.
.
รถที่มีเครื่องกำเนิดก๊าซบนรถพ่วง
ในเมืองวิกตอเรีย ประเทศออสเตรเลีย
.
.
ในช่วงต้นศตวรรษที่ 19
นอกจากถ่านหินและก๊าซธรรมชาติแล้ว
คนเรายังมีเชื้อเพลิงชนิดใหม่อีกด้วย
มันถูกเรียกว่า ก๊าซสังเคราะห์ (
syngas)
และมีจำหน่ายในหลายรูปแบบ
เช่น ก๊าซถ่านหิน ก๊าซไม้ และก๊าซน้ำ(แคลเซียมคาร์ไบด์ CaC2)
(
ตะเกียงตัดยาง ในอดีตของภาคใต้)
ก๊าซสังเคราะห์ผลิตโดยการเปลี่ยนชีวมวล
หรือวัสดุอื่น ๆ ที่มีคาร์บอน เช่น ไม้และถ่านหิน
ให้เป็นผลิตภัณฑ์ก๊าซโดยให้ความร้อน
ในสภาพแวดล้อมที่ขาดออกซิเจน
ก๊าซที่เกิดขึ้นจะมีส่วนผสมของไฮโดรเจน
คาร์บอนมอนอกไซด์ และมีเทน
ซึ่งทั้งหมดนี้ติดไฟได้และเผาไหม้
เพื่อให้ความร้อนและแสงสว่างได้
ก๊าซถ่านหินที่เก่าที่สุดได้มาจาก ถ่านหินและถ่านหินพรุ
ใช้เพื่อวัตถุประสงค์ในการให้แสงสว่างและการปรุงอาหาร
มหานครลอนดอนติดตั้งไฟถนนครั้งแรก
ด้วยการเผาก๊าซถ่านหินในปี 1930
และไม่นานหลังจากที่ก๊าซถ่านหิน (หรือที่เรียกว่าก๊าซในเมือง)
ก็เริ่มใช้ในเมืองอุตสาหกรรมส่วนใหญ่จนถึงสิ้นศตวรรษที่ 19
เพราะถูกแทนที่ด้วยไฟไฟฟ้า
แต่ Syngas ยังคงถูกใช้ในเตาหลอมเหล็ก
และในโรงงานต่างๆ จนถึงปี ค.ศ. 1920
.
.
.
.
.
.
ในปี 1920
วิศวกรชาวฝรั่งเศส
Georges Imbert
ได้สร้างเครื่องกำเนิดพลังงานจากก๊าซของไม้
แบบเคลื่อนย้ายได้ซึ่งกินเศษไม้ กิ่งไม้
และผลิตก๊าซที่สะอาดและแห้ง
ซึ่งป้อนตรงเข้าสู่เครื่องยนต์สันดาปของรถยนต์
โดยมีการดัดแปลงตัวเครื่องยนต์เพียงเล็กน้อย
ในช่วงปลายทศวรรษ 1930
มีการใช้งานรถยนต์ประมาณ 9,000 คันในยุโรป
ที่ติดตั้งเครื่องกำเนิดพลังงานก๊าซแบบ Imbert
แต่จำนวนดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อน้ำมันเบนซินขาดแคลน
ในเยอรมนีเพียงประเทศเดียวก่อน
WWII สิ้นสุด
(สงครามโลกครั้งที่ 2 เริ่ม 1939-1943)
มีรถยนต์ที่ใช้ก๊าซถ่านหินประมาณ 500,000 คัน
ได้แก่ รถยนต์ส่วนตัว รถบรรทุก รถโดยสาร
รถแทรกเตอร์ รถจักรยานยนต์ เรือ รถไฟ และรถถัง
เครื่องยนต์ได้รับการติดตั้งหน่วยแปรสภาพเป็นก๊าซจากไม้
มีการจัดตั้งเครือข่ายสถานีพลังงานประมาณ 3,000 แห่ง
ซึ่งผู้ขับขี่สามารถไปใช้ได้ไม่ต้องกักตุนในรถให้หนัก
รถใช้น้ำมันยังมีใช้เพื่อทางการทหารเป็นหลัก
เพราะหายากและขาดแคลนอย่างแรง
.
.
.
รถบัสลอนดอนพร้อมเครื่องกำเนิดแก๊สบนรถพ่วง
.
.
