สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 4
“เราก็เลยมานั่งคิดว่าหรือจริงๆ แล้วเราอกตัญญู เราแค่เข้าข้างตัวเอง หาเหตุผลให้ตัวเอง ?”
เราชอบประโยคนี้ของคุณค่ะ
และเพราะประโยคนี้แหละ เราจะตอบแบบตรงไปตรงมา ให้คุณมองเห็นทางออกนะคะ
1. กตัญญู คือ การรู้สำนึก ในบุญคุณของท่าน กตเวที คือ ตอบแทนพระคุณท่าน
ตามที่คุณเล่ามา คุณอยากเอาตัวเองให้รอด ก็เพื่อจะช่วยให้พ่อแม่สบายภายหลัง
คุณวางแผนเอาไว้แบบนี้แต่แรก มีเป้าหมายชัด และพยายามเก็บหอมรอมริบ จนเกือบจะสำเร็จ
ตรงนี้แสดงว่าคุณ เป็นคนที่มีความรู้ และ ระลึกได้เสมอ ว่า พ่อแม่ มีพระคุณ
คุณกำลังจะสร้างโอกาสให้ตนเอง ได้มีช่องทาง “ตอบแทน” พระคุณของพวกท่านภายหลัง
คุณมีวินัยในการใช้เงิน ขยัน อดออม และอดทน
แม้ตอนนี้ คุณลำบาก คุณก็ไม่อยากรบกวนพ่อ พยายาม “เป็นที่พึ่งให้ตนเองให้ได้”
ขอให้คุณภูมิใจในตัวเองตรงนี้มากๆนะคะ
ยิ่งคุณมั่นใจ เชื่อมั่นในคุณธรรมความดีของตนเองมากเท่าไหร่
คุณจะไม่หวั่นไหวเลย ยามใครต่อใครมาพูดว่าคุณอกตัญญู
2. มาพูดในด้านการตอบแทนพระคุณท่านกันค่ะ ตอนนี้มีสิ่งที่คุณจะให้พวกท่านได้อยู่ และเมื่อคุณยิ่งให้ คุณจะยิ่งได้ค่ะ
2.1. ให้ความเข้าใจ
_พ่อรักคุณมาก เคยสนิทกันมาก ท่านเอง ก็ภูมิใจในตัวคุณ ไม่เคยรบกวนขอเงินคุณ แม้ตนเองเป็นหนี้ อยู่ถึง สี่ล้านใช่ไหมคะ ?
ที่ตอนนี้มาทำท่าโกรธคุณ หงุดหงิดใส่คุณเพราะท่านเสียดายเงินค่ะ
คุณเองก็รู้ รสชาติขมขื่นอันเกิดจากเงินล้านสลายไปในพริบตา มันชอกช้ำหนัก
เงินของคุณ หายไปหนึ่งล้าน คุณมองว่า อนาคตของคุณที่จะไปต่างประเทศ หายวับไปกับตา
พ่อคุณติดลบค่ะ ท่านมองด้วยความเสียดายว่า หากนำเงินก้อนนี้มาใช้หนี้
หนี้สินที่ท่านตึงเครียดอยู่ทุกวันนี้ จะทุเลาเบาบางลง เวลาหงุดหงิด ไม่รู้จะระบายทางไหน จึงมาลงที่คุณ
ไม่ใช่ท่านไม่รัก และไม่สงสารคุณแล้วนะคะ แต่ความทุกข์บีบคั้น ท่านเองก็จนมุม สติปัญญาก็ไม่มี ควบคุมตนเองไม่ได้ จึงระบายโทสะออกมา
_แม่มีความจำเป็นใดต้องใช้เงิน ก็จะมองแต่ว่า คุณมีมากขนาดนั้น ไม่เคยเอามาจุนเจือท่านเลย
ท่านจึงเคืองค่ะ
2.2 ให้อภัย
_พ่อและแม่ของคุณ ก็เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา ที่มีรัก โลภ โกรธ หลงค่ะ
ต่างก็มี อัตตา ที่จะมีเหตุผล เข้าข้างตนเอง
ตอนนี้ คุณอยู่กับพ่อ หากท่านหงุดหงิดมา ก็หลีกเลี่ยงที่จะโต้ตอบท่านนะคะ
นี่คือ ความกตเวที ที่ตอนนี้ คุณจะให้ท่านได้ โดยไม่ต้องเสียสตางค์เพิ่มสักบาทค่ะ
บอกท่านว่า คุณจะหาใหม่ เก็บใหม่ จะมีอนาคตที่ดี จะช่วยท่านใช้หนี้ และจะเลี้ยงดูท่านให้สุขสบาย
อธิบายท่านว่า ในตอนนั้นที่คุณไม่ให้ เพราะคุณวางแผนอย่างไรไว้ มิใช่เพราะความใจจืดใจดำ แชเชือนความทุกข์ของท่านเลย
ตอนนี้ คุณได้รับบทเรียนแล้ว คุณจะนำบทเรียนราคาแพงนี้ มาปรับแนวทางดำเนินชีวิตใหม่
ซึ่งแม้ คุณจะเลือกทาง เก็บเพื่ออนาคต แล้วค่อยให้ท่าน หลังจากได้ไปต่างประเทศแล้ว อีกครั้ง ก็ไม่ผิดนะคะ
เพียงแต่คุณต้องหาจุดสมดุลให้ตนเอง และครอบครัวด้วย
2.3 ให้เงิน “ด้วยความเต็มใจ ด้วยจิตใจที่ผ่องใสเบิกบาน”
