กำลังจะแต่งงานกับแฟน แต่รู้สึกทัศนคติเข้ากันไม่ได้ ควรแต่งมั้ย

สวัสดีครับ คือผมคบกับแฟนมาประมาณ 10 ปี อายุ 30 ต้นๆกันทั้งคู่แล้ว มีแพลนจะแต่งกันประมาณต้นปี 66 ผมเป็นแฟนคนแรกของเธอ
ไปมาหาสู่กันตลอด คล้ายๆอยู่ก่อนแต่ง เขาก็เข้ากับที่บ้านเราได้ เลยตัดสินใจขอเขาแต่งงาน
แต่พอจะแต่งมันก็มีหลายเรื่องที่ต้องคุยแล้วก็ตัดสินใจร่วมกัน พอได้คุยกันจริงๆจังๆ ก็ทะเลาะกันตลอด ทัศนคติหรือความคิดไม่ค่อยจะตรงกัน มีหลายๆครั้งที่เรารู้สึกว่าคุยกันไม่รู้เรื่องเลย และเขาก็เป็นคนที่ sensitive มาก ไม่ว่าผมจะพูดหรือแนะนำอะไร เขาก็จะมองว่าผมต่อว่าเขาไปหมดทุกอย่าง จนสุดท้ายก็คุยกันไม่รู้เรื่อง แล้วก็จบที่คำตัดพ้อเพื่อตัดปัญหา 
ซึ่งจริงๆ ตอนคบกันก็มีปัญหานี้ ผมเคยบอกเลิกเขาไปแล้ว แต่เขาก็ไม่ยอมเลิก ก็เลยคุยกัน คิดว่าเขาปรับได้แล้ว แต่พอเอาเข้าจริงก็ยังแก้ปัญหาเรื่องนี้กันไม่ได้ ล่าสุดมีคุยกันตัดสินใจซื้อคอนโดร่วมกันด้วย

ผมเลยกังวลว่าถ้าปัญหานี้มันแก้ไม่ได้สักที แต่งงานไปจะไปกันรอดมั้ย แต่งแล้วมันจะดีขึ้นหรือจะหนักกว่าเดิม ไม่อยากมานั่งทะเลาะกันตลอดเวลาคุยกัน ควรทำยังไงดีครับ จะเลิกหรือแต่งๆไป
แก้ไขข้อความเมื่อ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 27
ใจคุณเลิกกับเธอไปแล้วตั้งแต่บอกเลิกไปครั้งนั้น
แต่ใจอ่อนเพราะเค้าไม่เลิกและความผูกพันธ์
จนลากยาวมาถึงตอนนี้พอถึงเวลาจิงที่ต้องผูกมัดกัน
ด้วยการแต่งงานมันทำให้แน่ใจว่าไม่เอาคนนี้
คนในนี้อาจแนะนำให้แต่งเพราะผู้หญิงเสียหาย
และคบกันมานาน ไม่รู้สิใครแต่งกะเราเพราะจำใจ
และสงสารคงรู้สึกแย่พิลึก
คิดทบทวนดูให้ดีๆ ถ้าคิดแล้วคิดอีกไม่รักแล้ว
ไม่เอาแล้วบอกเธอไปค่ะ อย่าให้เสียเวลาไปกันอีก
สิบปีมันนานเกินไปแล้ว
ต่อให้ผู้หญิงไม่ยอมไม่เลิกคุณก้อต้องเด็ดขาด
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 21
ธรรมชาติของคนเรา ถูกเหวี่ยงให้มาพบกับใครคนใดคนหนึ่ง ในช่วงเวลาหนึ่งๆเสมอ จากเหตุคือวาสนาหรือจะเรียกว่า กรรมสัมพันธ์ก็ได้ครับ
ถ้าเราเคยสร้างเหตุไว้ในอดีต และเหตุนั้นให้ผลเป็นคนที่จะมาใช้ชีวิตกับเราช่วงหนึ่ง (อันนี้ใช้ได้หมดทั้งความเป็นพ่อแม่พี่น้องหรือคนรัก)
พอหมดเหตุแล้ว หากต่างฝ่ายต่างไม่ได้สร้างเหตุที่จะครองคู่กันต่ออย่างราบรื่น มันก็ทำให้เกิดรอยแยก เริ่มตั้งแต่จิตใจที่ไม่รู้สึกแนบแน่นเหมือนแต่ก่อน ลามไปจนถึงเกิดความคิดประหวั่นว่าอะไรอะไรเข้ากันได้มากแค่ไหน
.................