ในปี 1942 มีรถยนต์ที่ใช้ก๊าซไม้
ประมาณ 73,000 คันในสวีเดน
65,000 คันในฝรั่งเศส 10,000 ในเดนมาร์ก
9,000 คันในออสเตรียและนอร์เวย์
และเกือบ 8,000 คันในสวิตเซอร์แลนด์
ฟินแลนด์มี รถก๊าซไม้ฟืน 43,000 คัน
ในปี 1944 โดยแบ่งเป็นรถบัสและรถบรรทุก 30,000 คัน
ยานพาหนะส่วนตัว 7,000 คัน รถแทรกเตอร์ 4,000 คัน และเรือ 600 ลำ
Woodmobiles ก็ปรากฏตัวขึ้นในสหรัฐอเมริกา เอเชีย
และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในออสเตรเลีย
ซึ่งมีรถยนต์ 72,000 คันที่ใช้ก๊าซจากไม้ฟืน
และมียานพาหนะที่ใช้ก๊าซไม้รวมกัน
มากกว่าหนึ่งล้านคันในช่วง WWII
ก๊าซไม้ประกอบด้วยไนโตรเจน 50%
คาร์บอนมอนอกไซด์ 27% ไฮโดรเจน 14% มีเทน 3%
และคาร์บอนมอนอกไซด์ 4% พร้อมปริมาณออกซิเจน
ไนโตรเจนและคาร์บอนไดออกไซด์
เป็นองค์ประกอบมากกว่าครึ่งขององค์ประกอบทั้งหมดของก๊าซ
และเป็นก๊าซเฉื่อย เท่าที่เกี่ยวข้องกับเครื่องยนต์สันดาปภายใน
คาร์บอนมอนอกไซด์เป็นก๊าซที่เผาไหม้ช้า
นั่นหมายความว่า ก๊าซไม้มีความหนาแน่นของพลังงานต่ำมาก
ค่าพลังของก๊าซไม้อยู่ที่ประมาณ 5.7 MJ ต่อกิโลกรัม
เทียบกับ 44 MJ/kg สำหรับน้ำมันเบนซิน
และ 56 MJ/kg สำหรับก๊าซธรรมชาติ
.
.
.
รถยนต์ที่มีเครื่องกำเนิดก๊าซไม้: เบอร์ลิน 1946
.
.
มุมมองด้านหน้าของรถคันเดียวกัน
ท่อที่วิ่งจากด้านหลังรถจะเข้าไป
ในถังตกตะกอนที่ด้านหน้า
ท่อนำก๊าซจะไม่ให้ผ่านภายในรถ
เพราะการรั่วไหลของคาร์บอนมอนอกไซด์
แม้แต่เพียงเล็กน้อยก็เป็นอันตรายถึงตายได้
ก๊าซจะวิ่งเข้าไปในตัวทำถัง/หอคอย(คล้ายถังน้ำมัน)
ที่ติดตั้งอยู่เหนือถังและดูเหมือนหม้อน้ำ
กระบวนการแปรสภาพเป็นก๊าซ
ที่มีประสิทธิภาพสูงสามารถเปลี่ยนประมาณ 75%
ของเชื้อเพลิงให้เป็นก๊าซที่ติดไฟได้
แต่รถที่ใช้ก๊าซจากไม้จะใช้เชื้อเพลิงมากกว่า 1.5 เท่า
เมื่อเปรียบเทียบกับรถยนต์ที่ใช้น้ำมัน
รถก๊าซที่เผาด้วยไม้จะใช้ไม้ 1,000 กิโลกรัม
วิ่งได้ระยะทางเท่ากับรถยนต์ใช้น้ำมัน 365 ลิตร
(เทคโนโลยียานยนต์ยุคนั้นจัดได้ว่าเจ๋งแล้ว)
แต่เรื่องน่าประทับใจจากไม้ฟืนผลิตก๊าซ
มีการปล่อยไอเสียต่ำกว่าการใช้น้ำมันเบนซินอย่างมาก
การเผาไหม้ของก๊าซจากไม้ ไม่ก่อให้เกิดอนุภาคใด ๆ
และมีคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำมากซึ่งดีต่อสิ่งแวดล้อม
ทั้งต้นทุน/หน่วยถูกกว่าน้ำมันเบนซิน
ข้อเสียของรถเคลื่อนที่ไม้ฟืน
คือ ขนาดของถังเชื้อเพลิงที่ต้องการ
เครื่องกำเนิดก๊าซใช้พื้นที่มาก
และมีพื้นที่ว่างบรรทุกของได้ไม่กี่ร้อยกิโลกรัม
