#บริทนีย์มีเรื่องเล่า 11.02.2022
ฉันพักที่เมาอิ ฮาวาย 18 วัน...ฉันไม่อยากกลับเลย...ฉันรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ!!! แม้ว่าฉันจะออกไปที่ชายหาดได้เพราะจะมีพวกปาปารัซซี่มาตามรังควานฉันอยู่ก็ตาม...ที่นี่ก็ยังน่าอยู่ !!มีสระว่ายน้ำส่วนตัวที่น่ารักมากๆที่มันจะเชื่อมต่อกับห้องสปา...มีถ้ำลึกลับที่ฉันไม่รู้ว่ามันมีห้องซาวน่าในนั้นด้วย...มีฝักบัวอาบน้ำอยู่กลางแจ้ง...ให้ฟิลลิ่งเหมือนฉันอยู่ในป่า!!! ที่ฉันมาอยู่ที่นี่ก็เพื่อที่ฉันจะได้ผ่อนคลายร่างกายและจิตใจ ปลุกทุกอย่างให้ตื่นตัว...ไม่มีมานอนอืดเศร้าซึมอีกต่อไป
...และฉันก็เริ่มไปออกกำลังกายให้เหงื่อออก บอกตามตรงเลยนะ...คนที่เคี่ยวเข็น ผลักดันฉันให้ทำอะไรสุดๆ ก็คือตัวฉันเอง ฉันก็อาจจะจ้างเทรนเนอร์มาช่วยสอนท่าออกกำลังกายพื้นฐานให้แต่เวลาที่ฉันออกกำลังกายแบบสุดๆจนเหงื่อท่วมก็เมื่อฉันเองทุ่มเทกับมันอย่างจริงจัง!!! นั่นคือที่ฉันไม่อยากจะทุ่มเทกับอะไรสักอย่างเพราะความเศร้ามันฉุดรั้งฉันไว้...สิ่งที่ครอบครัวของฉันได้ทำกับฉันฉุดรั้งฉันไว้...รั้งฉันไว้ไม่ให้ฉันได้ทำตามสิ่งที่ฉันปรารถนาที่จะทำ...ที่พวกเขาเรียกมันว่า “การช่วยเหลือ” !!! ที่ฉันพูดแบบนี้ไม่ใช่ว่าฉันไม่ต้องการความช่วยเหลือ ฉันเชื่อว่าการช่วยเหลือเป็นสิ่งที่ดี แต่ไม่ใช่การช่วยเหลือที่ลิดรอนทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต โดยที่ไม่ถงไม่ถามฉันเลยว่าต้องการความช่วยเหลือแบบไหน ยังไง
...สิ่งที่มันติดค้างในความรู้สึกของฉันก็คือความเศร้า...ถ้ามีคนในบ้านคุณกำลังเศร้าอยู่คุณก็คงไม่เอาเค้าออกจากบ้านตัวเองแบบนั้นใช่ไหมล่ะ!!! มีพยาบาลมากหน้าหลายตามาดูฉันตอนที่ฉันเปลี่ยนเสื้อผ้า...ไม่พูดไม่จาอะไรกับฉัน...ความเศร้ามันทำให้รู้สึกเหมือนติดอยู่ในที่มืด มันวนอยู่ในหัวหาทางออกไม่ได้ ตลอดระยะเวลา 4 เดือนที่ฉันต้องเผชิญกับสภาพแบบนี้มันทำให้ความเศร้าในหัวของฉันขยายใหญ่ขึ้นเป็นร้อยเท่า!!! ทีมงานที่ทำงานควบคุมฉันยืนอยู่ที่หน้าประตูและบอกว่าฉันออกไปไหนไม่ได้...เอาจริงนะ ฉันคิดว่าพวกเข้ากำลังจะฆ่าฉัน
...เพราะเหมือนกับว่ามันเป็นเรื่องตลกที่จะบอกว่าฉันจะทำงานอยู่ที่นี่เป็นเวลา 2 สัปดาห์...เมื่อไหร่ที่ฉันจะสามารถเอากุญแจรถ ขับรถกลับบ้านได้สักที??? คำตอบของพวกเขาคือ...คุณจะสามารถกลับบ้านได้ก็เมื่อพวกเราบอกคุณให้คุณกลับบ้านได้!!! ฉันต้องการขอบเขตที่ชัดเจน...ฉันต้องการที่จะรู้ว่าคุณจะมาทิ้งฉันไว้ที่นี่ทุกวันไม่ได้นะ!!! แล้วพวกเขาก็ตอบว่า...คุณต้องบำบัดอยู่ที่นี่เป็นเวลา 2 เดือน แล้วก็ไปอยู่ที่สถานบำบัดของเราอีก 1 เดือน...แต่เราไม่รู้เลยว่าอีกนานเท่าไหร่ที่จะอนุญาตให้คุณกลับบ้านได้!!! ฉันนี่รู้สึกสตั้น จนร่างกายหยุดการเจริญเติบโตไปเลยเมื่อตอนที่ฉันต้องอยู่ที่นั่น!!! ฉันใช้ได้แค่ร่างกายท่อนบนเพราะว่าฉันต้องนั่งที่เก้าอี้ 8 ชั่วโมง ทั้งวันและก็ต้องให้เลือด ประมาณ 8 แกลลอนทุกสัปดาห์!!!
