วัดแห่งนี้ได้นามว่า "วัดบ่อน้ำหลวง" เพราะถือเอาบ่อน้ำใหญ่เป็นนิมิต ได้นามว่า "วนาราม" เพราะตั้งอยู่ในป่า
เป็นไปตามพุทธบัญญัติ เป็นวัดที่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สร้างเมื่อสมัย "โยนะกะบุรี" ปี พ.ศ.๑๓๒๓ หรือจุลศักราช ๑๔๒
โดย "สุพรรณะรังสี ปโคตเศรษฐี" พร้อมพุทธศาสนิกชนทั้งหลายร่วมกันสร้างขึ้น
เพื่อถวายไว้ในพุทธศาสนา และมีประเพณีทำบุญตามเทศกาลมาแต่โบราณ
มีพระภิกษุสงฆ์จำพรรษาซึ่งตำนานกล่าวไว้ว่ามีถึงพันรูปครั้งเมื่อมีความเจริญรุ่งเรืองแต่อดีตกาล
ต่อมาได้กลายเป็นวัดร้างเพราะสภาพบ้านเมืองที่เกิดจากภัยสงคราม
วัดน้ำบ่อหลวง ตั้งอยู่เลขที่ ๑๓๐ บ้านน้ำบ่อหลวง
แต่เดิมเป็นหมู่ที่ ๕ ตำบลสันกลาง อำเภอสันป่าตอง จังหวัดเชียงใหม่
ปัจจุบันเป็นหมู่ ๒ ตำบลน้ำบ่อหลวง อำเภอสันป่าตอง จังหวัดเชียงใหม่
สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย ที่ดินตั้งวัดและที่ธรณีสงฆ์ที่ได้ออกโฉนดแล้วรวมทั้งหมดมีจำนวน ๓๐๓ ไร่ ๓ งาน ๔๔ ตารางวา
ทางเข้าชมรอยพระพุทธบาทจำลอง ๕ รอย
วัดนี้เป็นวัดป่าโบราณที่มีพัทธสีมา ตามตำนานโบราณกล่าวว่าในปี พ.ศ.๑๓๒๓
มีสุพรรณรังษี ปโคตเศรษฐี พร้อมด้วยบริวารได้ร่วมแรงร่วมใจกันจัดสร้างวัดขึ้น
ต่อมากลายเป็นวัดร้าง ในปี พ.ศ.๒๔๕๕ ท่านครูบาคำได้บูรณะขึ้น เมื่อท่านมรณะภาพจึงได้กลายเป็นวัดร้างอีกวาระหนึ่ง
จนปี พ.ศ.๒๔๗๗ ท่านครูบาเจ้าอินทจักรรักษา (พระสุธรรมยานเถร) ที่พำนักเดิมท่านอยู่ที่วัดป่าเหียงกองงาม อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน
ได้เดินธุดงค์ปฏิบัติธรรมในเขตป่าที่ตั้งวัดน้ำบ่อหลวงนี้ พร้อมด้วยพระภิกษุที่เป็นศิษย์จำนวน ๑๐ รูป
ในครั้งนั้นศรัทธาร่วมกับประชาชนในเขตตำบลสันกลาง (ต่อมาแยกออกเป็นตำบลน้ำบ่อหลวง เมื่อ พ.ศ.๒๕๓๕)
ซึ่งมีพ่อขุนอนุพลนคร (กิมซั้ว นิมานันท์) เป็นประธาน และนายปัญญา ภิญโญฤทธิ์
พร้อมด้วยประชาชนในตำบลใกล้เคียงมาร่วมทำบุญตักบาตร แล้วนิมนต์ท่านจำพรรษา ณ วัดน้ำบ่อหลวง (วนาราม) แห่งนี้
ท่านจึงได้เริ่มดำเนินการบูรณะวัดน้ำบ่อหลวงขึ้นพร้อมกับศรัทธาใน ๓ ตำบล คือ ตำบลสันกลาง ตำบลยุหว่า และตำบลบ้านแม
ได้ยกวัดร้างเป็นวัดมีพระภิกษุสงฆ์ขึ้น
มีถาวรวัตถุ เจริญรุ่งเรืองจนถึงปัจจุบัน ได้พระราชทานวิสุงคามสีมาเป็นประมาณ พ.ศ.๒๔๘๔ แต่เอกสารสูญหาย
จึงได้ขอพระราชทานวิสุงคามสีมาใหม่ และได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาอีกครั้ง เมื่อ พ.ศ.๒๕๔๐
