จะว่าไปแล้ว หลักการบางอย่างของ Bitcoin ก็นำมาจากหลักการของ gold และนี่คือเหตุผลที่ Bitcoin, Gold รวมถึงเหรียญดิจิตอลอื่นๆ จะไม่มีวันถูกนำมาเป็นสื่อกลางแลกเปลี่ยนมูลค่า (ซื้อ-ขายสินค้า/บริการ) เหตุผลหลักๆ นั้นก็คือ ... fiat money (เงินตรา) ที่มีคุณสมบัติ inflating (ทำให้เงินเฟ้อ) ที่ส่งผลให้มูลค่าสิ่งต่างๆ บนโลกนี้มีราคาสูงขึ้นๆ ทีละนิดๆ ซึ่งมีความจำเป็นต่อกิจกรรมต่างๆ ทางเศรษฐกิจ เพื่อทำให้เศรษฐกิจเติบโตนั่นเอง
ความจำเป็นของ Fiat money (เงินตรา) ต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ
ถ้าหากสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนมูลค่าใดๆ ก็ตามไม่ก่อให้เกิดสภาวะ inflation (เงินเฟ้อ) ผู้คนก็จะไม่กระตือรือร้นในการทำกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆ เช่น ทำงาน, ทำธุรกิจ-การค้า ฯลฯ สมมติว่า ถ้าคุณคำนวณแล้วว่า คุณหาเงินแค่ 10 ล้านบาท ก็สามารถเลี้ยงชีพไปจนตายได้ล่ะก็ พอคุณหาเงิน (ที่ไม่เฟ้อ เช่น gold) ได้ครบ 10 ล้านบาท คุณก็จะพอใจกับเงินก้อนนี้ จนคุณไม่อยากออกไปทำงาน หรือ ทำธุรกิจ-การค้าให้เหนื่อยหน่ายอีกเลย แต่ๆ นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าคนจะเลิกทำงาน ทำธุรกิจ/การค้ากันถาวรหมดทุกคนเลยนะ แต่อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจจะต้องลดลงไปอย่างมากแน่นอน
ถ้ามีคนทำแบบนี้ไปซัก 3,000,000,000 คนบนโลกนี้จะเกิดอะไรขึ้น ?
คนบนโลกนี้มีจำนวนประมาณ 8,000,000,000 คน แล้วถ้ามีคนจำนวน 3,000,000,000 คน ถือ Bitcoin หรือ Gold ที่มีมูลค่าเท่ากับ 3 ถึง 10 ล้านบาท เพียงแค่นี้พวก ธุรกิจ ห้างร้าน พ่อค้า แม่ขาย ทั้งในตลาดหุ้น และนอกตลาดหุ้น ก็จะเกิดความโกลาหลแล้ว เพราะไม่มีใครอยากมาสมัครงาน แล้วทีนี้กิจกรรมทางเศรษฐกิจ (ซื้อ-ขาย, แลกเปลี่ยน, การผลิตสินค้า/บริการ/เทคโนโลยี แปลกๆ ใหม่ๆ) ก็จะลดลงไปอย่างมาก แต่ถ้ารัฐบาลออกกฎหมายบังคับผู้คนให้ใช้ fiat money (เงินตรา) เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนที่ FED (ธนาคารกลาง) สามารถพิมพ์เงินออกมาได้ตลอดล่ะก็ มันก็จะทำให้สินค้า และบริการในท้องตลาดแพงขึ้นๆ ทีละนิดๆ จนผู้คนรู้สึกว่าเงินตราที่ตัวเองถืออยู่ด้อยมูลค่าลงไปทีละนิดๆ ด้วยเช่นกัน นั่นจึงส่งผลให้ผู้คนกระตือรือร้นที่จะออกไปทำกิจกรรมทางเศรษฐกิจ (ค้าขาย, ทำงาน, ทำธุรกิจ) สาเหตุที่คนกัดฟันออกไปทำงานไปจนอายุ 50-60 ปี โดยที่ไม่ได้รู้สึกชอบกับงานที่ตัวเองทำอยู่เลย นั้นก็เป็นเพราะเหตุนี้นี่เอง (ไม่ทำงานก็ต้องอดตาย เพราะค่าครองชีพ ค่าเรียนลูก ค่ารักษาโรค ฯลฯ ที่สูงขึ้นทุกวันๆ)
