แชมป์สโมสรโลก ยกระดับแบรนด์ เชลซี เอฟซี 🦁🔵

นับจาก "เสี่ยหมี" โรมัน อบราโมวิช เทก โอเวอร์ เมื่อปี 2003 ถ้วยแชมป์ระดับเมเจอร์ใบล่าสุดอย่างสโมสรโลก คือรายการที่ 19ในเวลา 19 ปี

    เซซาร์ อัสปิลิกวยต้า กลายเป็นนักเตะประวัติศาสตร์ของเชลซีที่กวาดแชมป์ทุกรายการเมเจอร์ ครบถ้วน ตั้งแต่พรีเมียร์ลีก, เอฟเอ คัพ, ลีก คัพ, แชมเปี้ยนส์ ลีก, ยูโรป้า ลีก, ซุปเปอร์ คัพ และ สโมสรโลก รวมแล้ว 10 รายการ
เป็นตำนานที่ไม่เงียบนะครับ....ผลงานชัดเจนซะขนาดนี้

    ส่วน ยูโรปา คอนเฟอเร้นส์ ลีก เชลซี คงไม่อยากได้นะครับ 555


    ก่อนหน้าที่เสี่ยหมี จะมาซื้อเชลซี พวกเขาประสบความสำเร็จประปราย ไม่ถึงกับโดดเด่นมากมายนัก แชมป์ลีกสูงสุดชื่อดิวิชั่นหนึ่งเดิม 1 ครั้ง ก็ปี 1955 แชมป์ เอฟเอ คัพ 3 ครั้ง

    ลีก คัพ 2 คัพวินเนอร์ส คัพ 2 ครั้ง ซุปเปอร์ คัพ 1 ครั้ง อันนี้เฉพาะถ้วยเมเจอร์ ไม่นับ แชริตี้ หรือคอมมิวนิตีชิลด์ นะครับ

    แค่ 8 ถ้วยเอง...

    พอเสี่ยหมี มาบริหารทีม กวาดไป 19 ถ้วย จากพรีเมียร์ลีก, เอฟเอ คัพ อย่างละ 5 ลีก คัพอีก 3 แชมเปี้ยนส์ ลีก 2 ยูโรปา ลีก 2 ซุปเปอร์ คัพ 1 สโมสรโลก 1 กล่าวคือในเวลาเกือบ 20 ปียุคเสี่ยหมีเป็นเจ้าของทีมนั้น สโมสรเชลซี ประสบความสำเร็จมากกว่ายุคเดิม (98 ปี) ถึง 2 เท่า


    แม้เชลซี ไม่ใช่ทีมที่ยิ่งใหญ่ในยุคเดิม (ก่อนปี 2003) แม้ได้แชมป์ไม่มากแต่ก็ได้แชมป์รายการสำคัญครบ ขาดแต่ ยูโรเปี้ยน คัพเดิมหรือ ยูฟา แชมเปี้ยนส์ ลีก ในยุคปัจจุบัน  นอกจากนี้เชลซียังเป็นสโมสรที่มีส่วนสร้างสตาร์ดังประดับวงการฟุตบอลอังกฤษมาช้านาน มีทั้งระดับแชมป์ฟุตบอลโลกจนถึงสโมสรยุโรปถ้วย คัพวินเนอร์ส คัพ

    ยกตัวอย่างเช่น ตำนานผู้ล่วงลับ ปีเตอร์ โบเนตติ ประตูมือกาว, เรย์ วิลกินส์, รอน แฮร์ริส, จิมมี กรีฟส์, ปีเตอร์ ออสกู๊ด, จนถึงยุค สตีฟ คลาร์ก, เคอร์รี ดิ๊กซั่น.....จนถึงยุคเริ่มต้นพรีเมียร์ลีก ตัวต่างชาติก็ รุด กุลลิท, จานฟรังโก โซลา, โรแบร์โต ดิ มัตเตโอ, ปิแอร์ลุยจิ คาซิรากีจนถึง ปีเตอร์ เช็ก  ตัวอังกฤษเองพวก เดนนิส ไวส์ ,แกรม เลอ โซ, แฟร้งค์ แลมพาร์ด, จอห์น เทอร์รี จนถึงปัจจุบัน ไค ฮาแวร์ตส์, เมสัน เมานต์, จอร์จินโญ, ก็องเต้ , ติอาโก ซิลวา, เมนดี
จริงๆเยอะกว่านี้ครับ เอาแบบให้พอเห็นภาพว่าเชลซีคือสโมสรในระดับชั้นนำของอังกฤษ ที่นักเตะและความสำเร็จอยู่คู่วงการมาตลอด โดยเฉพาะความเด่นชัดในการเป็นตัวทอปของวงการที่ยังไม่ "แผ่ว"ง่ายๆ เลยนะครับ

