“พระอาจารย์ชาตรี” ผู้ต่อลมหายใจพระพุทธศาสนาในรัสเซีย
โดย : เรื่อง : สวิชญา ชมพูพัชร/ภาพ : กัมพล เสนสอน
www.mgronline.com/live/detail/9620000018848
www.liekr.com/post03153351008518
ร.ท.บรรจบ บรรณรุจิ อดีตอาจารย์จุฬาฯ อาจารย์พิเศษ มจร รายงาน
www.komchadluek.net/amulet/205947
ศ.ดร.พระชาตรี เหมพันธ์ เจ้าอาวาสผู้ก่อตั้งวัดพุทธวิหาร วัดไทยแห่งเดียวในแดนหมีขาว ชีวิตเลือดเนื้อ เพื่อพระพุทธศาสนา
"วิปัสสนากรรมฐานรุ่นแล้วรุ่นเล่าที่อาตมาพร่ำสอนไม่เคยคิดว่า เขาจะต้องมาเป็นพุทธเป็นศิษย์ เพียงแค่เขาเหล่านั้นเข้าใจสัจจะเห็นอริยสัจก็เพียงพอ”
13 ปีที่พระอาจารย์ชาตรีอบรมวิปัสสนากรรมฐานตามหลักมหาสติปัฏฐาน 4 ให้แก่ชาวรัสเซียมาแล้ว 288 รุ่น จวบจนปัจจุบันนี้มีชาวรัสเซียผ่านการอบรมจำนวนกว่า 20,000 คนแล้ว โดยพระอาจารย์ท่านต้องดูแลวัดพุทธวิหาร เซนต์ปีเตอร์สเบิร์กด้วยตัวเอง ทั้งลงมือซ่อมแซมวัด เป็นภารโรงเช็ดถูดูแล เป็นพ่อครัวทำอาหารเลี้ยงผู้มาปฏิบัติธรรม ยันเก็บขยะ
มีรายได้หลักมาจากการเป็นอาจารย์ประจำ สอนในคณะการทูต ภาควิชายุโรปศึกษาและภาควิชาเอเชียศึกษา มหาวิทยาลัยแห่งกรุงเซนต์-ปิเตอร์สเบิร์ก ประเทศรัสเซีย และเป็นที่ปรึกษาให้รัฐบางรัสเซียเรื่องความมั่นคง โดยเงินเดือนทั้งหมดที่ได้มานำเป็นค่าผ่อนที่ดินวัด ค่าอาหารเลี้ยงดูคนมาปฏิบัติธรรม ค่าน้ำ ค่าไฟของวัด เพราะถึงแม้จะได้เงินจากการบริจาคของญาติโยม และผู้เข้าคอร์สวิปัสสนาฯ ก็ยังไม่เพียงพอ
“ในแต่ละวันจะฉันมื้อเดียว เพราะสว่างตอน 10 โมงเช้า เข้าสอนมหาวิทยาลัยเซนต์ปิเตอร์สเบิร์ก ตอน 9 โมง สอนเสร็จ 6 โมงเย็น บางวันก็สอน 5 คาบ เลิกหนึ่งทุ่มครึ่งแล้วมาแสดงธรรมอีกสองชั่วโมง”
ภัตตาหารมังสวิรัติของพระอาจารย์ชาตรีเน้นความเรียบง่าย เช่น มันฝรั่งต้ม 3 ซีก ไข่ต้ม 2 ฟอง ซึ่งท่านยืนยันว่า “อิ่มใจ” เพราะมีความสุขในการทำงานและเผยแพร่พระพุทธศาสนา
“กิจวัตรประจำวันของข้าพเจ้าเป็นแบบนี้ และทำไปแบบนี้จนกว่าชีวิตจะหาไม่ชีวิตสั้นลงทุกวัน นับถอยหลังแต่ยิ่งมีคุณค่ามากขึ้นตามวันเวลาที่เหลือน้อยลง ชีวิตไม่ได้มีไว้ให้ได้ดรามา แต่ว่าขอท้าทายงานด้วยชีวิต เพราะสุดท้ายเหลือไว้แต่กรรมดีและกรรมชั่ว จนกว่าตัวจะบรรลุความว่างเปล่า”
ย้อนไปเมื่อปี พ.ศ. 2549 พระอาจารย์ชาตรีมีความตั้งมั่นเพื่อจะจัดตั้งวัดพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทขึ้น จนกระทั่งสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี
“พระอาจารย์มีความคิดที่จะสร้างวัดไทย จึงได้ท่านอาจารย์สุชาติ เป็นเจ้าภาพในการไปสร้างวัดในประเทศรัสเซีย และก็มีหลายเจ้าภาพด้วยกัน และด้วยการเป็นตัวตั้งตัวตีของ ศ.ดร.พรสวรรค์ วิสุทธิวิเศษ จึงได้รวบรวมปัจจัยไปซื้อบ้านฝรั่ง 2 หลัง และสร้างวัด และได้เปิดเป็นวัดในรัสเซีย เป็นวัดแรกและวัดเดียวจนถึงปัจจุบัน
เมื่อก่อนชื่อวัดจะใช้คำว่า อภิธรรมพุทธวิหาร ตอนหลังพระอาจารย์ก็ตัดคำว่า “อภิธรรม” เพราะถ้าใช้คำว่าอภิธรรมพุทธวิหาร จะเน้นเรื่องการสอนอภิธรรมมากเกินไป จึงเหลือเพียงคำว่า พุทธวิหาร เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก”