เพราะก๊าซจากไม้เผาไหม้ช้า และมีค่าพลังงานต่ำ
จึงให้พลังงานไม่เพียงพอจากการเผาไหม้ก๊าซจากไม้
ทำให้มีขีดจำกัดความเร็ว/การเร่งของรถยนต์
เครื่องกำเนิดพลังงานยังต้องใช้เวลาถึง 10 นาที
เพื่ออุ่นให้อุณหภูมิร้อนเพียงพอจึงพร้อมจะทำงาน
ดังนั้นจึงไม่สามารถกระโดดขึ้นรถแล้วขับออกไปทันที
หลังสงครามยุติ น้ำมันก็กลับมาใช้ได้อีกครั้ง
และเทคโนโลยีนี้ก็ล้าสมัยไปแล้ว จึงค่อย ๆ หายไป
เรียบเรียง/ที่มา
https://bit.ly/3BjD4TN
https://bit.ly/3HQVn58
https://bit.ly/3gLhheb
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
เรื่องเล่าไร้สาระ
แนวคิดและหลักการทำงานมีมาตั้งแต่ปี 1930
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 (1939-1945)
เมืองไทยก็มีการใช้รถก๊าซจากไม้ฟืน
ที่ กรุงเทพฯ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ
ดัดแปลงให้ใช้กับรถเมล์ก่อน ควันขโมงโฉงเฉง
และเสื้อผ้าผู้โดยสารมักโดนสะเก็ดไฟ/เขม่าควัน
ถ้าบางช่วงเป็นสะพานชัน หรือรถแรงตกไปมาก
ผู้โดยสารต้องลงจากรถเพื่อช่วยกันรุน/เข็น
ที่หาดใหญ่ขุนนิพัทธ์จีนนคร (เจียกีซี)
ท่านคือ ผู้ริเริ่มแปลงบ้านแปลงเมืองหาดใหญ่
เริ่มจากการตัดถนนเจียกีซี (ถนนธรรมนูญวิถี)
ถนนเจียกีซี 1,2,3 (ถนนนิพัทธ์อุทิศ 1,2,3)
ถนนนิพัทธ์สงเคราะห์ 1 ในหาดใหญ่
ก็สร้างรถก๊าซจากไม้ฟืนใช้งานรถประจำทาง
รถบรรทุกวิ่งส่งของระหว่างหาดใหญ่-สงขลา
เพราะยังมีเรือสินค้าต่างด้าวมาค้าขาย
ทุกวิกฤติมี พิบูล ขายของได้แพงกำไรงาม
กับ พิบัติ หมดเนื้อหมดตัวสิ้นเนื้อประดาตัว
ท่านยังคิดค้นการกลั่นน้ำมันดีเซล เบนซีน
จากยางพารา เพราะขาดแคลนอย่างแรง
ในอดีตต้องนำเข้าจากต่างชาติเท่านั้น
ทางกรุงเทพฯ มีข้าราชการเมืองหลวง
มา C&D การผลิตแล้วผลิตใช้ใน กทม.
แต่ไม่บอกว่าเรียนรู้จากชาวบ้าน กลัวเสียหน้า
เลยบอกว่าคิดเอง เรียนรู้จากตำราต่างด้าว
พร้อมบอกนักข่าวแบบกวน ๆ กึ่งอำ/หลอกด่าว่า
น้ำมันทำมาจากใบซีนต้น (ใบซ่นตีน)
น้ำมันจากยางพารามีเขม่าคราบตะกอนมาก
ต้องคอยแกะล้างทำความสะอาดเป็นประจำ
ดีที่เทคโนโลยีรถยนต์ในอดีตเอื้อต่อ DIY
ผิดกับรถยนต์สมัยใหม่ที่ต้องเข้าศูนย์
หาช่างมืออาชีพก่อนช่างมืออาภัพ
หลักการวิธีการผลิตของเจียกีซี
ช่วงหลังก็มีโรงเรียนกับนักข่าวทดลองทำ
ก็ได้ผลผลิตตามที่วางวัตถุประสงค์ไว้
แต่ทุกวันนี้การผลิตจากยางพาราไม่คุ้มทุน
เพราะต้นทุน/หน่วย แพงกว่าซื้อน้ำมันสำเร็จรูป
จขกท. เคยเขียนไว้นานแล้วใน
น้ำมันจากยางพารา
รถยนต์ที่วิ่งด้วยก๊าซจากไม้ฟืน
.