เจ้าหน้าที่ 72 คนทิ้งฉันไว้ในรถ ทุกสัปดาห์.... มันโคตรแย่ และไม่เมคเซนซ์เลย เพราะก่อนหน้านั้นฉันทุ่มเททั้งหัวใจของฉันในการทำงานและฉันทำหน้าที่ของฉันอย่างดีที่สุดแล้ว!!! ครอบครัวของฉันฆ่าฉันไปแล้วและนั่นคือสิ่งที่ฉันรู้สึก...ฉันคิดว่ามันจะเป็นเรื่องตลกรึเปล่านะ มันไม่จริงใช่ไหม...จะมีใครไหมที่จะเดินเข้ามาจากประตูและบอกฉันว่า “ฮ่า ฮ่า พวกเราอำคุณเล่น” !!! แต่ไม่เลย... มันไม่ใช่เรื่องล้อเล่น!!! เหตุผลที่ฉันต้องพูดเรื่องนี้ขึ้นมาอีกครั้งก็เพื่อที่จะให้ทุกคนรู้ว่า ระบบการดูแลรักษาของพวกหมอและพยาบาล บางครั้งมั้นก็อาจเป็นกลวิธีที่จะทำให้คนอื่นไม่ได้ดีขึ้นหรือหายจากโรค...มันยิ่งกลับทำให้เค้าป่วยมากขึ้นเพื่อที่พวกเขาจะได้ทำงานของพวกเขาต่อไปและได้ผลประโยชน์ ได้เงินเข้าตัวเอง!!! มันเป็นแบบนั้น
...ฉันทำตัวดีเกินไปในระบบคอนเซอร์เวเทอร์ชิพนี่และไม่เคยปริปากพูดออกมาเลย...พวกเขาทำกับฉันมากเกินไปแล้ว!!!! ฉันได้เรียนรู้จากกระบวนการนี้ว่าการเป็นคนใจดีมีเมตตาเป็นสิ่งที่ดี...แต่บางครั้งกับเรื่องที่มันเป็นความรับผิดชอบที่ซีเรียส ที่มันต้องเรียกร้องเพื่อตัวเอง การเป็นคนดีมีเมตตามันโคตรแย่มากกว่าการมีเงินเหลือแค่ 2 สลึงอีก...แต่ฉันไม่สามารถที่จะโกรธหรือกรีดร้องออกมาหรือทำอะไรได้เลย!!! ฉันรู้สึกอึดอัดมาก!!! จนถึงจุดหนึ่งฉันก็เคยคิดนะว่า...นี่ฉันป่วยเป็นมะเร็งรึเปล่าวะและพวกเขาไม่อยากให้ฉันรู้ มันอาจจะเป็นวิธีบำบัดเทคนิคลับเฉพาะสำหรับคนที่ป่วยด้วยโรคมะเร็งรึเปล่า??? เอาตรงๆเลยนะ มันโคตรบ้ามากๆ เลย ในหลายชั่วโมงที่ฉันต้องสูญเสียไปกับคนแปลกหน้าที่มาบำบัดฉันมากถึง 7 คน!!! ฉันรู้สึกเพลียสุดๆที่ต้องอยู่ที่นั่น...ฉันพูดไม่ออก...ฉันได้รับยาลิเทียมในโดสที่สูง...มันเป็นเรื่องที่เสื่อมศีลธรรมมากๆ!!!
