พ.ศ.2327 ทัพอังวะพิชิตอารากัน(ยะไข่)ได้สำเร็จ ด้วยฝีมือการนำทัพของอุบากอง ที่คอยดูฤกษ์ผานาที ดวงดาวโคจรดีร้ายบนท้องฟ้า
อุบากองจึงได้อวยยศเป็นนายกอง หรือ ร้อยเอก
แต่อนิจจาเสร็จศึกได้ดีกลับต้องเสียเมียไป ปิ่นที่บากองเห็นแท้จริงเป็นนุชคนจากอนาคตสิงสู่อยู่ จึงโทษว่าหม่องสะเป็นเหตุให้ปิ่นเปลี่ยนไป
พระเจ้าปดุงทรงให้จัดสำแดงละครอิเหนา ตอนบุษบาเสี่ยงเทียน ร้องพากย์ภาษาพม่า ฉลองชนะศึก
ระหว่างนั้นเอง เจ้าจอมมาลา(กุ้ยเฟย) พระธิดาเจ้าเมืองนายใกล้แม่ฮ่องสอน สนใจใคร่เรียนรำไทย จึงมาขอเรียนจากเจ้าฟ้าโยเดียทั้งสอง ทรงโปรดให้ปิ่นนางรำถวายการสอนแด่เจ้าจอม
มิช้านานเจ้าจอมมาลา ทรงปฏิพัทธ์รักใคร่ปิ่นด้วยใจจริง ครั้นจะคิดเล่นเพื่อนก็หาไม่
แต่หน้าต่างมีหู ประตูมีตา เรื่องถึงพระเนตรพระกรรณพระเจ้าปดุง ทรงให้อุปราชไต่สวน
(ขึ้นชื่อว่าอำนาจ ราชศักดิ์ นั้นไม่เข้าใครออกใคร เพราะรักแท้กินไม่ได้ ไม่ทำให้ใครอิ่มท้อง)
แล้วเบิกตัวปิ่นมาเฝ้าพระเจ้าปดุง ทรงยินว่านางรำผู้นี้หยั่งรู้อนาคต
เมื่อพระผ่านพิภพ ยินคำตอบแล้ว ทรงกริ้วเป็นยิ่งนัก
ทรงลงพระอาญามอบโทษตายแก่นางรำผู้โอหัง ด้วยเท็จทูลเบื้องสูงเป็นเหตุ
ให้เผาทั้งเป็นบนกองฟอน
(เป็นโทษประหารสตรีฝ่ายใน)
(แผนที่กรุงเทพ วาดโดยจารบุรุษอังวะ)
แม้แต่เจ้าฟ้าโยเดียทั้งสองพระองค์ ยังมิอาจทูลขออภัยโทษให้แก่ปิ่นได้
อุบากองเหมือนต้องฟ้าผ่า ให้ร้อนใจคิดแหกคุกพาปิ่นหนีกลับโยเดีย
บากองทูลขอพักรบเมื่อถึงซินเมย่(เชียงใหม่) ด้วยเป็นแดนบ้านเกิด
แล้วจึงคำนวนหาฤกษ์ยาม จนรู้ว่าจักเกิดสุริยคราสวันไหนเพลาใด
ครั้งเพลาคราสมาถึง ราหูอมตะวัน ชาวอมรปุระต่างตื่นตระหนก
เสียงนกบินกลับรัง
ฝูงค้างคาวออกจากถ้ำ
สรรพสัตว์ต่างหลงกาลเวลา ต่างนะจังงังอยู่
ขณะนั้นเองบากอง เร่งรุกบุกถึงคุกเป่ามนต์สะเดาะปลดโซ่ตรวนให้ปิ่น แล้วขึ้นขี่ม้าพาหนีไปถึงริมฝั่งเอยาวดีมหานที โดยมีเรือจอดรอคอยท่าอยู่
ชะรอยชะตาปิ่นนางรำถึงฆาต
กองทหารม้าเร็วไล่ตามทัน แผลงศรแหวกอากาศถึงหัวเรือแจว ให้บากองวิตกพรั่นพรึงเป็นยิ่งนัก ด้วยว่าปิ่นจะสิ้นชีพด้วยเกาทัณฑ์