ด้วยความที่เป็นวัดไทยวัดเดียวในรัสเซีย แถมเป็นวัดเล็กๆ ที่ไม่มีชุมชนไทยสนับสนุน อีกทั้งในรัสเซียยังไร้ซึ่งวัฒนธรรมไทย จึงทำให้พระธรรมทูตอยู่ลำบาก
“ช่วงเข้าพรรษาจะมีพระสงฆ์ที่เป็นพระธรรมทูตจากประเทศไทยไปจำพรรษา 5-7 รูปทุกปี แต่ก็จะไปจำพรรษาในช่วงเข้าพรรษา ส่วนใหญ่ก็จะอยู่ไม่ได้ เพราะรัสเซียเป็นประเทศที่ไม่มีอาหารไทย ไม่มีวัฒนธรรมไทย ไม่มีอะไรแบบไทยๆ ไม่มีปัจจัย ไม่มีลาภสักการะ เขาจึงไปอยู่ประเทศอื่นที่มีการดูแลเอาใจใส่จากญาติโยมที่เป็นคนไทยมากกว่า
และประเทศรัสเซีย เป็นประเทศที่ไม่มีลาภสักการะ คือคนรัสเซียทำบุญพอสมควร แต่ทำบุญเป็นค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าฮีทเตอร์ ค่าแก๊ส ค่าขนขยะ ค่า Maintenance ค่าภาษี แต่ว่าที่จะเอาปัจจัยมาถวายแบบใส่ซองให้พระธรรมทูตวันละ 100 - 400 ยูโร จะไม่มี ดังนั้นพระธรรมทูตเหล่านั้นเมื่อออกพรรษา ก็จะเดินทางกลับประเทศไทย บางรูปยังไม่ได้ออกพรรษาด้วยซ้ำไป เหลืออีก 7 วันจะออกพรรษา ท่านต้องรีบกลับ เพราะท่านอยู่ลำบาก
พระอาจารย์ชาตรีตัดสินใจบรรพชาเป็นสามเณรในขณะที่เรียนเพียงแค่ชั้น ป. 5 ในปี พ.ศ.2520 ซึ่งเป็นการบรรพชาสามเณรภาคฤดูร้อน ฉลองกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี
“ตอนนั้นตั้งใจว่าจะไม่สึก แต่เนื่องจากจบแค่ ป.5 และเมื่อจบหลักสูตรสามเณรภาคฤดูร้อน 1 เดือน พระอาจารย์จึงแนะนำให้สึกเพื่อที่จะให้พระอาจารย์เรียนให้จบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ก็เลยสึกไปเรียนชั้น ป.6 ช่วงที่สึกแล้วไปเรียนชั้น ป.6 ก็ไปเป็นเด็กวัด และ เมื่อจบ ป.6 ได้ 3 วัน ก็บวชอีกเมื่อปี พ.ศ.2527
เป็นคนที่ชอบนั่งสมาธิตั้งแต่เด็กๆ คือรู้ว่าตัวเองต้องไปอยู่รัสเซีย ไม่ว่าช้า หรือเร็ว รู้ว่าคือต่างประเทศ แต่ไม่รู้ว่าคือรัสเซีย แต่รู้ว่าถึงเวลาหนึ่งพระอาจารย์ต้องไปอยู่ประเทศนั้น และอาจจะต้องใช้ชีวิตจนถึงวันสุดท้ายในประเทศนั้น
ตอนเป็นเณรเล็กๆ เด็กๆ เราไม่รู้ ก็นั่งสมาธิแล้วเราเห็น เห็นว่าเราไปอยู่ ไปโกยหิมะ คือมองเห็นอนาคต แต่ไม่รู้อนาคตที่เรามองเห็นคือที่ไหน แต่รู้ว่าเป็นประเทศฝรั่ง แต่ตอนนี้พระอาจารย์รู้แล้วว่า สิ่งที่เราเห็นตอนที่เป็นเณรเล็กๆ ตอนเป็นเด็ก นั่นคือประเทศรัสเซีย แต่ไม่ได้หมายความว่าพระอาจารย์อุตริ ว่าตัวเองสามารถล่วงรู้อนาคตได้ ไม่ใช่ มันเป็นเพียงภาพที่เห็นในขณะที่เรานั่งสมาธิ และมันเป็นความจริง ถึงเวลาหนึ่ง ภาพที่เราเห็นว่า เมื่อ 37 ปีที่แล้ว กำลังเป็นภาพที่เราอยู่ในปัจจุบัน
ท่านถือกำเนิดที่ จ.พัทลุง เริ่มบรรพชาเป็นสามเณรเมื่อ พ.ศ.2527 จากนั้นได้ร่ำเรียนศึกษาทั้งทางโลกและทางธรรม โดยพระอาจารย์ได้ทุนมาเรียนที่รัสเซียปี พ.ศ.2539 ทว่า ก่อนหน้าได้เลือกเรียน เอกภาษาอังกฤษ ที่มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เพราะคิดว่าเป็นแนวทางในการทำงานพระศาสนาในอนาคต