    ตั้งแต่ปี 2013 หลังยุคเซอร์ อเลกส์ เฟอร์กูสันวางมือ เชลซี ยังคงได้แชมป์ทั้งพรีเมียร์ลีก, เอฟเอ คัพ, ลีก คัพ, ยูฟา แชมเปี้ยนส์ ลีก จนถึงสโมสรโลก เรียกได้ว่า8 ปีที่ผ่านมาต้องมีถ้วยประดับตู้โชว์ เฉลี่ยปีละใบ (7ใน8ปี) บางปีได้ดับเบิลแชมป์

    ตัวเลขความสำเร็จเกือบทศวรรษนี้...ต้องบอกว่าได้แชมป์มากกว่าแมนฯยูไนเต็ด "มหาอำนาจเก่า" บอลอังกฤษ อย่างไม่ต้องสงสัย

    อะไรคือความสำเร็จระดับต่อเนื่อง....จนเชลซีกลายเป็นแบรนด์ฟุตบอลที่เข้าไปนั่งในใจของแฟนบอลทั่วโลกในยุคโซเชียล อีกหนึ่งทีม (มากกว่าแมนฯซิตี้)

    เสี่ยหมี...นั่นเอง

    อย่างที่ โทมัส ทูเคิล บอกว่าแชมป์สโมสรโลกนี้ขอมอบให้ อบราโมวิช เจ้าของทีมที่มีความมุ่งมั่น ทุ่มเท ในการบริหารจัดการทีมนี้ และนี่คือถ้วยที่รอคอยของ "เสี่ยหมี" หลังจากได้ถ้วยใหญ่ครบแล้ว

    ทุกคนมองเรื่อง "อำนาจเงิน" ของเสี่ยหมี

    จริงๆเงินเป็นองค์ประกอบที่ส่งผล อันนี้ไม่มีใครเถียง แต่ก็มีเจ้าของทีมอีกมากมายหลายทีมใช้เงินมากกว่าเชลซี แต่ยังไม่เห็นหน้าเห็นหลัง เห็นน้ำเห็นเนื้อ ได้แค่แชมป์ลีกภายใน แต่ไม่เคยได้แชมป์ยุโรป และเมื่อไม่เคยได้แชมป์ยุโรป ก็ไม่ได้เล่นสโมสรโลก อันเป็นถ้วยที่บอกว่าทีมของคุณเก่งที่สุดในโลกในเวลานั้น รวมทั้งเป็นถ้วยที่เสริมแบรนด์สโมสรของคุณให้โดดเด่นขึ้นมา

    ดังนั้นเงินไม่ใช่คำตอบ 100% นะครับ

    แต่สิ่งที่มาพร้อมกับเงินคือ "การบริหาร" จัดการของเสี่ยหมีแก

    ในฐานะเจ้าของทีมแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด แยกส่วนกันชัดเจน ไม่ก้าวก่ายเรื่องฟุตบอล ไม่วุ่นวายกับทีมงานข้างสนาม ทุกคนมีอิสระในการทำงานเต็มที่ แม้เคยโดนค่อนแคะว่าเคยดึง อังเดร เชฟเชนโก มาแล้วทำให้โค้ชทำงานยาก แต่ก็นั่นแหละ เชวา ก็เหมาะที่จะเล่นให้เชลซีอยู่แล้ว ไม่ใช่ว่าไร้ความสามารถ เพียงแต่ใช้ได้ไม่ดี เท่านั้นเอง

    ด้านการเงิน...จากเริ่มต้นใส่เงินเข้าไปเยอะเพื่อสร้างทีม สตาร์ดังระดับเอ บวก ทยอยเข้ามาเล่นกับทีม ภาวะขาดทุนเกิดขึ้นในช่วงแรก แต่วันนี้ทีมเสี่ยหมี แกเริ่มนิ่งขึ้นเรื่องการเงิน ไม่ใช่ว่าจะต้องซื้ออย่างเดียว มีจังหวะก็ขายออกไป

    ส่วนเพดานค่าเหนื่อยอาจจะต้องยอมรับตรงนี้เพราะดาวดังทยอยมาร่วมทีม ย่อมทำให้ "ค่าจ้าง" ต่อสัปดาห์ สูงขึ้นเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่ถ้าเทียบกับความสำเร็จแล้ว...แมนฯยูไนเต็ด ในฐานะทีมที่มีเพดานค่าจ้างสูงสุดในซีซั่นนี้ น่าจะ "ล้มเหลว" กว่า

