จากกระทู้ที่ถามว่าการตั้งตัวในไทยยากหรือไม่นั้นมีผู้มาตอบจำนวนมาก ซึ่ง จขกท. ก็ขอขอบคุณทุกๆคำตอบครับ ได้แนวคิดเพิ่มพอสมควรเลย
ทีนี้เลยอยากทราบต่อครับว่า แล้วในอดีต คนไทยสมัยก่อนหากไม่มีทรัพย์สมบัติมาแต่เดิม จะสามารถตั้งตัวได้อย่างไร อันนี้เคยอ่านประวัติศาสตร์เศรษฐกิจมาว่า สมัยก่อนที่ยังเป็นระบบไพร่ ไพร่จะมีโอกาสสั่งสมทุนหรือความมั่งคั่งไม่มากนัก เนื่องจากระบบไพร่ที่ต้องยึดติดกับมูลนาย แม้ว่าช่วงหลังก่อนการเลิกไพร่จะมีการลดเดือนในการเข้ารับใช้มูลนาย ในส่วนนี้ทำให้คนจีนหรือชาวต่างชาติอื่นๆสามารถทำมาค้าขายจนสั่งสมความมั่งคั่งได้มากกว่า ประกอบกับคนจีนเองก็มักนิยมค้าขายมากกว่าคนไทยด้วยเลยทำให้สั่งสมความมั่งคั่งได้มากกว่า ในช่วงต่อมาที่เลิกระบบไพร่แล้ว คนไทยอาจสั่งสมความมั่งคั่งได้ ทว่าก็เป็นสิ่งที่สงสัยของ จขกท. ว่าได้จากทางไหนบ้าง ในทางหนึ่งคือต้องขยันทำมาหากิน เก็บออม ลงทุนซึ่งมักเป็นการซื้อที่ดินเก็บไว้ อีกประการคือลงทุนให้ลูกหลานได้มีการศึกษาและมีอาชีพ โดยเฉพาะข้าราชการซึ่งภาพลักษณ์ตามค่านิยมดีมาแต่เดิม (คนสมัยก่อนมีวลีว่า "สิบพ่อค้าไม่เท่าพระยาเลี้ยง") อีกประการคือมีสวัสดิการต่างๆตลอดจนเงินบำนาญ ที่หลายๆครอบครัวอยากให้รับราชการก็เพราะว่าเป็น "ยาแก้จน" ที่เร็วที่สุด (เคยอ่านเจอจากเพจหนึ่งในเฟซบุ๊ค) เพราะทางภาครัฐมีสวัสดิการให้ มีบำนาญให้ (ทั้งนี้ต้องขยัน และซื่อสัตย์สุจริตด้วย) เมื่อเทียบการการทำไร่ทำนาค้าขายที่อาจต้องใช้เวลาและแข่งกับคนจีนได้ยาก ในช่วงที่เศรษฐกิจยังไม่ทันสมัยมักเป็นสองแนวทางนี้ คือไม่ทำมาค้าขายก็รับราชการ มีส่วนน้อยที่จะไปทำงานกับบริษัท หรือห้างร้านของต่างประเทศซึ่งยังมีน้อยมาก ต่อมาพอไทยเริ่มพัฒนาเศรษฐกิจ ภาคเอกชนทั้งของไทยและต่างชาติเริ่มลงทุนในไทยมากขึ้น คนจึงมีทางเลือกมากขึ้น คนทั่วไปอาจทำงานในโรงงาน คนที่มีการศึกษาก็อาจทำงานกับบริษัทเอกชนจำนวนมาก หนทางในการตั้งตัวจึงเพิ่มมานอกจากแนวทางเดิมในอดีต
รบกวนช่วยตอบด้วยครับ หากมีส่วนใดที่เข้าใจผิดหรือผิดพลาดไปก็ขออภัยด้วยครับ
คนไทยสมัยก่อนหากไม่มีทรัพย์สมบัติมาแต่เดิม จะสามารถตั้งตัวได้อย่างไร
ทีนี้เลยอยากทราบต่อครับว่า แล้วในอดีต คนไทยสมัยก่อนหากไม่มีทรัพย์สมบัติมาแต่เดิม จะสามารถตั้งตัวได้อย่างไร อันนี้เคยอ่านประวัติศาสตร์เศรษฐกิจมาว่า สมัยก่อนที่ยังเป็นระบบไพร่ ไพร่จะมีโอกาสสั่งสมทุนหรือความมั่งคั่งไม่มากนัก เนื่องจากระบบไพร่ที่ต้องยึดติดกับมูลนาย แม้ว่าช่วงหลังก่อนการเลิกไพร่จะมีการลดเดือนในการเข้ารับใช้มูลนาย ในส่วนนี้ทำให้คนจีนหรือชาวต่างชาติอื่นๆสามารถทำมาค้าขายจนสั่งสมความมั่งคั่งได้มากกว่า ประกอบกับคนจีนเองก็มักนิยมค้าขายมากกว่าคนไทยด้วยเลยทำให้สั่งสมความมั่งคั่งได้มากกว่า ในช่วงต่อมาที่เลิกระบบไพร่แล้ว คนไทยอาจสั่งสมความมั่งคั่งได้ ทว่าก็เป็นสิ่งที่สงสัยของ จขกท. ว่าได้จากทางไหนบ้าง ในทางหนึ่งคือต้องขยันทำมาหากิน เก็บออม ลงทุนซึ่งมักเป็นการซื้อที่ดินเก็บไว้ อีกประการคือลงทุนให้ลูกหลานได้มีการศึกษาและมีอาชีพ โดยเฉพาะข้าราชการซึ่งภาพลักษณ์ตามค่านิยมดีมาแต่เดิม (คนสมัยก่อนมีวลีว่า "สิบพ่อค้าไม่เท่าพระยาเลี้ยง") อีกประการคือมีสวัสดิการต่างๆตลอดจนเงินบำนาญ ที่หลายๆครอบครัวอยากให้รับราชการก็เพราะว่าเป็น "ยาแก้จน" ที่เร็วที่สุด (เคยอ่านเจอจากเพจหนึ่งในเฟซบุ๊ค) เพราะทางภาครัฐมีสวัสดิการให้ มีบำนาญให้ (ทั้งนี้ต้องขยัน และซื่อสัตย์สุจริตด้วย) เมื่อเทียบการการทำไร่ทำนาค้าขายที่อาจต้องใช้เวลาและแข่งกับคนจีนได้ยาก ในช่วงที่เศรษฐกิจยังไม่ทันสมัยมักเป็นสองแนวทางนี้ คือไม่ทำมาค้าขายก็รับราชการ มีส่วนน้อยที่จะไปทำงานกับบริษัท หรือห้างร้านของต่างประเทศซึ่งยังมีน้อยมาก ต่อมาพอไทยเริ่มพัฒนาเศรษฐกิจ ภาคเอกชนทั้งของไทยและต่างชาติเริ่มลงทุนในไทยมากขึ้น คนจึงมีทางเลือกมากขึ้น คนทั่วไปอาจทำงานในโรงงาน คนที่มีการศึกษาก็อาจทำงานกับบริษัทเอกชนจำนวนมาก หนทางในการตั้งตัวจึงเพิ่มมานอกจากแนวทางเดิมในอดีต
รบกวนช่วยตอบด้วยครับ หากมีส่วนใดที่เข้าใจผิดหรือผิดพลาดไปก็ขออภัยด้วยครับ