กระทั่งเรียนจบปริญญาเอก จากคณะประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยคริสเตียน แห่งเซนต์ปิเตอร์สเบิร์ก ด้วยทุนของรัฐบาลสหพันธรัฐรัสเซียก็นับว่าเป็นปริญญาเอกใบแรก ต่อมาอีก 2 ปี ได้ปริญญาเอกใบที่สอง ทางด้านรัฐศาสตร์การทูต ภาควิชายุโรปศึกษา จากคณะรัฐศาสตร์การทูต จากมหาวิทยาลัยเซนต์-ปิเตอร์สเบิร์ก
ด้วยความรักเรียนและชอบแสวงหาความรู้ถัดมาปี พ.ศ. 2548 จึงได้เรียนต่อในระดับสูงกว่าปริญญาเอก เรียกว่า Post Doctorate Programme ในคณะรัฐศาสตร์การทูต ที่มหาวิทยาลัยแห่งเซนต์ปิเตอร์สเบิร์ก นับว่าเป็นนักวิชาการของไทยและชาวเอเชียคนแรกที่ได้รับอนุมัติให้ศึกษาในระดับนี้ และทุนเล่าเรียนในระดับสูงสุดนี้รัฐบาลรัฐรัสเซีย "หลังจากเรียนจบก็กลับมาที่เมืองไทย กลับมาอยู่ที่สวนโมกข์ เกือบครึ่งปี จากนั้นไปอยู่ที่วัดชลประทานรังสฤษดิ์ มาเป็นพระวิทยากร มาสอนตามมหาวิทยาลัยต่างๆ แต่พระอาจารย์คิดว่าความรู้ที่เราเรียนมา น่าจะเกิดประโยชน์มากกว่าการที่กลับมาเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยในประเทศไทย เพราะได้พระอาจารย์เดินสายบรรยายเกือบทุกมหาวิทยาลัยในประเทศได้รับอะไรในสังคมไทยหลายอย่าง คือพระอาจารย์เรียนจบปริญญาเอกมาในช่วง ปี พ.ศ.2548 ช่วงนั้นที่ประเทศไทยมีความวุ่นวายทางการเมืองค่อนข้างรุนแรง จึงคิดว่า ถ้าเป็นแบบนี้ พระอาจารย์คงจะทำประโยชน์อะไรต่อประเทศไทยได้ไม่มาก
คิดว่าเรามีความรู้ทางด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ความรู้ทางด้านการทูต มีความแตกฉานในภาษารัสเซียพอสมควร เพราะสามารถเขียนวิทยานิพนธ์ปริญญาโท ปริญญาเอก เป็นภาษารัสเซียได้ พระอาจารย์คิดว่าน่าจะนำความรู้เหล่านี้ ไปเผยแผ่ศาสนา ความรู้ ความคิดที่อยากจะสึกไปเป็นนักการทูตมันก็เปลี่ยนไป มองว่าข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศก็เรียนจบ เขาทำอะไรกันบ้าง พระอาจารย์มองการทำงานของสถานทูตแล้วพระอาจารย์ก็เปลี่ยนความคิด
ไม่ได้มองว่าการเป็นนักการทูตเป็นสิ่งที่ไม่ดี แต่พระอาจารย์คิดว่าการที่พระอาจารย์จะกลับไปอยู่ประเทศรัสเซีย ในฐานะพระธรรมทูตน่าจะดีกว่าการเป็นนักการทูต เป็นข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศ หรือเป็นข้าราชการการเมือง พระอาจารย์จึงตัดสินใจที่จะกลับไปประเทศรัสเซีย
และบังเอิญว่า พระอาจารย์ได้รับการติดต่อจากมหาวิทยาลัยเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กให้กลับไปเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย ในคณะความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ทางการทูต ที่พระอาจารย์เรียนจบกลับมา นั่นจึงเป็นที่มา”
การเผยแผ่พุทธศาสนาในรัสเซีย ของพระอาจารย์ชาตรีถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ด้วยความพระอาจารย์ชาตรีมีความแตกฉานในภาษารัสเซีย ทั้งพูด อ่าน เขียน จึงทำให้คนรัสเซียสามารถเข้าถึงธรรมะ หันมาสนใจพุทธศาสนาและแสดงตนเป็นพุทธมามกะมากขึ้น