Bitcoin กับ Gold จะก่อให้เกิดภาวะ deflation (เงินฝืด) และบั่นทอนกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
ถ้า gold หนัก 1 บาท ไม่เท่ากับ gold หนัก 1 บาทฉันใด bitcoin 1 เหรียญ ก็จะไม่มีวันมีค่าเท่ากับ bitcoin 1 เหรียญฉันนั้น เพราะถ้ามีคนจำนวน 3,000,000,000 คนบนโลกนี้ ถือ Bitcoin หรือ Gold ที่มีมูลค่าเท่ากับ 3 ถึง 10 ล้านบาท มันก็หลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้วที่จะเกิดภาวะ deflation (เงินฝืด) กล่าวคือ จำนวนเงินในระบบของแต่ละประเทศมีน้อยเกินความต้องการ เพราะใครๆ ก็อยากถือครอง bitcoin กับ gold เพื่อเอาไว้ใช้ในบั้นปลายชีวิต หรือ ทุนการศึกษาให้บุตรหลาน ฯลฯ แบบนี้เป็นต้น แต่ถ้ารัฐบาลออกกฎหมายให้สามารถพิมพ์เงิน fiat money (เงินตรา) ออกมาได้ทีละนิดๆ อย่างไม่จำกัดล่ะก็ ธนาคารพาณิชย์ก็จะได้รับการอัดฉีดเม็ดเงินเข้ามา เพื่อนำไปปล่อยกู้ให้ธุรกิจ ห้างร้านต่างๆ ได้ ภาวะ deflation (เงินฝืด) ก็จะค่อยๆ หายไปทีละนิดๆ (แต่ถ้าพิมพ์มากๆ ก็จะเกิดภาวะเงินเฟ้อ) จากนั้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ซบเซาก็จะฟื้นกลับมามีชีวิตชีวา (การสร้างโรงงาน, การลงทุน, การซื้อ-ขาย, แลกเปลี่ยน, การผลิตสินค้า/บริการ/เทคโนโลยี แปลกๆ ใหม่ๆ ออกสู่ท้องตลาด)
FED (ธนาคารกลาง) ของแต่ละประเทศ ต้องการด้อยค่า Bitcoin กับ Gold
FED (ธนาคารกลาง) จงใจทำให้มูลค่า Bitcoin กับ Gold ผันผวนรุนแรง โดยทำให้มีค่าเท่ากับ fiat money (เงินตรา) เพื่อด้อยค่ามัน เช่น ราคา Bitcoin กับ Gold เหวี่ยงขึ้น/ลงทีนึง 3-10 เปอร์เซ็นต์/สัปดาห์ ไปตามอัตราเงินเฟ้อ แล้วทีนี้คนที่ไม่ได้มีเงินเย็นๆ ซัก 5 ถึง 10+ ล้านบาทขึ้นไป แล้วใครจะอยากถือครอง Bitcoin กับ Gold (เพราะใครๆ ต่างก็จำเป็นต้องถอนเงินออกมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน) แล้วถ้าเกิดถอนเหรียญ bitcoin ออกมาเป็นเงิน ดอลลาร์ แล้วมูลค่ามันดันลดลงไปถึง 3-10 เปอร์เซ็นต์ แล้วไหนจะโดน broker ฟันค่าธรรมเนียมเพิ่มเข้าไปอีก เป็นใครๆ ก็ต้องคิดหนักที่จะถือ bitcoin ไว้เยอะๆ นี่จึงทำให้ความน่าสนใจในการถือครอง Bitcoin กับ Gold ลดลงไปอย่างมาก (ในมุมมองของคนที่ไม่ได้ร่ำรวย มีเงินเย็นๆ จำนวนมาก) ... อีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ราคา gold มีความผันผวนสูง นั้นก็เป็นเพราะ FED (ธนาคารกลาง) ของแต่ละประเทศ เค้าเทรด gold เพื่อทำให้ fiat money ของประเทศตัวเองเกิดความเสถียร เช่น ช่วงสมัยต้มยำกุ้ง ธนาคารของไทยเราต้องการทำให้เงินบาทมีค่าที่เสถียรเท่ากับ 