บางครั้งคนเราก็ต้องอยู่ในสภาพที่ต้องยอมแพ้ต่ออำนาจความรุนแรงเพื่อที่จะอยู่รอด นั่นเป็นสภาพที่ฉันต้องเผชิญ....ฉันอยากจะเตะกระสอบทรายแล้วก็กรีดร้องออกมาแต่ครอบครัวของฉันก็ไม่สน ไม่แคร์ และก็ทำท่าราวกับว่าฉันไร้ค่า!!! ความเจ็บปวดที่เลวร้ายที่สุดที่พวกเขาทำกับฉันคือ ตรรกะทางจิตวิทยาป่วยๆที่ครอบครัวของฉันตัดสินฉันว่า มันดีแล้วที่ฉันต้องอยู่ใน คอนเซอร์เวเทอร์ชิพ ที่พวกเขาจับฉันเข้าไป ฉันสมควรที่ต้องอยู่ในนั้น....โทษทีนะพวกเราช่วยคุณไม่ได้ในขณะที่พวกเขาก็กำลังสิ่งที่ผิดกฎหมายกับคุณอยู่!!!
ตอนนี้ฉันอยากจะถ่มน้ำลายใส่หน้าพวกเขา...สิ่งหนึ่งที่ฉันเสียดายในชีวิตตั้งแต่เกิดมาจนอายุ 40 ปีนี่ คือถ้าฉันย้อนเวลากลับไปได้ฉันจะไปถ่มน้ำลายใส่หน้าโง่ๆของพวกมัน!!! ฉันจะเป็นคนแรกเลยที่ยอมรับเลยว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับฉันมันกลับตาลปัตรมั่วไปหมดและยังไม่แม้แต่จะได้บอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดในสิ่งที่พวกเขาได้ทำกับฉัน... มันช็อกมากจริง ๆ แต่อีกในไม่นานฉันคิดว่าทุกอย่างจะคลี่คลายไปในทางที่ดีมากขึ้น!!! ฉันรู้ว่าฉันจะต้องเดินไปในทิศทางใด ฉันจะอยู่กับปัจจุบัน!!! ปล. จงซื่อสัตย์กับตัวเอง!!! ปล. ฉันยังฝันที่จะถ่มน้ำลายใส่หน้าพวกมันอยู่นะ...แค่นี้แหละ!!!
Credit: BritneySpears Instagram deleted posts
#BritneyThailand
#britneyspears
#BiMBT
Original messages
บริทนีย์ สเปียร์สเล่าเปิดใจถึงความเจ็บปวดที่ครอบครัวทำกับเธอ
#บริทนีย์มีเรื่องเล่า 11.02.2022
ฉันพักที่เมาอิ ฮาวาย 18 วัน...ฉันไม่อยากกลับเลย...ฉันรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ!!! แม้ว่าฉันจะออกไปที่ชายหาดได้เพราะจะมีพวกปาปารัซซี่มาตามรังควานฉันอยู่ก็ตาม...ที่นี่ก็ยังน่าอยู่ !!มีสระว่ายน้ำส่วนตัวที่น่ารักมากๆที่มันจะเชื่อมต่อกับห้องสปา...มีถ้ำลึกลับที่ฉันไม่รู้ว่ามันมีห้องซาวน่าในนั้นด้วย...มีฝักบัวอาบน้ำอยู่กลางแจ้ง...ให้ฟิลลิ่งเหมือนฉันอยู่ในป่า!!! ที่ฉันมาอยู่ที่นี่ก็เพื่อที่ฉันจะได้ผ่อนคลายร่างกายและจิตใจ ปลุกทุกอย่างให้ตื่นตัว...ไม่มีมานอนอืดเศร้าซึมอีกต่อไป