“ส่วนใหญ่คนรัสเซียที่หันมานับถือพระพุทธศาสนาก็จะเป็นคนที่มีการศึกษา เป็นนักวิทยาศาสตร์ เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย เป็นแพทย์ จิตแพทย์ นักบินอวกาศ เป็นทหาร ตำรวจ
พุทธศาสนาเป็นศาสนาของชนชั้นที่มีการศึกษา ชนชั้นปัญญาชน ในเมืองใหญ่ๆอย่างกรุงมอสโก หรือกรุงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก คนที่มีการศึกษาจะนับถือพุทธศาสนา คนที่หันมาสนใจพระพุทธศาสนา ก็มีการศึกษาสูงหน่อย มีฐานะทางสังคมดี มีความคิดเรื่องสันติภาพ มีความคิดเรื่องการไม่เบียดเบียน มีความคิดเรื่องการรับประทานอาหารมังสวิรัติ มีความคิดเรื่องการทานอาหารเจ ศาสนาพุทธก็กลายเป็นทางเลือกหนึ่งของคนรัสเซียในวัฒนธรรมใหม่ของคนรัสเซีย
การที่พระอาจารย์ไปอยู่รัสเซีย และตัดสินใจไปศึกษาที่รัสเซีย พระอาจารย์คิดว่าเป็นเรื่องที่ไม่น่ากลัว แต่พอสัมผัสจริงๆแล้วพระอาจารย์มองว่า คนรัสเซียมีจิตใจ จิตวิญญาณใกล้เคียงกับคนไทยมาก เนื่องจากเขาเป็นฝรั่งที่ผสมเอเชีย ถ้าเราไปรัสเซียก็จะเห็นคนหน้าตาเอเชีย แต่ตาสีฟ้า ผมสีทอง หน้าตาคล้ายๆลูกครึ่ง เป็นประเทศที่เต็มไปด้วยลูกครึ่งเอเชียและยุโรป
ดังนั้นคนรัสเซียจะหน้าตาคล้ายๆคนไทย เหมือนคนจีนแต่ตาสีฟ้า และผมสีทอง พระอาจารย์คิดว่าคนรัสเซียจิตวิญญาณเขาใกล้เคียงกับคนไทยมาก ในอดีตเขาก็ได้รับอิทธิพลของพุทธศาสนามาก่อนที่จะมาเปลี่ยนเป็นนับถือศาสนาคริสต์ นิกายออร์โธด็อกซ์ เมื่อปี ค.ศ.908 เมื่อก่อนเขานับถือศาสนาพระเวทย์ และพระพุทธศาสนา
ดังนั้นที่พระอาจารย์ตัดสินใจไปรัสเซีย พระอาจารย์ไม่ได้มองว่า มันเป็นเรื่องโหดร้าย เป็นเรื่องที่น่ากลัว และสิ่งที่อะไรที่น่ากลัวเกี่ยวกับรัสเซีย เป็น Political Propaganda (การโฆษณาชวนเชื่อ)
ตอนเล็กๆเราจะได้ข่าวว่า ถ้าคอมมิวนิสต์ยึดประเทศไทย สมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ก็จะฆ่าพระ และจะฆ่าเด็ก จะให้ลูกไปฆ่าพ่อแม่ จะล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ เราก็เข้าใจว่า ลัทธิคอมมิวนิสต์เป็นสิ่งที่น่ากลัว แต่พอไปสัมผัสจริงๆพระอาจารย์คิดว่า คนรัสเซียเป็นชนชาติที่น่ารักที่สุดชนชาติหนึ่ง และรัสเซียเป็นประเทศที่น่าอยู่ คนรัสเซียเขาเคารพกติกา
ถึงแม้ว่าการไปอยู่ในประเทศรัสเซีย จะไม่มีอาหารไทย คนไทย ไม่มีวัฒนธรรมไทย ไม่มีปัจจัยมากมาย อยู่ด้วยความยากลำบาก พระอาจารย์ก็มีความสุข เพราะชีวิตเลือดเนื้อ เซลล์ทุกเซลล์ที่อยู่ในร่างกาย ได้มาจากข้าวก้นบาตรของพระพุทธเจ้า เราบวชเรียนมา
เซลล์ที่เกิดขึ้นในร่างกายเกิดจากแรงศรัทธาจากญาติโยม ข้าวก้นบาตร บุญบารมีที่พระพุทธเจ้าเลี้ยงพระอาจารย์มา ดังนั้นการที่พระอาจารย์ตัดสินใจ ทำงานเพื่อพระพุทธศาสนา พระอาจารย์คิดว่า เป็นการถวายชีวิตนี้ให้กับพระพุทธเจ้า เป็นการตอบแทนคุณพระพุทธเจ้า นี่คือสิ่งที่ทำให้พระอาจารย์อยู่ได้
“การทำงานพระศาสนามีอุปสรรคมากมายแต่ถ้าใจสู้แบบยอมตาย พระอาจารย์เชื่อมั่นว่า พระศาสนาจะยังคงอยู่อีกนานแสนนาน อย่างน้อยก็พระอาจารย์คนหนึ่งจะทำพันธกิจนี้ด้วยชีวิต”