    นั่นก็ส่วนหนึ่งของ "เสี่ยหมี" ที่พยายามบริหารการเงินให้ได้สมดุลต่อทีมมากที่สุด ไม่ใช่เป็นหนี้ตัวแดงเพราะใช้จ่ายเงินเกินตัว เขามีเงินหมื่นล้านก็จริง แต่เขาก็ทำธุรกิจ มีวิธีการ "หารายได้" เข้าทีมได้ ทั้งรางวัลจากการแข่งขัน, การสร้างแบรนด์ แน่นอนเชิงการตลาด ที่เม็ดเงินเข้าทีมได้ง่ายๆ ไม่นับรายได้หลักจากตั๋ว, ลิขสิทธิ์ทีวี ตรงนี้ก็ถือว่าเป็นไปด้วยดี

    เรื่องฟุตบอล...เสี่ยหมี แกมีความเด็ดขาด ตามสไตล์คนรัสเซีย

    มีเงินจ้าง ผ.จ.ก. ฝีมือดี ยอดฝีมือของวงการมาได้ แต่ถ้าผลงานไม่ตามเป้า เขาก็ไม่ลังเลใจ หรือไว้หน้าใครทั้งนั้น เขาเลือก "ปลด" ออกทันที

    กี่คนแล้วละครับ....ที่แม้เคยมีความดี มีผลงาน แต่ถ้าทำทีมล้มเหลว หรือส่อแววว่าจะล้มเหลว คุณก็ต้องกระเด็นจากตำแหน่ง เรื่องนี้ต้องไปถาม โชเซ มูรินโญ, โรแบร์โต้ ดิ มัตเตโอ  กระทั้งเพื่อนเลิฟอย่าง อฟราม แกรนต์ เลือดยิวเหมือนกัน (เสี่ยหมีลูกครึ่งรัสเซีย-ยิว) เขาก็ยังไม่ให้โอกาสทำงาน ถ้ามันไม่ได้เรื่องจริงๆ

    เสี่ยหมี เชื่อมั่นใน "ระบบ" ของการบริหารจัดการ จ้างคนมาทำงาน หากทำได้ไม่ดี ก็ต้องออกไป หาคนใหม่มาแทน ไม่ต้องเสียเวลาดราม่า กับเรื่องเหล่านี้  หาคนใหม่ เพราะยอดฝีมือยังมีอยู่ในท้องตลาด เราจึงเห็นโค้ชระดับทอปของโลก มาคุมเชลซี ตลอดเวลา

    เรื่องความสำเร็จสำหรับเขาต้องมาก่อนเป็นลำดับแรก เรื่องอื่นมาทีหลัง สไตล์การเล่น ไม่สนใจ แล้วแต่โค้ชเลย เล่นแบบไหน ระบบอะไร นักเตะซื้อให้แล้ว  จะเล่นยังไงก็เล่นไป ขอทำงานให้ได้แชมป์ ให้มีความสำเร็จเป็นพอ
เขาอาจใช้หลักคิดเดียวกันกับ เติ้ง เสี่ยว ผิง ที่เคยบอกว่า

     แมว สีไหนก็แล้วแต่....ขอให้จับหนูได้เป็นพอ

    เสี่ยหมี...คือคนเบื้องหลังในความสำเร็จของเชลซีอย่างชัดเจนที่สุด

    มีเงิน...ก็ใช้เงินให้เป็น ใช้ให้ถูกทาง  บริหารให้ดี ความสำเร็จจึงทยอยเกิดขึ้นและต่อเนื่อง วันนี้ชื่อของเชลซี คือ "ยี่ห้อ" หรือแบรนด์สโมสรฟุตบอลที่แข็งแกร่งครับ

    นี่คือทีมที่มีลุ้นแชมป์รายการใหญ่ทุกปี เรียกว่าสร้าง "มาตรฐาน" ต่อเนื่อง

    ถึงได้บอกว่านับจากปี 2013 ล่าสุดเอาแค่ช่วงเวลานี้นะครับ  "ปีศาจแดง" เริ่มหมด "อำนาจ" เชลซีก็ยังเป็นทีมหัวแถวของวงการฟุตบอลอังกฤษกวาดทุกแชมป์เลย แล้วการได้แชมป์สโมสรโลกมันมีความหมายอย่างไร
มันไม่ใช่ถ้วยธรรมดาเหมือนที่ เครก เบอร์ลีย์ อดีตนักเตะเชลซี ที่รับงานเป็นนักวิเคราะห์ทางอีเอสพีเอ็น สบประมาท ทีมเก่าของเขา