หากสำรวจดูประเด็นหลักๆที่จะครองคู่กันแล้ว พบว่ามีความไม่ลงรอยกันหลายอย่าง ก็ต้องคุยๆกันว่าพอจะปรับจูนได้ไหม
ถ้าคุยไม่ได้ มันก็จะลำบาก แต่เรื่องนี้มีความสับสนอยู่อย่าง คือตอนขอแต่งงาน มีความมั่นใจ แต่ตอนนี้กลับไม่มั่นใจ
ไม่ทราบว่า พอแยกความแตกต่างระหว่างสองความรู้สึก ทั้งสองชั่วขณะนั้นได้ไหมครับ ว่าประเด็นไหน ที่ทำให้เรารู้สึกไม่มั่นใจ
แม้ประเด็นนั้นจะค่อนข้าง sensitive หรือดูเห็นแก่ตัว ถ้ากล้าพูดกับตัวเองทั้งหมด ก็จะค่อยๆแก้ไขได้
...................
ส่วนประเด็นที่ผมแนะนำให้สำรวจว่า เรากับหล่อน ไปด้วยกันได้ไหม ก็จะมีดังนี้นะครับ
1.ปัจจัยชุ่มชื่นหัวใจและวาบหวาม ประกอบด้วย Romantic / Erotic / Love language
1.1 Romantic คือเรื่องความใส่ใจ การจำรายละเอียด >> ให้ดูว่าเธอหรือเราอินกับเรื่องนี้ไหม และต่างฝ่ายต่างทำให้กับฝ่ายที่อินในเรื่องนี้ไหม (รวมประเด็นปลีกย่อยเช่น ชอบให้ทำแบบนี้ จำแบบนี้ ใส่ใจแบบนี้)
1.2 Erotic คือเรื่องการให้อีกฝ่ายสุขสมทางเพศรส >> ให้ดูว่าเธอหรือเราอินกับเรื่องนี้ไหม ต่างฝ่ายต่างพยายามปรับเพื่อให้อีกฝ่ายพอใจไหม (รวมประเด็นเรื่องการดูแลตัวเอง รูปร่าง ต่างๆด้วย)
1.3 Love language หรือ "ภาษารัก" อันแตกย่อยได้อีก 5 อย่างคือ
การสัมผัสทางกาย / การให้ของขวัญและการ์ด / การให้กำลังใจและคำปรึกษา / การให้การบริการช่วยเหลือ / การให้เวลาคุณภาพร่วมกัน  
ซึ่งคนเราจะอินหรือไม่อินในแต่ละข้อไม่เหมือนกัน คำถามคือ เราหรือเธอ ได้ให้ในสิ่งที่อีกฝ่ายเค้ารู้สึกอินบ้างหรือไม่ (ไม่จำเป็นต้องอินข้อเดียวกัน แต่ต้องสอดรับกันคือ อีกฝ่ายต้องให้ในสิ่งที่อีกฝ่ายอินแบบที่ไม่ฝืนใจตัวเองเกินไปนัก)
.........................................