“พระอาจารย์ชาตรี” ผู้ต่อลมหายใจพระพุทธศาสนาในรัสเซีย
โดย : เรื่อง : สวิชญา ชมพูพัชร/ภาพ : กัมพล เสนสอน
www.mgronline.com/live/detail/9620000018848
www.liekr.com/post03153351008518
ร.ท.บรรจบ บรรณรุจิ อดีตอาจารย์จุฬาฯ อาจารย์พิเศษ มจร รายงาน
www.komchadluek.net/amulet/205947
ศ.ดร.พระชาตรี เหมพันธ์ เจ้าอาวาสผู้ก่อตั้งวัดพุทธวิหาร วัดไทยแห่งเดียวในแดนหมีขาว ชีวิตเลือดเนื้อ เพื่อพระพุทธศาสนา
"วิปัสสนากรรมฐานรุ่นแล้วรุ่นเล่าที่อาตมาพร่ำสอนไม่เคยคิดว่า เขาจะต้องมาเป็นพุทธเป็นศิษย์ เพียงแค่เขาเหล่านั้นเข้าใจสัจจะเห็นอริยสัจก็เพียงพอ”
13 ปีที่พระอาจารย์ชาตรีอบรมวิปัสสนากรรมฐานตามหลักมหาสติปัฏฐาน 4 ให้แก่ชาวรัสเซียมาแล้ว 288 รุ่น จวบจนปัจจุบันนี้มีชาวรัสเซียผ่านการอบรมจำนวนกว่า 20,000 คนแล้ว โดยพระอาจารย์ท่านต้องดูแลวัดพุทธวิหาร เซนต์ปีเตอร์สเบิร์กด้วยตัวเอง ทั้งลงมือซ่อมแซมวัด เป็นภารโรงเช็ดถูดูแล เป็นพ่อครัวทำอาหารเลี้ยงผู้มาปฏิบัติธรรม ยันเก็บขยะ
มีรายได้หลักมาจากการเป็นอาจารย์ประจำ สอนในคณะการทูต ภาควิชายุโรปศึกษาและภาควิชาเอเชียศึกษา มหาวิทยาลัยแห่งกรุงเซนต์-ปิเตอร์สเบิร์ก ประเทศรัสเซีย และเป็นที่ปรึกษาให้รัฐบางรัสเซียเรื่องความมั่นคง โดยเงินเดือนทั้งหมดที่ได้มานำเป็นค่าผ่อนที่ดินวัด ค่าอาหารเลี้ยงดูคนมาปฏิบัติธรรม ค่าน้ำ ค่าไฟของวัด เพราะถึงแม้จะได้เงินจากการบริจาคของญาติโยม และผู้เข้าคอร์สวิปัสสนาฯ ก็ยังไม่เพียงพอ
“ในแต่ละวันจะฉันมื้อเดียว เพราะสว่างตอน 10 โมงเช้า เข้าสอนมหาวิทยาลัยเซนต์ปิเตอร์สเบิร์ก ตอน 9 โมง สอนเสร็จ 6 โมงเย็น บางวันก็สอน 5 คาบ เลิกหนึ่งทุ่มครึ่งแล้วมาแสดงธรรมอีกสองชั่วโมง”
ภัตตาหารมังสวิรัติของพระอาจารย์ชาตรีเน้นความเรียบง่าย เช่น มันฝรั่งต้ม 3 ซีก ไข่ต้ม 2 ฟอง ซึ่งท่านยืนยันว่า “อิ่มใจ” เพราะมีความสุขในการทำงานและเผยแพร่พระพุทธศาสนา
“กิจวัตรประจำวันของข้าพเจ้าเป็นแบบนี้ และทำไปแบบนี้จนกว่าชีวิตจะหาไม่ชีวิตสั้นลงทุกวัน นับถอยหลังแต่ยิ่งมีคุณค่ามากขึ้นตามวันเวลาที่เหลือน้อยลง ชีวิตไม่ได้มีไว้ให้ได้ดรามา แต่ว่าขอท้าทายงานด้วยชีวิต เพราะสุดท้ายเหลือไว้แต่กรรมดีและกรรมชั่ว จนกว่าตัวจะบรรลุความว่างเปล่า”
ย้อนไปเมื่อปี พ.ศ. 2549 พระอาจารย์ชาตรีมีความตั้งมั่นเพื่อจะจัดตั้งวัดพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทขึ้น จนกระทั่งสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี
“พระอาจารย์มีความคิดที่จะสร้างวัดไทย จึงได้ท่านอาจารย์สุชาติ เป็นเจ้าภาพในการไปสร้างวัดในประเทศรัสเซีย และก็มีหลายเจ้าภาพด้วยกัน และด้วยการเป็นตัวตั้งตัวตีของ ศ.ดร.พรสวรรค์ วิสุทธิวิเศษ จึงได้รวบรวมปัจจัยไปซื้อบ้านฝรั่ง 2 หลัง และสร้างวัด และได้เปิดเป็นวัดในรัสเซีย เป็นวัดแรกและวัดเดียวจนถึงปัจจุบัน
เมื่อก่อนชื่อวัดจะใช้คำว่า อภิธรรมพุทธวิหาร ตอนหลังพระอาจารย์ก็ตัดคำว่า “อภิธรรม” เพราะถ้าใช้คำว่าอภิธรรมพุทธวิหาร จะเน้นเรื่องการสอนอภิธรรมมากเกินไป จึงเหลือเพียงคำว่า พุทธวิหาร เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก”