รถที่มีเครื่องกำเนิดก๊าซบนรถพ่วง
ในเมืองวิกตอเรีย ประเทศออสเตรเลีย
.
ในช่วงต้นศตวรรษที่ 19
นอกจากถ่านหินและก๊าซธรรมชาติแล้ว
คนเรายังมีเชื้อเพลิงชนิดใหม่อีกด้วย
มันถูกเรียกว่า ก๊าซสังเคราะห์ (syngas)
และมีจำหน่ายในหลายรูปแบบ
เช่น ก๊าซถ่านหิน ก๊าซไม้ และก๊าซน้ำ(แคลเซียมคาร์ไบด์ CaC2)
(ตะเกียงตัดยาง ในอดีตของภาคใต้)
ก๊าซสังเคราะห์ผลิตโดยการเปลี่ยนชีวมวล
หรือวัสดุอื่น ๆ ที่มีคาร์บอน เช่น ไม้และถ่านหิน
ให้เป็นผลิตภัณฑ์ก๊าซโดยให้ความร้อน
ในสภาพแวดล้อมที่ขาดออกซิเจน
ก๊าซที่เกิดขึ้นจะมีส่วนผสมของไฮโดรเจน
คาร์บอนมอนอกไซด์ และมีเทน
ซึ่งทั้งหมดนี้ติดไฟได้และเผาไหม้
เพื่อให้ความร้อนและแสงสว่างได้
ก๊าซถ่านหินที่เก่าที่สุดได้มาจาก ถ่านหินและถ่านหินพรุ
ใช้เพื่อวัตถุประสงค์ในการให้แสงสว่างและการปรุงอาหาร
มหานครลอนดอนติดตั้งไฟถนนครั้งแรก
ด้วยการเผาก๊าซถ่านหินในปี 1930
และไม่นานหลังจากที่ก๊าซถ่านหิน (หรือที่เรียกว่าก๊าซในเมือง)
ก็เริ่มใช้ในเมืองอุตสาหกรรมส่วนใหญ่จนถึงสิ้นศตวรรษที่ 19
เพราะถูกแทนที่ด้วยไฟไฟฟ้า
แต่ Syngas ยังคงถูกใช้ในเตาหลอมเหล็ก
และในโรงงานต่างๆ จนถึงปี ค.ศ. 1920
.
.
.
.
ในปี 1920
วิศวกรชาวฝรั่งเศส Georges Imbert
ได้สร้างเครื่องกำเนิดพลังงานจากก๊าซของไม้
แบบเคลื่อนย้ายได้ซึ่งกินเศษไม้ กิ่งไม้
และผลิตก๊าซที่สะอาดและแห้ง
ซึ่งป้อนตรงเข้าสู่เครื่องยนต์สันดาปของรถยนต์
โดยมีการดัดแปลงตัวเครื่องยนต์เพียงเล็กน้อย
ในช่วงปลายทศวรรษ 1930
มีการใช้งานรถยนต์ประมาณ 9,000 คันในยุโรป
ที่ติดตั้งเครื่องกำเนิดพลังงานก๊าซแบบ Imbert
แต่จำนวนดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อน้ำมันเบนซินขาดแคลน
ในเยอรมนีเพียงประเทศเดียวก่อน WWII สิ้นสุด
(สงครามโลกครั้งที่ 2 เริ่ม 1939-1943)
มีรถยนต์ที่ใช้ก๊าซถ่านหินประมาณ 500,000 คัน
ได้แก่ รถยนต์ส่วนตัว รถบรรทุก รถโดยสาร
รถแทรกเตอร์ รถจักรยานยนต์ เรือ รถไฟ และรถถัง
เครื่องยนต์ได้รับการติดตั้งหน่วยแปรสภาพเป็นก๊าซจากไม้
มีการจัดตั้งเครือข่ายสถานีพลังงานประมาณ 3,000 แห่ง
ซึ่งผู้ขับขี่สามารถไปใช้ได้ไม่ต้องกักตุนในรถให้หนัก
รถใช้น้ำมันยังมีใช้เพื่อทางการทหารเป็นหลัก
เพราะหายากและขาดแคลนอย่างแรง
.
.
รถบัสลอนดอนพร้อมเครื่องกำเนิดแก๊สบนรถพ่วง
.