2.ปัจจัยคนรู้ใจที่ร่วมกันเดินทางระยะยาว ประกอบด้วยหลักๆ 4 ประเด็นคือ
2.1 เป้าหมายในชีวิตหลักๆคล้ายกันไหม เช่น เรื่องมีลูก มีบ้าน มีระดับการอาศัยอยู่ มีเงิน ประมาณไหน
2.2 เสียสละให้แก่กันและกัน ในระดับที่ต่างฝ่ายต่างไม่รู้สึกถูกเอาเปรียบไหม เช่น คนนึงทำงานหาเงินมาใช้จ่ายร่วมกันในบ้าน อีกคนทำงานบ้าน จัดแจงอาหาร เลี้ยงลูก หรือจะทำงานทั้งคู่ และแบ่งเบาภาระไปทั้งคู่พร้อมๆกันก็ได้ แต่สำคัญคือ ต้องไม่ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกถูกเอาเปรียบนานๆ เพราะยิ่งนานจะยิ่งเกิดความรู้สึกเหนื่อย และความรักค่อยๆลดลงได้ บางทีถ้ายิ่งเต็มใจอยากทำให้อีกฝ่าย และอีกฝ่ายไม่ได้จ้องจะคิดเอาเปรียบเกินไป กลับยิ่งทำให้รับรู้ได้ถึงความปรารถนาดีและซึ้งใจ ทำให้อยากให้คืนแก่คนรักวนไปอีก
2.3 พูดคุยกันในเรื่องต่างๆและมีความเห็น มีความเข้าใจ มีการใช้เหตุผลและอารมณ์ ในระดับที่คล้ายกันไหม ไม่ใช่เหมือนพูดๆไปแล้วฝ่ายนึงใช้เหตุผล อีกฝ่ายเอาแต่ใช้อารมณ์ หรือเล็กๆน้อยๆก็โอ๊ยๆ ไม่อยากฟัง
2.4 มีพฤติกรรมนิสัย กรอบความประพฤติและ lifestyle คล้ายๆกันไหม
...........................................
ทั้งปัจจัยข้อ 1 (รวม 3 ข้อ) ต้องคอยเติมเต็มให้ชุ่มชื่นวาบหวามแก่กันและกัน give and take ang give and take ไปเรื่อยๆ ถ้ารู้สึกเริ่มไม่คลิก ก็ต้องเริ่มคุยกัน ปรับให้แก่กันและกันเป็นแบบที่อีกฝ่ายชอบ โดยที่อีกฝ่ายไม่ฝืนจนเกินไป  (ถ้าต้องฝืนจนเกินไปก็ลองคุยกันว่าลดความต้องการตรงนี้ลงได้บ้างไหม ถ้ามีข้ออื่นๆเสริมดีอยู่ อาจจะไม่ต้องคลิกเป๊ะๆก็ได้)
ทั้งปัจจัยข้อ 2 (รวม 4 ข้อ) ต้องคอยวางแผนพูดคุย และคอยสำรวจตลอดทางอย่างเป็นกลางว่า เรากับเธอเข้ากันได้ไหม ลองคิดดูว่าถ้าคนสองคนคิดจะเดินทางไกลด้วยกัน
-หากมีเป้าหมายเดียวกัน ก็เหมือนจับมือเดินไปทางเดียวกัน
-หากมีความเสียสละเสมอกัน ก็เหมือนช่วยกันแบ่งเบาภาระน้อยใหญ่ระหว่างทางกันไปตลอด
-หากมีระดับการพูดคุยด้วยสติปัญญาคล้ายๆกัน ก็จะทำให้คุยกันถูกคอเข้าใจกันไปเรื่อยๆ เข้าใจในความคิดอีกฝ่าย
-หากมีพฤติกรรม/นิสัยและ lifestyle คล้ายๆกัน ก็เหมือนระหว่างทางมีกิจกรรมที่ล้อไปด้วยกันได้ เข้าใจในพฤติกรรมของอีกฝ่าย
.............................................
การเข้ากันได้ทั้งสองส่วน การพยายามจูนทั้งสองส่วนแบบที่ไม่ฝืนจนเกินไปให้เข้าใจตรงกัน จะเป็นเหตุที่ทำให้ความรักของคนรัก สามารถครองคู่กันไปได้อย่างชุ่มชื่นหัวใจ ทั้งวาบหวามเป็นระยะ และยังรู้สึกอบอุ่นปลอดภัยเหมือนคนรักเหมือนเพื่อนรู้ใจที่เดินทางไกลไปด้วยกันครับ
ความคิดเห็นที่ 15
จะแต่งทั้งที
ต้องแน่ใจ 100% เท่านั้น
ไม่งั้น ชีวิตจะไม่มีความสุขครับ

ตอบตัวเองให้ได้
และซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเอง
อย่าเสียดายเวลาที่ผ่านมา
แต่ควรเสียดายเวลาข้างหน้า ถ้าหากต้องอยู่ด้วยกันแล้วไม่มีความสุขครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่