ด้วยความที่เป็นวัดไทยวัดเดียวในรัสเซีย แถมเป็นวัดเล็กๆ ที่ไม่มีชุมชนไทยสนับสนุน อีกทั้งในรัสเซียยังไร้ซึ่งวัฒนธรรมไทย จึงทำให้พระธรรมทูตอยู่ลำบาก
“ช่วงเข้าพรรษาจะมีพระสงฆ์ที่เป็นพระธรรมทูตจากประเทศไทยไปจำพรรษา 5-7 รูปทุกปี แต่ก็จะไปจำพรรษาในช่วงเข้าพรรษา ส่วนใหญ่ก็จะอยู่ไม่ได้ เพราะรัสเซียเป็นประเทศที่ไม่มีอาหารไทย ไม่มีวัฒนธรรมไทย ไม่มีอะไรแบบไทยๆ ไม่มีปัจจัย ไม่มีลาภสักการะ เขาจึงไปอยู่ประเทศอื่นที่มีการดูแลเอาใจใส่จากญาติโยมที่เป็นคนไทยมากกว่า
และประเทศรัสเซีย เป็นประเทศที่ไม่มีลาภสักการะ คือคนรัสเซียทำบุญพอสมควร แต่ทำบุญเป็นค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าฮีทเตอร์ ค่าแก๊ส ค่าขนขยะ ค่า Maintenance ค่าภาษี แต่ว่าที่จะเอาปัจจัยมาถวายแบบใส่ซองให้พระธรรมทูตวันละ 100 - 400 ยูโร จะไม่มี ดังนั้นพระธรรมทูตเหล่านั้นเมื่อออกพรรษา ก็จะเดินทางกลับประเทศไทย บางรูปยังไม่ได้ออกพรรษาด้วยซ้ำไป เหลืออีก 7 วันจะออกพรรษา ท่านต้องรีบกลับ เพราะท่านอยู่ลำบาก
พระอาจารย์ชาตรีตัดสินใจบรรพชาเป็นสามเณรในขณะที่เรียนเพียงแค่ชั้น ป. 5 ในปี พ.ศ.2520 ซึ่งเป็นการบรรพชาสามเณรภาคฤดูร้อน ฉลองกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี
“ตอนนั้นตั้งใจว่าจะไม่สึก แต่เนื่องจากจบแค่ ป.5 และเมื่อจบหลักสูตรสามเณรภาคฤดูร้อน 1 เดือน พระอาจารย์จึงแนะนำให้สึกเพื่อที่จะให้พระอาจารย์เรียนให้จบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ก็เลยสึกไปเรียนชั้น ป.6 ช่วงที่สึกแล้วไปเรียนชั้น ป.6 ก็ไปเป็นเด็กวัด และ เมื่อจบ ป.6 ได้ 3 วัน ก็บวชอีกเมื่อปี พ.ศ.2527
เป็นคนที่ชอบนั่งสมาธิตั้งแต่เด็กๆ คือรู้ว่าตัวเองต้องไปอยู่รัสเซีย ไม่ว่าช้า หรือเร็ว รู้ว่าคือต่างประเทศ แต่ไม่รู้ว่าคือรัสเซีย แต่รู้ว่าถึงเวลาหนึ่งพระอาจารย์ต้องไปอยู่ประเทศนั้น และอาจจะต้องใช้ชีวิตจนถึงวันสุดท้ายในประเทศนั้น
ตอนเป็นเณรเล็กๆ เด็กๆ เราไม่รู้ ก็นั่งสมาธิแล้วเราเห็น เห็นว่าเราไปอยู่ ไปโกยหิมะ คือมองเห็นอนาคต แต่ไม่รู้อนาคตที่เรามองเห็นคือที่ไหน แต่รู้ว่าเป็นประเทศฝรั่ง แต่ตอนนี้พระอาจารย์รู้แล้วว่า สิ่งที่เราเห็นตอนที่เป็นเณรเล็กๆ ตอนเป็นเด็ก นั่นคือประเทศรัสเซีย แต่ไม่ได้หมายความว่าพระอาจารย์อุตริ ว่าตัวเองสามารถล่วงรู้อนาคตได้ ไม่ใช่ มันเป็นเพียงภาพที่เห็นในขณะที่เรานั่งสมาธิ และมันเป็นความจริง ถึงเวลาหนึ่ง ภาพที่เราเห็นว่า เมื่อ 37 ปีที่แล้ว กำลังเป็นภาพที่เราอยู่ในปัจจุบัน
ท่านถือกำเนิดที่ จ.พัทลุง เริ่มบรรพชาเป็นสามเณรเมื่อ พ.ศ.2527 จากนั้นได้ร่ำเรียนศึกษาทั้งทางโลกและทางธรรม โดยพระอาจารย์ได้ทุนมาเรียนที่รัสเซียปี พ.ศ.2539 ทว่า ก่อนหน้าได้เลือกเรียน เอกภาษาอังกฤษ ที่มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เพราะคิดว่าเป็นแนวทางในการทำงานพระศาสนาในอนาคต