มาดแม้นตัวเราบากองนี้ จักสังหารคนได้นับร้อยพัน แต่มิอาจปกป้องปิ่นแก้วได้ไม่ มีแต่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง จึงยอมจำนนให้จับกุม หลังปะเพลงอาวุธกันไม่ถึงยี่สิบเพลงทวน ด้วยมิอาจต้านคมศร คมทวนได้พร้อมกัน
เมื่ออุปราชได้สวนความแก่บากอง ทรงพิโรธนัก จึงมีมาณพระบัณฑูรสุรสิงหนาท ทรงลงพระอาญาต้องโทษประหาร
แต่ด้วยเดชผีคุ้มเศวตฉัตรพุกามประเทศ ดลใจให้อุปราชใคร่ครวญตรึกตรอง จึงเสด็จไปปรึกษากับพระบิดา
พระเจ้าปดุงทรงพระปรีชายิ่ง โปรดให้บากองทำคุณไถ่โทษ ละเว้นโทษตาย โดยเนรเทศจากอมรปุระจนกว่าชีวิตหาไม่
ไปประจำทัพหน้า เข้าตีโยเดีย พ.ศ.2328 เรียกสงครามเก้าทัพ
เมื่อบากองเดินทัพเข้าเขตซินเมย่(เชียงใหม่)ของโยเดีย
คืนนั้นอากาศนิมิตเป็นอินทรธนู(ดาวหาง) มาแต่ทิศอุดร
บากองจึงแน่ใจว่า ปิ่นเมียรักสิ้นชีพแล้ว
บากองตีเชียงใหม่ไม่สำเร็จถูกโยเดียจับเป็นเชลยแล้วย้ายมาจำคุกวัดโพธิ์นานเจ็ดปี
ระหว่างนั้นบากองสอนวิธีหาฤกษ์ยามให้เพื่อนในคุก เรียก ยามอุบากอง
เมื่อถึงเวลาก่อการ บากองแหกคุกหนีกลับพม่าได้สำเร็จ จากการคำนวนฤกษ์ยามที่แม่นยำ คนไทยจึงสอนต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน
ฉากเจ้าฟ้าประทานรัดเกล้ายอดนี้ งดงามบริบูรณ์ทั้งศิลป์ คีตะ สำแดง จังหวะย่างเยื้องละมุนยิ่งนัก
ส่วนนุชในร่างปิ่น เมื่อรู้ว่าชะตาถึงฆาต จึงทูลขอประทานอนุญาตสำแดงโขน ตอนสีดาลุยไฟเป็นวาระสุดท้าย
แล้วสิ้นชีพในกองฟอนนั้นแล
แต่นุชยังนอนเป็นผักอยู่ที่บ้านอยุทธยา
จิตของนุชยังไม่เข้าร่าง แต่ได้อุบากองเป็นดาวเหนือนำทาง จนได้ยินเสียงปกรณ์
นุชจึงตื่นขึ้นมาจากนิทรานานเจ็ดเดือน
หลังพักฟื้นจนหายดี นุชกลับไปย่างกุ้งเพื่อเก็บของ และร่ำลาซินซินเพื่อนเก่าเพื่อให้หายคาใจ
แล้วกลับไปมัณฑะเลย์ ไปหาต้นมะเดื่อของพระเจ้าอุทุมพรริมฝั่งอิรวดีจนพบ แล้วได้พบกับหม่องสะ กล่าวคำอำลาแก่กัน
ปกรณ์กับนุชกลับมาเมืองไทย แล้วใช้ชีวิตร่วมกันอย่างมีความสุข
เป็นละครที่ประทับใจ ถ้าได้ทุนสร้างมากกว่านี้คงเล่าเรื่องราวในช่วงนั้นได้อีกมาก
เพลงเสน่หา ภาษาพม่า เดาง์เสียงดี ร้องคู่กับนักร้องหญิงเพราะไปอีกแบบ
หวังเป็นอย่างยิ่งว่าทางช่องจะผลิตละครพม่าไทยร่วมกันอีก
ท้ายนี้ผิดพลาดประการใด ผู้เขียนต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ ขอบคุณครับ