25 บาท/ดอลลาร์ ซึ่งส่วนหนึ่งก็เกิดจากการเทรด gold ด้วย สมมติว่า FED (ธนาคารกลาง) ทั่วโลกต่างพากันเทรด gold มันก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ 100 เปอร์เซ็นต์อยู่แล้วล่ะว่า ราคา gold มันจะต้องผันผวนรุนแรงอย่างแน่นอน และในอนาคต FED เค้าอาจมีกลยุทธ์บางอย่างที่จะทำให้ราคา bitcoin ผันผวนหนักมากขึ้นกว่านี้อีกก็เป็นได้
Elite (ชนชั้นนำ) คือผู้ควบคุมการกระทำของรัฐบาล และได้ประโยชน์จาก inflation (เงินเฟ้อ)
Elite (ชนชั้นนำ) เช่น นายธนาคาร, อภิมหาเศรษฐีของธุรกิจแต่ละอุตสาหกรรม คือผู้ควบคุมการกระทำของรัฐบาล (เช่น สั่งให้รัฐออกกฎหมายพิมพ์เงินทีละนิดๆ ได้อย่างไม่จำกัด) และได้ประโยชน์จาก inflation (เงินเฟ้อ) ถ้าผู้คนรู้สึกว่าเงิน fiat money (เงินตรา) ที่ตัวเองถืออยู่ในตู้ safe ที่บ้านมีมูลค่าลดลงๆ เรื่อยๆ ทุกวัน แปรผันไปตามราคาสินค้า/บริการที่สูงขึ้น ผู้คนก็จะนำเงินไปฝากไว้กับ bank ที่จ่ายดอกเบี้ยคืนเป็นผลตอบแทน (เพื่อเอาชนะอัตราเงินเฟ้อ) หรือไม่ก็นำเงินสดไปลงทุนกับบริษัทใหญ่ๆ ในตลาดหุ้น เป็นต้น ดังนั้นยิ่งเงินเฟ้อมากเท่าไหร่ พวก Elite (ชนชั้นนำ) ก็ยิ่งรวยขึ้นๆ และทำงานน้อยลงๆ แต่พวกผู้คนชนชั้นกรรมมาชีพ (รากหญ้า จนถึง ชนชั้นกลาง) กลับต้องทำงานหนักขึ้นทุกวันๆ เพื่อต่อสู้กับ inflation (เงินเฟ้อ, ค่าครองชีพ ค่าเรียนลูก ค่ารักษาโรค ฯลฯ ที่สูงขึ้นทุกวันๆ) กล่าวง่ายๆ เลยก็คือ พวก Elite (ชนชั้นนำ) คือ เสือนอนกินดีๆ นี่เอง ที่อยู่เฉยๆ ก็มีคนเอาเงินมาฝากเข้า bank พอนำเงินฝากไปปล่อยกู้แล้วได้กำไรมา เค้าก็แค่จ่ายดอกเบี้ยเล็กๆ น้อยๆ คืนให้คนฝาก ส่วนร้าน 7-11 ก็ได้เงินระดมทุนจากพวกชนชั้นกลาง แล้วเอาไปพัฒนาร้าน 7-11 ให้มีสินค้าครบครัน แอร์เย็นๆ ร้านสวยๆ บริการดีๆ แล้วทีนี้ร้านโชว์ห่วยๆ ที่ไหนจะกล้าต่อกรกับร้าน 7-11 ได้เล่า ยิ่งร้านโชว์ห่วยเจ๊งลงไปมากเท่าไหร่ ร้าน 7-11 ก็ยิ่งรวยขึ้นๆ เท่านั้น ประกอบกับผู้คนต่างรู้สึกว่าชีวิตตัวเองไม่มั่นคงเพราะ inflation (เงินเฟ้อ) ก็แห่กันจากทั่วสารทิศมาทำงานให้ร้าน 7-11 (ยิงปืนนัดเดียว ได้นก 2 ตัว เลยทีเดียว) แล้วทีนี้คุณคิดว่าพวก Elite (ชนชั้นนำ) เค้าจะยอมให้ bitcoin กับ gold ขึ้นแท่นเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนของโลกได้จริงหรือ ? ... แล้วถ้าคุณเป็น 1 ในชนชั้น Elite เหล่านั้นแล้วคุณจะยอมไหมล่ะ ? ... คำตอบนี้ใครๆ ก็รู้ แม้แต่เด็ก ป.6 เพราะผลประโยชน์มันหอมหวาน
เหตุผลที่ Bitcoin กับ Gold จะไม่มีวันขึ้นแท่นเป็นสื่อกลางแลกเปลี่ยนของโลก