กระทั่งเรียนจบปริญญาเอก จากคณะประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยคริสเตียน แห่งเซนต์ปิเตอร์สเบิร์ก ด้วยทุนของรัฐบาลสหพันธรัฐรัสเซียก็นับว่าเป็นปริญญาเอกใบแรก ต่อมาอีก 2 ปี ได้ปริญญาเอกใบที่สอง ทางด้านรัฐศาสตร์การทูต ภาควิชายุโรปศึกษา จากคณะรัฐศาสตร์การทูต จากมหาวิทยาลัยเซนต์-ปิเตอร์สเบิร์ก
ด้วยความรักเรียนและชอบแสวงหาความรู้ถัดมาปี พ.ศ. 2548 จึงได้เรียนต่อในระดับสูงกว่าปริญญาเอก เรียกว่า Post Doctorate Programme ในคณะรัฐศาสตร์การทูต ที่มหาวิทยาลัยแห่งเซนต์ปิเตอร์สเบิร์ก นับว่าเป็นนักวิชาการของไทยและชาวเอเชียคนแรกที่ได้รับอนุมัติให้ศึกษาในระดับนี้ และทุนเล่าเรียนในระดับสูงสุดนี้รัฐบาลรัฐรัสเซีย "หลังจากเรียนจบก็กลับมาที่เมืองไทย กลับมาอยู่ที่สวนโมกข์ เกือบครึ่งปี จากนั้นไปอยู่ที่วัดชลประทานรังสฤษดิ์ มาเป็นพระวิทยากร มาสอนตามมหาวิทยาลัยต่างๆ แต่พระอาจารย์คิดว่าความรู้ที่เราเรียนมา น่าจะเกิดประโยชน์มากกว่าการที่กลับมาเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยในประเทศไทย เพราะได้พระอาจารย์เดินสายบรรยายเกือบทุกมหาวิทยาลัยในประเทศได้รับอะไรในสังคมไทยหลายอย่าง คือพระอาจารย์เรียนจบปริญญาเอกมาในช่วง ปี พ.ศ.2548 ช่วงนั้นที่ประเทศไทยมีความวุ่นวายทางการเมืองค่อนข้างรุนแรง จึงคิดว่า ถ้าเป็นแบบนี้ พระอาจารย์คงจะทำประโยชน์อะไรต่อประเทศไทยได้ไม่มาก
คิดว่าเรามีความรู้ทางด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ความรู้ทางด้านการทูต มีความแตกฉานในภาษารัสเซียพอสมควร เพราะสามารถเขียนวิทยานิพนธ์ปริญญาโท ปริญญาเอก เป็นภาษารัสเซียได้ พระอาจารย์คิดว่าน่าจะนำความรู้เหล่านี้ ไปเผยแผ่ศาสนา ความรู้ ความคิดที่อยากจะสึกไปเป็นนักการทูตมันก็เปลี่ยนไป มองว่าข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศก็เรียนจบ เขาทำอะไรกันบ้าง พระอาจารย์มองการทำงานของสถานทูตแล้วพระอาจารย์ก็เปลี่ยนความคิด
ไม่ได้มองว่าการเป็นนักการทูตเป็นสิ่งที่ไม่ดี แต่พระอาจารย์คิดว่าการที่พระอาจารย์จะกลับไปอยู่ประเทศรัสเซีย ในฐานะพระธรรมทูตน่าจะดีกว่าการเป็นนักการทูต เป็นข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศ หรือเป็นข้าราชการการเมือง พระอาจารย์จึงตัดสินใจที่จะกลับไปประเทศรัสเซีย
และบังเอิญว่า พระอาจารย์ได้รับการติดต่อจากมหาวิทยาลัยเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กให้กลับไปเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย ในคณะความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ทางการทูต ที่พระอาจารย์เรียนจบกลับมา นั่นจึงเป็นที่มา”
การเผยแผ่พุทธศาสนาในรัสเซีย ของพระอาจารย์ชาตรีถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ด้วยความพระอาจารย์ชาตรีมีความแตกฉานในภาษารัสเซีย ทั้งพูด อ่าน เขียน จึงทำให้คนรัสเซียสามารถเข้าถึงธรรมะ หันมาสนใจพุทธศาสนาและแสดงตนเป็นพุทธมามกะมากขึ้น