จากเจ้าพระยาสู่อิรวดี บทส่งท้ายจำใจอำลา
พ.ศ.2327 ทัพอังวะพิชิตอารากัน(ยะไข่)ได้สำเร็จ ด้วยฝีมือการนำทัพของอุบากอง ที่คอยดูฤกษ์ผานาที ดวงดาวโคจรดีร้ายบนท้องฟ้า
อุบากองจึงได้อวยยศเป็นนายกอง หรือ ร้อยเอก
แต่อนิจจาเสร็จศึกได้ดีกลับต้องเสียเมียไป ปิ่นที่บากองเห็นแท้จริงเป็นนุชคนจากอนาคตสิงสู่อยู่ จึงโทษว่าหม่องสะเป็นเหตุให้ปิ่นเปลี่ยนไป
พระเจ้าปดุงทรงให้จัดสำแดงละครอิเหนา ตอนบุษบาเสี่ยงเทียน ร้องพากย์ภาษาพม่า ฉลองชนะศึก
ระหว่างนั้นเอง เจ้าจอมมาลา(กุ้ยเฟย) พระธิดาเจ้าเมืองนายใกล้แม่ฮ่องสอน สนใจใคร่เรียนรำไทย จึงมาขอเรียนจากเจ้าฟ้าโยเดียทั้งสอง ทรงโปรดให้ปิ่นนางรำถวายการสอนแด่เจ้าจอม
มิช้านานเจ้าจอมมาลา ทรงปฏิพัทธ์รักใคร่ปิ่นด้วยใจจริง ครั้นจะคิดเล่นเพื่อนก็หาไม่
แต่หน้าต่างมีหู ประตูมีตา เรื่องถึงพระเนตรพระกรรณพระเจ้าปดุง ทรงให้อุปราชไต่สวน
(ขึ้นชื่อว่าอำนาจ ราชศักดิ์ นั้นไม่เข้าใครออกใคร เพราะรักแท้กินไม่ได้ ไม่ทำให้ใครอิ่มท้อง)
แล้วเบิกตัวปิ่นมาเฝ้าพระเจ้าปดุง ทรงยินว่านางรำผู้นี้หยั่งรู้อนาคต
เมื่อพระผ่านพิภพ ยินคำตอบแล้ว ทรงกริ้วเป็นยิ่งนัก
ทรงลงพระอาญามอบโทษตายแก่นางรำผู้โอหัง ด้วยเท็จทูลเบื้องสูงเป็นเหตุ
ให้เผาทั้งเป็นบนกองฟอน
(เป็นโทษประหารสตรีฝ่ายใน)
(แผนที่กรุงเทพ วาดโดยจารบุรุษอังวะ)
แม้แต่เจ้าฟ้าโยเดียทั้งสองพระองค์ ยังมิอาจทูลขออภัยโทษให้แก่ปิ่นได้
อุบากองเหมือนต้องฟ้าผ่า ให้ร้อนใจคิดแหกคุกพาปิ่นหนีกลับโยเดีย
บากองทูลขอพักรบเมื่อถึงซินเมย่(เชียงใหม่) ด้วยเป็นแดนบ้านเกิด
แล้วจึงคำนวนหาฤกษ์ยาม จนรู้ว่าจักเกิดสุริยคราสวันไหนเพลาใด
ครั้งเพลาคราสมาถึง ราหูอมตะวัน ชาวอมรปุระต่างตื่นตระหนก
เสียงนกบินกลับรัง
ฝูงค้างคาวออกจากถ้ำ
สรรพสัตว์ต่างหลงกาลเวลา ต่างนะจังงังอยู่
ขณะนั้นเองบากอง เร่งรุกบุกถึงคุกเป่ามนต์สะเดาะปลดโซ่ตรวนให้ปิ่น แล้วขึ้นขี่ม้าพาหนีไปถึงริมฝั่งเอยาวดีมหานที โดยมีเรือจอดรอคอยท่าอยู่
ชะรอยชะตาปิ่นนางรำถึงฆาต
กองทหารม้าเร็วไล่ตามทัน แผลงศรแหวกอากาศถึงหัวเรือแจว ให้บากองวิตกพรั่นพรึงเป็นยิ่งนัก ด้วยว่าปิ่นจะสิ้นชีพด้วยเกาทัณฑ์