เชียงใหม่-วัดน้ำบ่อหลวง อดีตวัดร้างจากภัยสงคราม มาเป็นวัดป่า สู่วัดภายใต้วิสุงคามสีมา ชมรอยพระุพุทธบาทจำลอง ๕ รอย
วัดแห่งนี้ได้นามว่า "วัดบ่อน้ำหลวง" เพราะถือเอาบ่อน้ำใหญ่เป็นนิมิต ได้นามว่า "วนาราม" เพราะตั้งอยู่ในป่า
เป็นไปตามพุทธบัญญัติ เป็นวัดที่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สร้างเมื่อสมัย "โยนะกะบุรี" ปี พ.ศ.๑๓๒๓ หรือจุลศักราช ๑๔๒
โดย "สุพรรณะรังสี ปโคตเศรษฐี" พร้อมพุทธศาสนิกชนทั้งหลายร่วมกันสร้างขึ้น
เพื่อถวายไว้ในพุทธศาสนา และมีประเพณีทำบุญตามเทศกาลมาแต่โบราณ
มีพระภิกษุสงฆ์จำพรรษาซึ่งตำนานกล่าวไว้ว่ามีถึงพันรูปครั้งเมื่อมีความเจริญรุ่งเรืองแต่อดีตกาล
ต่อมาได้กลายเป็นวัดร้างเพราะสภาพบ้านเมืองที่เกิดจากภัยสงคราม
วัดน้ำบ่อหลวง ตั้งอยู่เลขที่ ๑๓๐ บ้านน้ำบ่อหลวง
แต่เดิมเป็นหมู่ที่ ๕ ตำบลสันกลาง อำเภอสันป่าตอง จังหวัดเชียงใหม่
ปัจจุบันเป็นหมู่ ๒ ตำบลน้ำบ่อหลวง อำเภอสันป่าตอง จังหวัดเชียงใหม่
สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย ที่ดินตั้งวัดและที่ธรณีสงฆ์ที่ได้ออกโฉนดแล้วรวมทั้งหมดมีจำนวน ๓๐๓ ไร่ ๓ งาน ๔๔ ตารางวา
ทางเข้าชมรอยพระพุทธบาทจำลอง ๕ รอย
วัดนี้เป็นวัดป่าโบราณที่มีพัทธสีมา ตามตำนานโบราณกล่าวว่าในปี พ.ศ.๑๓๒๓
มีสุพรรณรังษี ปโคตเศรษฐี พร้อมด้วยบริวารได้ร่วมแรงร่วมใจกันจัดสร้างวัดขึ้น
ต่อมากลายเป็นวัดร้าง ในปี พ.ศ.๒๔๕๕ ท่านครูบาคำได้บูรณะขึ้น เมื่อท่านมรณะภาพจึงได้กลายเป็นวัดร้างอีกวาระหนึ่ง
จนปี พ.ศ.๒๔๗๗ ท่านครูบาเจ้าอินทจักรรักษา (พระสุธรรมยานเถร) ที่พำนักเดิมท่านอยู่ที่วัดป่าเหียงกองงาม อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน
ได้เดินธุดงค์ปฏิบัติธรรมในเขตป่าที่ตั้งวัดน้ำบ่อหลวงนี้ พร้อมด้วยพระภิกษุที่เป็นศิษย์จำนวน ๑๐ รูป
ในครั้งนั้นศรัทธาร่วมกับประชาชนในเขตตำบลสันกลาง (ต่อมาแยกออกเป็นตำบลน้ำบ่อหลวง เมื่อ พ.ศ.๒๕๓๕)
ซึ่งมีพ่อขุนอนุพลนคร (กิมซั้ว นิมานันท์) เป็นประธาน และนายปัญญา ภิญโญฤทธิ์
พร้อมด้วยประชาชนในตำบลใกล้เคียงมาร่วมทำบุญตักบาตร แล้วนิมนต์ท่านจำพรรษา ณ วัดน้ำบ่อหลวง (วนาราม) แห่งนี้
ท่านจึงได้เริ่มดำเนินการบูรณะวัดน้ำบ่อหลวงขึ้นพร้อมกับศรัทธาใน ๓ ตำบล คือ ตำบลสันกลาง ตำบลยุหว่า และตำบลบ้านแม
ได้ยกวัดร้างเป็นวัดมีพระภิกษุสงฆ์ขึ้น
มีถาวรวัตถุ เจริญรุ่งเรืองจนถึงปัจจุบัน ได้พระราชทานวิสุงคามสีมาเป็นประมาณ พ.ศ.๒๔๘๔ แต่เอกสารสูญหาย
จึงได้ขอพระราชทานวิสุงคามสีมาใหม่ และได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาอีกครั้ง เมื่อ พ.ศ.๒๕๔๐