“ส่วนใหญ่คนรัสเซียที่หันมานับถือพระพุทธศาสนาก็จะเป็นคนที่มีการศึกษา เป็นนักวิทยาศาสตร์ เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย เป็นแพทย์ จิตแพทย์ นักบินอวกาศ เป็นทหาร ตำรวจ
พุทธศาสนาเป็นศาสนาของชนชั้นที่มีการศึกษา ชนชั้นปัญญาชน ในเมืองใหญ่ๆอย่างกรุงมอสโก หรือกรุงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก คนที่มีการศึกษาจะนับถือพุทธศาสนา คนที่หันมาสนใจพระพุทธศาสนา ก็มีการศึกษาสูงหน่อย มีฐานะทางสังคมดี มีความคิดเรื่องสันติภาพ มีความคิดเรื่องการไม่เบียดเบียน มีความคิดเรื่องการรับประทานอาหารมังสวิรัติ มีความคิดเรื่องการทานอาหารเจ ศาสนาพุทธก็กลายเป็นทางเลือกหนึ่งของคนรัสเซียในวัฒนธรรมใหม่ของคนรัสเซีย
การที่พระอาจารย์ไปอยู่รัสเซีย และตัดสินใจไปศึกษาที่รัสเซีย พระอาจารย์คิดว่าเป็นเรื่องที่ไม่น่ากลัว แต่พอสัมผัสจริงๆแล้วพระอาจารย์มองว่า คนรัสเซียมีจิตใจ จิตวิญญาณใกล้เคียงกับคนไทยมาก เนื่องจากเขาเป็นฝรั่งที่ผสมเอเชีย ถ้าเราไปรัสเซียก็จะเห็นคนหน้าตาเอเชีย แต่ตาสีฟ้า ผมสีทอง หน้าตาคล้ายๆลูกครึ่ง เป็นประเทศที่เต็มไปด้วยลูกครึ่งเอเชียและยุโรป
ดังนั้นคนรัสเซียจะหน้าตาคล้ายๆคนไทย เหมือนคนจีนแต่ตาสีฟ้า และผมสีทอง พระอาจารย์คิดว่าคนรัสเซียจิตวิญญาณเขาใกล้เคียงกับคนไทยมาก ในอดีตเขาก็ได้รับอิทธิพลของพุทธศาสนามาก่อนที่จะมาเปลี่ยนเป็นนับถือศาสนาคริสต์ นิกายออร์โธด็อกซ์ เมื่อปี ค.ศ.908 เมื่อก่อนเขานับถือศาสนาพระเวทย์ และพระพุทธศาสนา
ดังนั้นที่พระอาจารย์ตัดสินใจไปรัสเซีย พระอาจารย์ไม่ได้มองว่า มันเป็นเรื่องโหดร้าย เป็นเรื่องที่น่ากลัว และสิ่งที่อะไรที่น่ากลัวเกี่ยวกับรัสเซีย เป็น Political Propaganda (การโฆษณาชวนเชื่อ)
ตอนเล็กๆเราจะได้ข่าวว่า ถ้าคอมมิวนิสต์ยึดประเทศไทย สมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ก็จะฆ่าพระ และจะฆ่าเด็ก จะให้ลูกไปฆ่าพ่อแม่ จะล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ เราก็เข้าใจว่า ลัทธิคอมมิวนิสต์เป็นสิ่งที่น่ากลัว แต่พอไปสัมผัสจริงๆพระอาจารย์คิดว่า คนรัสเซียเป็นชนชาติที่น่ารักที่สุดชนชาติหนึ่ง และรัสเซียเป็นประเทศที่น่าอยู่ คนรัสเซียเขาเคารพกติกา
ถึงแม้ว่าการไปอยู่ในประเทศรัสเซีย จะไม่มีอาหารไทย คนไทย ไม่มีวัฒนธรรมไทย ไม่มีปัจจัยมากมาย อยู่ด้วยความยากลำบาก พระอาจารย์ก็มีความสุข เพราะชีวิตเลือดเนื้อ เซลล์ทุกเซลล์ที่อยู่ในร่างกาย ได้มาจากข้าวก้นบาตรของพระพุทธเจ้า เราบวชเรียนมา
เซลล์ที่เกิดขึ้นในร่างกายเกิดจากแรงศรัทธาจากญาติโยม ข้าวก้นบาตร บุญบารมีที่พระพุทธเจ้าเลี้ยงพระอาจารย์มา ดังนั้นการที่พระอาจารย์ตัดสินใจ ทำงานเพื่อพระพุทธศาสนา พระอาจารย์คิดว่า เป็นการถวายชีวิตนี้ให้กับพระพุทธเจ้า เป็นการตอบแทนคุณพระพุทธเจ้า นี่คือสิ่งที่ทำให้พระอาจารย์อยู่ได้
“การทำงานพระศาสนามีอุปสรรคมากมายแต่ถ้าใจสู้แบบยอมตาย พระอาจารย์เชื่อมั่นว่า พระศาสนาจะยังคงอยู่อีกนานแสนนาน อย่างน้อยก็พระอาจารย์คนหนึ่งจะทำพันธกิจนี้ด้วยชีวิต”