...และฉันก็เริ่มไปออกกำลังกายให้เหงื่อออก บอกตามตรงเลยนะ...คนที่เคี่ยวเข็น ผลักดันฉันให้ทำอะไรสุดๆ ก็คือตัวฉันเอง ฉันก็อาจจะจ้างเทรนเนอร์มาช่วยสอนท่าออกกำลังกายพื้นฐานให้แต่เวลาที่ฉันออกกำลังกายแบบสุดๆจนเหงื่อท่วมก็เมื่อฉันเองทุ่มเทกับมันอย่างจริงจัง!!! นั่นคือที่ฉันไม่อยากจะทุ่มเทกับอะไรสักอย่างเพราะความเศร้ามันฉุดรั้งฉันไว้...สิ่งที่ครอบครัวของฉันได้ทำกับฉันฉุดรั้งฉันไว้...รั้งฉันไว้ไม่ให้ฉันได้ทำตามสิ่งที่ฉันปรารถนาที่จะทำ...ที่พวกเขาเรียกมันว่า “การช่วยเหลือ” !!! ที่ฉันพูดแบบนี้ไม่ใช่ว่าฉันไม่ต้องการความช่วยเหลือ ฉันเชื่อว่าการช่วยเหลือเป็นสิ่งที่ดี แต่ไม่ใช่การช่วยเหลือที่ลิดรอนทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต โดยที่ไม่ถงไม่ถามฉันเลยว่าต้องการความช่วยเหลือแบบไหน ยังไง
...สิ่งที่มันติดค้างในความรู้สึกของฉันก็คือความเศร้า...ถ้ามีคนในบ้านคุณกำลังเศร้าอยู่คุณก็คงไม่เอาเค้าออกจากบ้านตัวเองแบบนั้นใช่ไหมล่ะ!!! มีพยาบาลมากหน้าหลายตามาดูฉันตอนที่ฉันเปลี่ยนเสื้อผ้า...ไม่พูดไม่จาอะไรกับฉัน...ความเศร้ามันทำให้รู้สึกเหมือนติดอยู่ในที่มืด มันวนอยู่ในหัวหาทางออกไม่ได้ ตลอดระยะเวลา 4 เดือนที่ฉันต้องเผชิญกับสภาพแบบนี้มันทำให้ความเศร้าในหัวของฉันขยายใหญ่ขึ้นเป็นร้อยเท่า!!! ทีมงานที่ทำงานควบคุมฉันยืนอยู่ที่หน้าประตูและบอกว่าฉันออกไปไหนไม่ได้...เอาจริงนะ ฉันคิดว่าพวกเข้ากำลังจะฆ่าฉัน
...เพราะเหมือนกับว่ามันเป็นเรื่องตลกที่จะบอกว่าฉันจะทำงานอยู่ที่นี่เป็นเวลา 2 สัปดาห์...เมื่อไหร่ที่ฉันจะสามารถเอากุญแจรถ ขับรถกลับบ้านได้สักที??? คำตอบของพวกเขาคือ...คุณจะสามารถกลับบ้านได้ก็เมื่อพวกเราบอกคุณให้คุณกลับบ้านได้!!! ฉันต้องการขอบเขตที่ชัดเจน...ฉันต้องการที่จะรู้ว่าคุณจะมาทิ้งฉันไว้ที่นี่ทุกวันไม่ได้นะ!!! แล้วพวกเขาก็ตอบว่า...คุณต้องบำบัดอยู่ที่นี่เป็นเวลา 2 เดือน แล้วก็ไปอยู่ที่สถานบำบัดของเราอีก 1 เดือน...แต่เราไม่รู้เลยว่าอีกนานเท่าไหร่ที่จะอนุญาตให้คุณกลับบ้านได้!!! ฉันนี่รู้สึกสตั้น จนร่างกายหยุดการเจริญเติบโตไปเลยเมื่อตอนที่ฉันต้องอยู่ที่นั่น!!! ฉันใช้ได้แค่ร่างกายท่อนบนเพราะว่าฉันต้องนั่งที่เก้าอี้ 8 ชั่วโมง ทั้งวันและก็ต้องให้เลือด ประมาณ 8 แกลลอนทุกสัปดาห์!!!
