ไว้ได้ดี การต่อสู้แบบแปลกๆ บวกกับมุมกล้องเท่ๆ และความดุดัน ทำให้ฉากแอ็คชั่นดูมันส์ไม่แพ้สองภาคก่อนหน้า


🧥🧥🧥
แต่มันก็ยังมีจุดด้อยบางอย่างที่เห็นชัดเจนในเรื่องอยู่ หนังเรื่องนี้ความยาวประมาณ 2 ชั่วโมง ซึ่ง 1 ชั่วโมงแรกหนังปูเรื่องไปในการสร้างคาแรคเตอร์ของ คอนราด ลูกชายของ ดยุคแห่งอ๊อกฟอร์ด ไว้เยอะมาก มากจนกลายเป็นตัวหลักสำคัญของเรื่องราวไปเลย แต่แล้วความสำคัญของตัวละครนี้กลับถูกตัดหายไปในช่วงครึ่งหลัง แต่ก็เข้าใจว่ามันคือบูสเตอร์ตัวสำคัญที่กระตุ้นให้ The King's Man กลับเข้าสู่เส้นทางอีกครั้ง ส่วนแก๊งตัวร้ายก็ปูทางมาอย่างโหดทุกคน แต่สุดท้ายกลับปิดฉากลงอย่างง่ายดายเกินไป


🧥🧥🧥
โดยรวมแล้วถือว่า The King's Man ภาคนี้เป็นภาคแยกที่ทำออกมาได้แตกต่างจากสองภาคก่อนหน้าพอสมควร เป็นภาคที่น่าติดตามต่อว่าจะมาบรรจบกันยังไงของทั้งสองเรื่องราว และมีภาคต่อแน่ๆ เพราะมี end credit ท้ายเรื่องที่จะปูทางไปสู่ภาคต่อไปอย่างไม่ต้องสงสัย ก็ต้องรอดูกันครับ

ชอบอ่านรีวิวหนัง แวะมาพูดคุยกันได้นะครับ >>> https://www.facebook.com/DooNangGunMai