[เล่าเรื่องเก่า] ช่วงปี 2006-2007
ปลาย ปี 2006 บริทนีย์เพิ่งคลอดเจเดน บริทนีย์ก็พยายามจะหย่ากับเควิ่นโดยปรึกษาทนายเรื่องหย่าเพราะเควิ่นไม่ทำหน้าที่สามีที่ดีเลย ก็ต้องมาแย่งสิทธิ์เลี้ยงลูกกัน แต่ทนายที่ดำเนินการเรื่องหย่าให้บริทนีย์ไม่ได้อยู่ข้างบริทนีย์เลย ดันไปเข้าข้างฝั่งตาเจมี่และเควิ่น เพราะเขาวางแผนกันว่าจะทำให้บริทนีย์เสียสิทธิ์เลี้ยงลูกให้เควิ่น แล้วบริทนีย์ก็จะทนไม่ได้ทีนี้ก็วางแผนจับนางเข้า conservatorship ง่ายๆเลยแผนนี้
จะเห็นว่าช่วงนั้นข่าวบริทนีย์ป่นปี้มาก โจมตีทุกเรื่องให้ดูแย่สุดๆ ไม่เหมาะแก่การได้สิทธิ์เลี้ยงลูก ส่วนเควิ่นพ่อเทพบุตร ไม่มีข่าวโจมตีอะไรเลย ใสๆ พร้อมเป็นพ่อพระเอกของลูกแบบเนียนๆ ก็ไม่ใช่เควิ่นไม่มีจุดด่างพร้อย แต่พอบริทนีย์จะแฉฝั่งเควิ่นบ้าง ทำไม่ได้ เพราะบริทนีย์ถูกกดเอาไว้ เพื่อทำให้แพ้คดีแย่งสิทธิ์เลี้ยงลูก บริทนีย์พยายามหาทนายใหม่ที่จะช่วยนางเอาสิทธิ์เลี้ยงลูกคืนมา 50/50
แต่ทนายคนนั้นก็ถูกกลั่นแกล้งจนถูกเพิกถอนใบอนุญาตการเป็นทนาย ทำให้ไม่มีใครช่วยบริทนีย์ได้เลย พอชีวิตนางไม่มีลูกนางก็เหมือนคนไร้จุดหมาย ไม่รู้จะหันหน้าไปทางไหนดี เพราะลูกคือบ้านของนาง ไม่มีลูกก็เหมือนคนไม่มีบ้านอยู่ พวกนั้นก็เอาลูกมาล่อนางให้ติดกับ นางจึงอธิบายในภายหลังว่า “ฉันเหมือนคนที่วิ่งไล่ตะครุบสิ่งที่เขายั่วยุ” มันไม่ใช่ว่านางจัดการกับสภาพจิตใจของตัวเองไม่ได้ หรืออ่อนแอ หรือเปราะบางอย่างที่เข้าใจ เพราะมันไม่ใช่แบบนั้นเลย นางเข้มแข็งมาก มากจนไม่รู้ว่าจะมีมนุษย์คนไหนเข้มแข็งได้เท่ามนุษย์คนนี้
สภาพตอนที่นางเข้าไปนั่งฟังคำพิพากษาเรื่องสิทธิ์เลี้ยงลูก สีหน้าเรียบ นิ่ง ไม่มีการร้องไห้ฟูมฟาย ไม่มีการโวยวายโต้แย้งอะไรใดใด แม้ว่าการตัดสินมันจะไม่ยุติธรรมกับนางเลยสักนิด นางก้มหน้ายอมรับและเดินหน้าต่อ มันไม่มีประโยชน์ที่จะไปเรียกร้องให้ผู้พิพากษากลับคำตัดสิน
อัลลี่ซิม ผู้ช่วยที่อยู่กับบริทนีย์ช่วงปี 2007 และเขาก็เป็นญาติห่างๆของบริทนีย์ด้วย ได้พูดว่า เธอคิดว่าหลังจากที่บริทนีย์โดนพ่อจับเข้า conservatorship บริทนีย์คงไม่รู้จะทำอย่างไรได้ก็เลยต้องยอมกลับไปงานตามสั่ง เพราะนั่นเป็นเพียงสิ่งเดียวที่พวกเขาอนุญาตให้เธอทำ ทำงานไปจนกว่าที่พวกเขาจะพอใจ หรือจะมีใครเห็นความผิดเพี้ยนของระบบกฏหมายนี้ และป่าวประกาศมันออกมาดังๆ ในที่สุดมันก็มีวันนี้จริงๆ วันที่พวกเราต้องมา #FreeBritney
#BritneyThailand
#britneyspears
#BiMBT