เจ้าหน้าที่ 72 คนทิ้งฉันไว้ในรถ ทุกสัปดาห์.... มันโคตรแย่ และไม่เมคเซนซ์เลย เพราะก่อนหน้านั้นฉันทุ่มเททั้งหัวใจของฉันในการทำงานและฉันทำหน้าที่ของฉันอย่างดีที่สุดแล้ว!!! ครอบครัวของฉันฆ่าฉันไปแล้วและนั่นคือสิ่งที่ฉันรู้สึก...ฉันคิดว่ามันจะเป็นเรื่องตลกรึเปล่านะ มันไม่จริงใช่ไหม...จะมีใครไหมที่จะเดินเข้ามาจากประตูและบอกฉันว่า “ฮ่า ฮ่า พวกเราอำคุณเล่น” !!! แต่ไม่เลย... มันไม่ใช่เรื่องล้อเล่น!!! เหตุผลที่ฉันต้องพูดเรื่องนี้ขึ้นมาอีกครั้งก็เพื่อที่จะให้ทุกคนรู้ว่า ระบบการดูแลรักษาของพวกหมอและพยาบาล บางครั้งมั้นก็อาจเป็นกลวิธีที่จะทำให้คนอื่นไม่ได้ดีขึ้นหรือหายจากโรค...มันยิ่งกลับทำให้เค้าป่วยมากขึ้นเพื่อที่พวกเขาจะได้ทำงานของพวกเขาต่อไปและได้ผลประโยชน์ ได้เงินเข้าตัวเอง!!! มันเป็นแบบนั้น
...ฉันทำตัวดีเกินไปในระบบคอนเซอร์เวเทอร์ชิพนี่และไม่เคยปริปากพูดออกมาเลย...พวกเขาทำกับฉันมากเกินไปแล้ว!!!! ฉันได้เรียนรู้จากกระบวนการนี้ว่าการเป็นคนใจดีมีเมตตาเป็นสิ่งที่ดี...แต่บางครั้งกับเรื่องที่มันเป็นความรับผิดชอบที่ซีเรียส ที่มันต้องเรียกร้องเพื่อตัวเอง การเป็นคนดีมีเมตตามันโคตรแย่มากกว่าการมีเงินเหลือแค่ 2 สลึงอีก...แต่ฉันไม่สามารถที่จะโกรธหรือกรีดร้องออกมาหรือทำอะไรได้เลย!!! ฉันรู้สึกอึดอัดมาก!!! จนถึงจุดหนึ่งฉันก็เคยคิดนะว่า...นี่ฉันป่วยเป็นมะเร็งรึเปล่าวะและพวกเขาไม่อยากให้ฉันรู้ มันอาจจะเป็นวิธีบำบัดเทคนิคลับเฉพาะสำหรับคนที่ป่วยด้วยโรคมะเร็งรึเปล่า??? เอาตรงๆเลยนะ มันโคตรบ้ามากๆ เลย ในหลายชั่วโมงที่ฉันต้องสูญเสียไปกับคนแปลกหน้าที่มาบำบัดฉันมากถึง 7 คน!!! ฉันรู้สึกเพลียสุดๆที่ต้องอยู่ที่นั่น...ฉันพูดไม่ออก...ฉันได้รับยาลิเทียมในโดสที่สูง...มันเป็นเรื่องที่เสื่อมศีลธรรมมากๆ!!!
บางครั้งคนเราก็ต้องอยู่ในสภาพที่ต้องยอมแพ้ต่ออำนาจความรุนแรงเพื่อที่จะอยู่รอด นั่นเป็นสภาพที่ฉันต้องเผชิญ....ฉันอยากจะเตะกระสอบทรายแล้วก็กรีดร้องออกมาแต่ครอบครัวของฉันก็ไม่สน ไม่แคร์ และก็ทำท่าราวกับว่าฉันไร้ค่า!!! ความเจ็บปวดที่เลวร้ายที่สุดที่พวกเขาทำกับฉันคือ ตรรกะทางจิตวิทยาป่วยๆที่ครอบครัวของฉันตัดสินฉันว่า มันดีแล้วที่ฉันต้องอยู่ใน คอนเซอร์เวเทอร์ชิพ ที่พวกเขาจับฉันเข้าไป ฉันสมควรที่ต้องอยู่ในนั้น....โทษทีนะพวกเราช่วยคุณไม่ได้ในขณะที่พวกเขาก็กำลังสิ่งที่ผิดกฎหมายกับคุณอยู่!!!
ตอนนี้ฉันอยากจะถ่มน้ำลายใส่หน้าพวกเขา...สิ่งหนึ่งที่ฉันเสียดายในชีวิตตั้งแต่เกิดมาจนอายุ 40 ปีนี่ คือถ้าฉันย้อนเวลากลับไปได้ฉันจะไปถ่มน้ำลายใส่หน้าโง่ๆของพวกมัน!!! ฉันจะเป็นคนแรกเลยที่ยอมรับเลยว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับฉันมันกลับตาลปัตรมั่วไปหมดและยังไม่แม้แต่จะได้บอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดในสิ่งที่พวกเขาได้ทำกับฉัน... มันช็อกมากจริง ๆ แต่อีกในไม่นานฉันคิดว่าทุกอย่างจะคลี่คลายไปในทางที่ดีมากขึ้น!!! ฉันรู้ว่าฉันจะต้องเดินไปในทิศทางใด ฉันจะอยู่กับปัจจุบัน!!! ปล. จงซื่อสัตย์กับตัวเอง!!! ปล. ฉันยังฝันที่จะถ่มน้ำลายใส่หน้าพวกมันอยู่นะ...แค่นี้แหละ!!!
Credit: BritneySpears Instagram deleted posts
#BritneyThailand
#britneyspears
#BiMBT
Original messages