ความจำเป็นของ Fiat money (เงินตรา) ต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ
ถ้าหากสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนมูลค่าใดๆ ก็ตามไม่ก่อให้เกิดสภาวะ inflation (เงินเฟ้อ) ผู้คนก็จะไม่กระตือรือร้นในการทำกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆ เช่น ทำงาน, ทำธุรกิจ-การค้า ฯลฯ สมมติว่า ถ้าคุณคำนวณแล้วว่า คุณหาเงินแค่ 10 ล้านบาท ก็สามารถเลี้ยงชีพไปจนตายได้ล่ะก็ พอคุณหาเงิน (ที่ไม่เฟ้อ เช่น gold) ได้ครบ 10 ล้านบาท คุณก็จะพอใจกับเงินก้อนนี้ จนคุณไม่อยากออกไปทำงาน หรือ ทำธุรกิจ-การค้าให้เหนื่อยหน่ายอีกเลย แต่ๆ นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าคนจะเลิกทำงาน ทำธุรกิจ/การค้ากันถาวรหมดทุกคนเลยนะ แต่อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจจะต้องลดลงไปอย่างมากแน่นอน
ถ้ามีคนทำแบบนี้ไปซัก 3,000,000,000 คนบนโลกนี้จะเกิดอะไรขึ้น ?
คนบนโลกนี้มีจำนวนประมาณ 8,000,000,000 คน แล้วถ้ามีคนจำนวน 3,000,000,000 คน ถือ Bitcoin หรือ Gold ที่มีมูลค่าเท่ากับ 3 ถึง 10 ล้านบาท เพียงแค่นี้พวก ธุรกิจ ห้างร้าน พ่อค้า แม่ขาย ทั้งในตลาดหุ้น และนอกตลาดหุ้น ก็จะเกิดความโกลาหลแล้ว เพราะไม่มีใครอยากมาสมัครงาน แล้วทีนี้กิจกรรมทางเศรษฐกิจ (ซื้อ-ขาย, แลกเปลี่ยน, การผลิตสินค้า/บริการ/เทคโนโลยี แปลกๆ ใหม่ๆ) ก็จะลดลงไปอย่างมาก แต่ถ้ารัฐบาลออกกฎหมายบังคับผู้คนให้ใช้ fiat money (เงินตรา) เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนที่ FED (ธนาคารกลาง) สามารถพิมพ์เงินออกมาได้ตลอดล่ะก็ มันก็จะทำให้สินค้า และบริการในท้องตลาดแพงขึ้นๆ ทีละนิดๆ จนผู้คนรู้สึกว่าเงินตราที่ตัวเองถืออยู่ด้อยมูลค่าลงไปทีละนิดๆ ด้วยเช่นกัน นั่นจึงส่งผลให้ผู้คนกระตือรือร้นที่จะออกไปทำกิจกรรมทางเศรษฐกิจ (ค้าขาย, ทำงาน, ทำธุรกิจ) สาเหตุที่คนกัดฟันออกไปทำงานไปจนอายุ 50-60 ปี โดยที่ไม่ได้รู้สึกชอบกับงานที่ตัวเองทำอยู่เลย นั้นก็เป็นเพราะเหตุนี้นี่เอง (ไม่ทำงานก็ต้องอดตาย เพราะค่าครองชีพ ค่าเรียนลูก ค่ารักษาโรค ฯลฯ ที่สูงขึ้นทุกวันๆ)
Bitcoin กับ Gold จะก่อให้เกิดภาวะ deflation (เงินฝืด) และบั่นทอนกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