BritneySpears ช่วงปี 2006-2007 ถูกสื่อโจมตีแต่เบื้องลึกเบื้องหลังนางถูกวางแผนทำให้แพ้คดีแย่งสิทธิ์เลี้ยงลูก
ปลาย ปี 2006 บริทนีย์เพิ่งคลอดเจเดน บริทนีย์ก็พยายามจะหย่ากับเควิ่นโดยปรึกษาทนายเรื่องหย่าเพราะเควิ่นไม่ทำหน้าที่สามีที่ดีเลย ก็ต้องมาแย่งสิทธิ์เลี้ยงลูกกัน แต่ทนายที่ดำเนินการเรื่องหย่าให้บริทนีย์ไม่ได้อยู่ข้างบริทนีย์เลย ดันไปเข้าข้างฝั่งตาเจมี่และเควิ่น เพราะเขาวางแผนกันว่าจะทำให้บริทนีย์เสียสิทธิ์เลี้ยงลูกให้เควิ่น แล้วบริทนีย์ก็จะทนไม่ได้ทีนี้ก็วางแผนจับนางเข้า conservatorship ง่ายๆเลยแผนนี้
จะเห็นว่าช่วงนั้นข่าวบริทนีย์ป่นปี้มาก โจมตีทุกเรื่องให้ดูแย่สุดๆ ไม่เหมาะแก่การได้สิทธิ์เลี้ยงลูก ส่วนเควิ่นพ่อเทพบุตร ไม่มีข่าวโจมตีอะไรเลย ใสๆ พร้อมเป็นพ่อพระเอกของลูกแบบเนียนๆ ก็ไม่ใช่เควิ่นไม่มีจุดด่างพร้อย แต่พอบริทนีย์จะแฉฝั่งเควิ่นบ้าง ทำไม่ได้ เพราะบริทนีย์ถูกกดเอาไว้ เพื่อทำให้แพ้คดีแย่งสิทธิ์เลี้ยงลูก บริทนีย์พยายามหาทนายใหม่ที่จะช่วยนางเอาสิทธิ์เลี้ยงลูกคืนมา 50/50
แต่ทนายคนนั้นก็ถูกกลั่นแกล้งจนถูกเพิกถอนใบอนุญาตการเป็นทนาย ทำให้ไม่มีใครช่วยบริทนีย์ได้เลย พอชีวิตนางไม่มีลูกนางก็เหมือนคนไร้จุดหมาย ไม่รู้จะหันหน้าไปทางไหนดี เพราะลูกคือบ้านของนาง ไม่มีลูกก็เหมือนคนไม่มีบ้านอยู่ พวกนั้นก็เอาลูกมาล่อนางให้ติดกับ นางจึงอธิบายในภายหลังว่า “ฉันเหมือนคนที่วิ่งไล่ตะครุบสิ่งที่เขายั่วยุ” มันไม่ใช่ว่านางจัดการกับสภาพจิตใจของตัวเองไม่ได้ หรืออ่อนแอ หรือเปราะบางอย่างที่เข้าใจ เพราะมันไม่ใช่แบบนั้นเลย นางเข้มแข็งมาก มากจนไม่รู้ว่าจะมีมนุษย์คนไหนเข้มแข็งได้เท่ามนุษย์คนนี้
สภาพตอนที่นางเข้าไปนั่งฟังคำพิพากษาเรื่องสิทธิ์เลี้ยงลูก สีหน้าเรียบ นิ่ง ไม่มีการร้องไห้ฟูมฟาย ไม่มีการโวยวายโต้แย้งอะไรใดใด แม้ว่าการตัดสินมันจะไม่ยุติธรรมกับนางเลยสักนิด นางก้มหน้ายอมรับและเดินหน้าต่อ มันไม่มีประโยชน์ที่จะไปเรียกร้องให้ผู้พิพากษากลับคำตัดสิน
อัลลี่ซิม ผู้ช่วยที่อยู่กับบริทนีย์ช่วงปี 2007 และเขาก็เป็นญาติห่างๆของบริทนีย์ด้วย ได้พูดว่า เธอคิดว่าหลังจากที่บริทนีย์โดนพ่อจับเข้า conservatorship บริทนีย์คงไม่รู้จะทำอย่างไรได้ก็เลยต้องยอมกลับไปงานตามสั่ง เพราะนั่นเป็นเพียงสิ่งเดียวที่พวกเขาอนุญาตให้เธอทำ ทำงานไปจนกว่าที่พวกเขาจะพอใจ หรือจะมีใครเห็นความผิดเพี้ยนของระบบกฏหมายนี้ และป่าวประกาศมันออกมาดังๆ ในที่สุดมันก็มีวันนี้จริงๆ วันที่พวกเราต้องมา #FreeBritney
#BritneyThailand
#britneyspears
#BiMBT