มาดแม้นตัวเราบากองนี้ จักสังหารคนได้นับร้อยพัน แต่มิอาจปกป้องปิ่นแก้วได้ไม่ มีแต่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง จึงยอมจำนนให้จับกุม หลังปะเพลงอาวุธกันไม่ถึงยี่สิบเพลงทวน ด้วยมิอาจต้านคมศร คมทวนได้พร้อมกัน
เมื่ออุปราชได้สวนความแก่บากอง ทรงพิโรธนัก จึงมีมาณพระบัณฑูรสุรสิงหนาท ทรงลงพระอาญาต้องโทษประหาร
แต่ด้วยเดชผีคุ้มเศวตฉัตรพุกามประเทศ ดลใจให้อุปราชใคร่ครวญตรึกตรอง จึงเสด็จไปปรึกษากับพระบิดา
พระเจ้าปดุงทรงพระปรีชายิ่ง โปรดให้บากองทำคุณไถ่โทษ ละเว้นโทษตาย โดยเนรเทศจากอมรปุระจนกว่าชีวิตหาไม่
ไปประจำทัพหน้า เข้าตีโยเดีย พ.ศ.2328 เรียกสงครามเก้าทัพ
เมื่อบากองเดินทัพเข้าเขตซินเมย่(เชียงใหม่)ของโยเดีย
คืนนั้นอากาศนิมิตเป็นอินทรธนู(ดาวหาง) มาแต่ทิศอุดร
บากองจึงแน่ใจว่า ปิ่นเมียรักสิ้นชีพแล้ว
บากองตีเชียงใหม่ไม่สำเร็จถูกโยเดียจับเป็นเชลยแล้วย้ายมาจำคุกวัดโพธิ์นานเจ็ดปี
ระหว่างนั้นบากองสอนวิธีหาฤกษ์ยามให้เพื่อนในคุก เรียก ยามอุบากอง
เมื่อถึงเวลาก่อการ บากองแหกคุกหนีกลับพม่าได้สำเร็จ จากการคำนวนฤกษ์ยามที่แม่นยำ คนไทยจึงสอนต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน
ฉากเจ้าฟ้าประทานรัดเกล้ายอดนี้ งดงามบริบูรณ์ทั้งศิลป์ คีตะ สำแดง จังหวะย่างเยื้องละมุนยิ่งนัก
ส่วนนุชในร่างปิ่น เมื่อรู้ว่าชะตาถึงฆาต จึงทูลขอประทานอนุญาตสำแดงโขน ตอนสีดาลุยไฟเป็นวาระสุดท้าย
แล้วสิ้นชีพในกองฟอนนั้นแล
แต่นุชยังนอนเป็นผักอยู่ที่บ้านอยุทธยา
จิตของนุชยังไม่เข้าร่าง แต่ได้อุบากองเป็นดาวเหนือนำทาง จนได้ยินเสียงปกรณ์
นุชจึงตื่นขึ้นมาจากนิทรานานเจ็ดเดือน
หลังพักฟื้นจนหายดี นุชกลับไปย่างกุ้งเพื่อเก็บของ และร่ำลาซินซินเพื่อนเก่าเพื่อให้หายคาใจ
แล้วกลับไปมัณฑะเลย์ ไปหาต้นมะเดื่อของพระเจ้าอุทุมพรริมฝั่งอิรวดีจนพบ แล้วได้พบกับหม่องสะ กล่าวคำอำลาแก่กัน
ปกรณ์กับนุชกลับมาเมืองไทย แล้วใช้ชีวิตร่วมกันอย่างมีความสุข
เป็นละครที่ประทับใจ ถ้าได้ทุนสร้างมากกว่านี้คงเล่าเรื่องราวในช่วงนั้นได้อีกมาก
เพลงเสน่หา ภาษาพม่า เดาง์เสียงดี ร้องคู่กับนักร้องหญิงเพราะไปอีกแบบ
หวังเป็นอย่างยิ่งว่าทางช่องจะผลิตละครพม่าไทยร่วมกันอีก
ท้ายนี้ผิดพลาดประการใด ผู้เขียนต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ ขอบคุณครับ