ถ้า gold หนัก 1 บาท ไม่เท่ากับ gold หนัก 1 บาทฉันใด bitcoin 1 เหรียญ ก็จะไม่มีวันมีค่าเท่ากับ bitcoin 1 เหรียญฉันนั้น เพราะถ้ามีคนจำนวน 3,000,000,000 คนบนโลกนี้ ถือ Bitcoin หรือ Gold ที่มีมูลค่าเท่ากับ 3 ถึง 10 ล้านบาท มันก็หลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้วที่จะเกิดภาวะ deflation (เงินฝืด) กล่าวคือ จำนวนเงินในระบบของแต่ละประเทศมีน้อยเกินความต้องการ เพราะใครๆ ก็อยากถือครอง bitcoin กับ gold เพื่อเอาไว้ใช้ในบั้นปลายชีวิต หรือ ทุนการศึกษาให้บุตรหลาน ฯลฯ แบบนี้เป็นต้น แต่ถ้ารัฐบาลออกกฎหมายให้สามารถพิมพ์เงิน fiat money (เงินตรา) ออกมาได้ทีละนิดๆ อย่างไม่จำกัดล่ะก็ ธนาคารพาณิชย์ก็จะได้รับการอัดฉีดเม็ดเงินเข้ามา เพื่อนำไปปล่อยกู้ให้ธุรกิจ ห้างร้านต่างๆ ได้ ภาวะ deflation (เงินฝืด) ก็จะค่อยๆ หายไปทีละนิดๆ (แต่ถ้าพิมพ์มากๆ ก็จะเกิดภาวะเงินเฟ้อ) จากนั้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ซบเซาก็จะฟื้นกลับมามีชีวิตชีวา (การสร้างโรงงาน, การลงทุน, การซื้อ-ขาย, แลกเปลี่ยน, การผลิตสินค้า/บริการ/เทคโนโลยี แปลกๆ ใหม่ๆ ออกสู่ท้องตลาด)
FED (ธนาคารกลาง) ของแต่ละประเทศ ต้องการด้อยค่า Bitcoin กับ Gold
FED (ธนาคารกลาง) จงใจทำให้มูลค่า Bitcoin กับ Gold ผันผวนรุนแรง โดยทำให้มีค่าเท่ากับ fiat money (เงินตรา) เพื่อด้อยค่ามัน เช่น ราคา Bitcoin กับ Gold เหวี่ยงขึ้น/ลงทีนึง 3-10 เปอร์เซ็นต์/สัปดาห์ ไปตามอัตราเงินเฟ้อ แล้วทีนี้คนที่ไม่ได้มีเงินเย็นๆ ซัก 5 ถึง 10+ ล้านบาทขึ้นไป แล้วใครจะอยากถือครอง Bitcoin กับ Gold (เพราะใครๆ ต่างก็จำเป็นต้องถอนเงินออกมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน) แล้วถ้าเกิดถอนเหรียญ bitcoin ออกมาเป็นเงิน ดอลลาร์ แล้วมูลค่ามันดันลดลงไปถึง 3-10 เปอร์เซ็นต์ แล้วไหนจะโดน broker ฟันค่าธรรมเนียมเพิ่มเข้าไปอีก เป็นใครๆ ก็ต้องคิดหนักที่จะถือ bitcoin ไว้เยอะๆ นี่จึงทำให้ความน่าสนใจในการถือครอง Bitcoin กับ Gold ลดลงไปอย่างมาก (ในมุมมองของคนที่ไม่ได้ร่ำรวย มีเงินเย็นๆ จำนวนมาก) ... อีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ราคา gold มีความผันผวนสูง นั้นก็เป็นเพราะ FED (ธนาคารกลาง) ของแต่ละประเทศ เค้าเทรด gold เพื่อทำให้ fiat money ของประเทศตัวเองเกิดความเสถียร เช่น ช่วงสมัยต้มยำกุ้ง ธนาคารของไทยเราต้องการทำให้เงินบาทมีค่าที่เสถียรเท่ากับ 25 บาท/ดอลลาร์ ซึ่งส่วนหนึ่งก็เกิดจากการเทรด gold ด้วย สมมติว่า FED (ธนาคารกลาง) ทั่วโลกต่างพากันเทรด gold มันก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ 100 เปอร์เซ็นต์อยู่แล้วล่ะว่า ราคา gold มันจะต้องผันผวนรุนแรงอย่างแน่นอน และในอนาคต FED เค้าอาจมีกลยุทธ์บางอย่างที่จะทำให้ราคา bitcoin ผันผวนหนักมากขึ้นกว่านี้อีกก็เป็นได้
Elite (ชนชั้นนำ) คือผู้ควบคุมการกระทำของรัฐบาล และได้ประโยชน์จาก inflation (เงินเฟ้อ)