    ถ้วยสโมสรโลกเป็นถ้วยที่สร้าง "มูลค่า" ให้กับเชลซี มันคือถ้วยที่เสริม "แบรนด์"

    ยิ่งการที่ ทูเคิล บอกมาว่านีคือถ้วยที่ โรมัน อบราโมวิช อยากได้ที่สุด หลังเคยผิดหวังในยุค ปีเตอร์ เชก มาก่อนแล้ว ยิ่งตอกย้ำให้เห็นชัดเจนว่า "เสี่ยหมี" มองรื่องแบรนด์ ว่าสำคัญขนาดไหน

    ทุกวันนี้คนทั่วโลกตระหนักรับรู้ความเป็น เชลซี เอฟซี จากความสำเร็จรายการใหญ่ รายการที่มีมูลค่าชิงการตลาด ก็พรีเมียร์ลีก, ยูฟา แชมเปี้ยนส์ ลีก รวมทั้งสโมสรโลก ดังนั้นการคว้าแชมป์สโมสรโลกครั้งแรกของพวกเขานี้ ยิ่งทำให้ภาพของเชลซี โดดเด่นในวงการและมีมูลค่าการตลาดเพิ่มขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย

    ผมไม่อยากเปรียบเทียบตัวเลขฐานแฟนบอลทั่วโลกหรือ  FAN BASE กับสโมสรที่ใช้ "เงิน" สร้างแบรนด์เหมือนเชลซี นะครับ เอาเป็นภาพที่ว่า เชลซี คือสโมสรที่เข้าไปอยู่ความคิด, ความรู้สึกแฟนบอลทั่วโลกต่อเนื่องตลอด 20ปีมานี้

   แมนฯยูไนเต็ด ยังคงเป็นมีภาพแบรนด์ฟุตบอลที่แข็งแกร่งอยู่ แต่มันจะค่อยๆลดลงหากพวกเขายัง "ล้มเหลว" อย่างต่อเนื่อง ยิ่งถ้าหากยังไม่สามารถกลับไปคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก (8 ปีแล้ว) หรือกระทั่งแชมป์ ช.ป.ล ในสองสามปีจากนี้

    ผิดกับเชลซี ครับ....

    19ปีหรือเกือบสองทศวรรษนับจาก "เสี่ยหมี" เป็นเจ้าของทีม พวกเขาประสบความสำเร็จระดับเดียวกันกับ แมนฯยูไนเต็ด มีผลงานสะสมต่อเนื่องชัดเจนมากกว่าลิเวอร์พูลหลายเท่า  แถมยังแซงหน้าอาร์เซนอล กับสเปอร์ส ไปแล้ว ทั้งที่ก่อนหน้านี้พวกเขาเคยเป็นทีม "ลูกไล่"  ตกใต้ร่มเงาของสองทีมดังทางตอนเหนือของมหานครลอนดอน มาตลอด100 ปี

    วันนี้เชลซีเป็นทีมที่มี "มูลค่า"ระดับทอปของวงการฟุตบอลอังกฤษ,ทวีปยุโรป ก้าวไปยังระดับโลก เฉกเช่นเดียวกันกับทีมเก่าแก่ ที่ประสบความสำเร็จมาช้านานอย่าง แมนฯยูไนเต็ด และลิเวอร์พูล จะเอาแชมป์อะไรก็ได้หมดแล้ว
จะเอากี่แชมป์ ก็ได้อีกมากมายเช่นกัน

    แค่ 8 ปีหลังผีแดงหมด "อำนาจ" เด็กสิงโตน้ำเงินครามกวาดแชมป์ไป 7 ใบ ได้ครบทุกถ้วย เกินหน้าเกินตามหาอำนาจเก่าอย่างแมนฯยูไนเต็ด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อวันเสาร์ที่แล้ว เชลซีประกาศศักดาครอง"แชมป์สโมสรโลก" ถ้วยที่ยากสุดใบหนึ่งของทุกสโมสรในโลกใบนี้

    ไม่เจ๋งจริง....ทำเรื่องที่ยิ่งใหญ่แบบนี้ไม่ได้อย่างแน่นอน


Credit : Siamsport , jackie อดิสรณ์ พึ่งยา
ขอขอบคุณพี่แจ๊คกี้ เขียนบรรยาย เชลซี ที่ผมรักได้ดีมากจริงๆครับ 🙏🏻

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่