ในปี 1942 มีรถยนต์ที่ใช้ก๊าซไม้
ประมาณ 73,000 คันในสวีเดน
65,000 คันในฝรั่งเศส 10,000 ในเดนมาร์ก
9,000 คันในออสเตรียและนอร์เวย์
และเกือบ 8,000 คันในสวิตเซอร์แลนด์
ฟินแลนด์มี รถก๊าซไม้ฟืน 43,000 คัน
ในปี 1944 โดยแบ่งเป็นรถบัสและรถบรรทุก 30,000 คัน
ยานพาหนะส่วนตัว 7,000 คัน รถแทรกเตอร์ 4,000 คัน และเรือ 600 ลำ
Woodmobiles ก็ปรากฏตัวขึ้นในสหรัฐอเมริกา เอเชีย
และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในออสเตรเลีย
ซึ่งมีรถยนต์ 72,000 คันที่ใช้ก๊าซจากไม้ฟืน
และมียานพาหนะที่ใช้ก๊าซไม้รวมกัน
มากกว่าหนึ่งล้านคันในช่วง WWII
ก๊าซไม้ประกอบด้วยไนโตรเจน 50%
คาร์บอนมอนอกไซด์ 27% ไฮโดรเจน 14% มีเทน 3%
และคาร์บอนมอนอกไซด์ 4% พร้อมปริมาณออกซิเจน
ไนโตรเจนและคาร์บอนไดออกไซด์
เป็นองค์ประกอบมากกว่าครึ่งขององค์ประกอบทั้งหมดของก๊าซ
และเป็นก๊าซเฉื่อย เท่าที่เกี่ยวข้องกับเครื่องยนต์สันดาปภายใน
คาร์บอนมอนอกไซด์เป็นก๊าซที่เผาไหม้ช้า
นั่นหมายความว่า ก๊าซไม้มีความหนาแน่นของพลังงานต่ำมาก
ค่าพลังของก๊าซไม้อยู่ที่ประมาณ 5.7 MJ ต่อกิโลกรัม
เทียบกับ 44 MJ/kg สำหรับน้ำมันเบนซิน
และ 56 MJ/kg สำหรับก๊าซธรรมชาติ
.
.
รถยนต์ที่มีเครื่องกำเนิดก๊าซไม้: เบอร์ลิน 1946
.
มุมมองด้านหน้าของรถคันเดียวกัน
ท่อที่วิ่งจากด้านหลังรถจะเข้าไป
ในถังตกตะกอนที่ด้านหน้า
ท่อนำก๊าซจะไม่ให้ผ่านภายในรถ
เพราะการรั่วไหลของคาร์บอนมอนอกไซด์
แม้แต่เพียงเล็กน้อยก็เป็นอันตรายถึงตายได้
ก๊าซจะวิ่งเข้าไปในตัวทำถัง/หอคอย(คล้ายถังน้ำมัน)
ที่ติดตั้งอยู่เหนือถังและดูเหมือนหม้อน้ำ
กระบวนการแปรสภาพเป็นก๊าซ
ที่มีประสิทธิภาพสูงสามารถเปลี่ยนประมาณ 75%
ของเชื้อเพลิงให้เป็นก๊าซที่ติดไฟได้
แต่รถที่ใช้ก๊าซจากไม้จะใช้เชื้อเพลิงมากกว่า 1.5 เท่า
เมื่อเปรียบเทียบกับรถยนต์ที่ใช้น้ำมัน
รถก๊าซที่เผาด้วยไม้จะใช้ไม้ 1,000 กิโลกรัม
วิ่งได้ระยะทางเท่ากับรถยนต์ใช้น้ำมัน 365 ลิตร
(เทคโนโลยียานยนต์ยุคนั้นจัดได้ว่าเจ๋งแล้ว)
แต่เรื่องน่าประทับใจจากไม้ฟืนผลิตก๊าซ
มีการปล่อยไอเสียต่ำกว่าการใช้น้ำมันเบนซินอย่างมาก
การเผาไหม้ของก๊าซจากไม้ ไม่ก่อให้เกิดอนุภาคใด ๆ
และมีคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำมากซึ่งดีต่อสิ่งแวดล้อม
ทั้งต้นทุน/หน่วยถูกกว่าน้ำมันเบนซิน
ข้อเสียของรถเคลื่อนที่ไม้ฟืน
คือ ขนาดของถังเชื้อเพลิงที่ต้องการ
เครื่องกำเนิดก๊าซใช้พื้นที่มาก
และมีพื้นที่ว่างบรรทุกของได้ไม่กี่ร้อยกิโลกรัม
เพราะก๊าซจากไม้เผาไหม้ช้า และมีค่าพลังงานต่ำ
จึงให้พลังงานไม่เพียงพอจากการเผาไหม้ก๊าซจากไม้
ทำให้มีขีดจำกัดความเร็ว/การเร่งของรถยนต์
เครื่องกำเนิดพลังงานยังต้องใช้เวลาถึง 10 นาที
เพื่ออุ่นให้อุณหภูมิร้อนเพียงพอจึงพร้อมจะทำงาน
ดังนั้นจึงไม่สามารถกระโดดขึ้นรถแล้วขับออกไปทันที
หลังสงครามยุติ น้ำมันก็กลับมาใช้ได้อีกครั้ง
และเทคโนโลยีนี้ก็ล้าสมัยไปแล้ว จึงค่อย ๆ หายไป
เรียบเรียง/ที่มา
https://bit.ly/3BjD4TN
https://bit.ly/3HQVn58
https://bit.ly/3gLhheb
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
เรื่องเล่าไร้สาระ
แนวคิดและหลักการทำงานมีมาตั้งแต่ปี 1930
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 (1939-1945)
เมืองไทยก็มีการใช้รถก๊าซจากไม้ฟืน
ที่ กรุงเทพฯ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ
ดัดแปลงให้ใช้กับรถเมล์ก่อน ควันขโมงโฉงเฉง
และเสื้อผ้าผู้โดยสารมักโดนสะเก็ดไฟ/เขม่าควัน
ถ้าบางช่วงเป็นสะพานชัน หรือรถแรงตกไปมาก
ผู้โดยสารต้องลงจากรถเพื่อช่วยกันรุน/เข็น
ที่หาดใหญ่ขุนนิพัทธ์จีนนคร (เจียกีซี)
ท่านคือ ผู้ริเริ่มแปลงบ้านแปลงเมืองหาดใหญ่
เริ่มจากการตัดถนนเจียกีซี (ถนนธรรมนูญวิถี)
ถนนเจียกีซี 1,2,3 (ถนนนิพัทธ์อุทิศ 1,2,3)
ถนนนิพัทธ์สงเคราะห์ 1 ในหาดใหญ่
ก็สร้างรถก๊าซจากไม้ฟืนใช้งานรถประจำทาง
รถบรรทุกวิ่งส่งของระหว่างหาดใหญ่-สงขลา
เพราะยังมีเรือสินค้าต่างด้าวมาค้าขาย
ทุกวิกฤติมี พิบูล ขายของได้แพงกำไรงาม
กับ พิบัติ หมดเนื้อหมดตัวสิ้นเนื้อประดาตัว
ท่านยังคิดค้นการกลั่นน้ำมันดีเซล เบนซีน
จากยางพารา เพราะขาดแคลนอย่างแรง
ในอดีตต้องนำเข้าจากต่างชาติเท่านั้น
ทางกรุงเทพฯ มีข้าราชการเมืองหลวง
มา C&D การผลิตแล้วผลิตใช้ใน กทม.
แต่ไม่บอกว่าเรียนรู้จากชาวบ้าน กลัวเสียหน้า
เลยบอกว่าคิดเอง เรียนรู้จากตำราต่างด้าว
พร้อมบอกนักข่าวแบบกวน ๆ กึ่งอำ/หลอกด่าว่า
น้ำมันทำมาจากใบซีนต้น (ใบซ่นตีน)
น้ำมันจากยางพารามีเขม่าคราบตะกอนมาก
ต้องคอยแกะล้างทำความสะอาดเป็นประจำ
ดีที่เทคโนโลยีรถยนต์ในอดีตเอื้อต่อ DIY
ผิดกับรถยนต์สมัยใหม่ที่ต้องเข้าศูนย์
หาช่างมืออาชีพก่อนช่างมืออาภัพ
หลักการวิธีการผลิตของเจียกีซี
ช่วงหลังก็มีโรงเรียนกับนักข่าวทดลองทำ
ก็ได้ผลผลิตตามที่วางวัตถุประสงค์ไว้
แต่ทุกวันนี้การผลิตจากยางพาราไม่คุ้มทุน
เพราะต้นทุน/หน่วย แพงกว่าซื้อน้ำมันสำเร็จรูป
จขกท. เคยเขียนไว้นานแล้วใน
น้ำมันจากยางพารา