เงินหกพัน คุณอาศัยกับพ่อ พ่อเองท่านก็มีหนี้สิน เพราะฉะนั้น หลักคือ อย่าให้พ่อต้องแบกรับค่าใช้จ่ายของคุณอีกค่ะ
และจุนเจือ ช่วยแบ่งเบา ค่าน้ำค่าไฟด้วย
เหลือจากนั้นเท่าไหร่ ค่อยให้แม่ค่ะ
ถ้าไม่เหลือ ไม่ต้องให้ บอกท่านว่า คุณต้องจ่ายอะไรไปบ้าง คุณเองก็ใช้เงินอย่างมัธยัสถ์อยู่แล้ว
เมื่อไม่พอ ก็เพราะไม่พอ
หากท่านจะไม่พอใจ กระแนะกระแหน-ดัน ให้คุณหายใจยาวๆ (ย้อนกลับไปอ่านข้อ 2.2)
แม้คุณจะให้เงินแม่ เท่าที่แม่ต้องการไม่ได้ในตอนนี้ แต่คุณสามารถ ให้อภัย ด้วยความเข้าใจท่านได้นี่คะ
หากยังทำใจ ให้ราบเรียบไม่ไหว เผลอโกรธตอบท่าน ยามท่านด่าว่า
ก็อย่าโทษตัวเองนักค่ะ จำไว้ว่า เมื่อความโกรธเกิดขึ้น อย่าไปปรุงแต่งต่อ อย่าไปให้อาหารมันต่อ เดี๋ยวมันก็ดับไป
ที่สำคัญคือ ถ้าพูดให้ท่านใจเย็นลง และเข้าใจคุณไม่ได้ ก็หยุดพูดเลยค่ะ
ไม่ผิดเลย ที่คุณจะพูดขอตัวอย่างสุภาพ / วางสายไป และอาจจะไม่รับสายท่านอีกเลย จนกว่าคุณจะสงบใจได้นะคะ
สรุป ...
ใจเป็นใหญ่ เป็นประธานค่ะ เน้นที่ใจคุณก่อน อย่าปล่อยให้ใจหม่นหมองจนเกิดอกุศลต่อเนื่องแบบนี้
เข้าใจ / ให้อภัยตนเอง พ่อ แม่ และบรรดาญาติๆปากมอมที่สักแต่ว่าจะวิจารณ์โดยไม่เคยช่วยอะไร
เสียอะไรเสียไป ใจอย่าเสีย
ทบทวนเพื่อเก็บเกี่ยวบทเรียน เป็นประสบการณ์ชีวิต แล้วลุกขึ้นสู้อีกครั้งค่ะ
ไม่นาน เรื่องพวกนี้ ก็จะเป็นอดีตไป
บรรจงขีดเขียนบทใหม่ ให้ชีวิตคุณด้วยสติปัญญา ที่เพิ่มพูนขึ้นมานะคะ
เราชอบประโยคนี้ของคุณค่ะ
และเพราะประโยคนี้แหละ เราจะตอบแบบตรงไปตรงมา ให้คุณมองเห็นทางออกนะคะ
1. กตัญญู คือ การรู้สำนึก ในบุญคุณของท่าน กตเวที คือ ตอบแทนพระคุณท่าน
ตามที่คุณเล่ามา คุณอยากเอาตัวเองให้รอด ก็เพื่อจะช่วยให้พ่อแม่สบายภายหลัง
คุณวางแผนเอาไว้แบบนี้แต่แรก มีเป้าหมายชัด และพยายามเก็บหอมรอมริบ จนเกือบจะสำเร็จ
ตรงนี้แสดงว่าคุณ เป็นคนที่มีความรู้ และ ระลึกได้เสมอ ว่า พ่อแม่ มีพระคุณ
คุณกำลังจะสร้างโอกาสให้ตนเอง ได้มีช่องทาง “ตอบแทน” พระคุณของพวกท่านภายหลัง
คุณมีวินัยในการใช้เงิน ขยัน อดออม และอดทน
แม้ตอนนี้ คุณลำบาก คุณก็ไม่อยากรบกวนพ่อ พยายาม “เป็นที่พึ่งให้ตนเองให้ได้”
ขอให้คุณภูมิใจในตัวเองตรงนี้มากๆนะคะ
ยิ่งคุณมั่นใจ เชื่อมั่นในคุณธรรมความดีของตนเองมากเท่าไหร่
คุณจะไม่หวั่นไหวเลย ยามใครต่อใครมาพูดว่าคุณอกตัญญู
2. มาพูดในด้านการตอบแทนพระคุณท่านกันค่ะ ตอนนี้มีสิ่งที่คุณจะให้พวกท่านได้อยู่ และเมื่อคุณยิ่งให้ คุณจะยิ่งได้ค่ะ
2.1. ให้ความเข้าใจ
_พ่อรักคุณมาก เคยสนิทกันมาก ท่านเอง ก็ภูมิใจในตัวคุณ ไม่เคยรบกวนขอเงินคุณ แม้ตนเองเป็นหนี้ อยู่ถึง สี่ล้านใช่ไหมคะ ?
ที่ตอนนี้มาทำท่าโกรธคุณ หงุดหงิดใส่คุณเพราะท่านเสียดายเงินค่ะ
คุณเองก็รู้ รสชาติขมขื่นอันเกิดจากเงินล้านสลายไปในพริบตา มันชอกช้ำหนัก
เงินของคุณ หายไปหนึ่งล้าน คุณมองว่า อนาคตของคุณที่จะไปต่างประเทศ หายวับไปกับตา
พ่อคุณติดลบค่ะ ท่านมองด้วยความเสียดายว่า หากนำเงินก้อนนี้มาใช้หนี้
หนี้สินที่ท่านตึงเครียดอยู่ทุกวันนี้ จะทุเลาเบาบางลง เวลาหงุดหงิด ไม่รู้จะระบายทางไหน จึงมาลงที่คุณ
ไม่ใช่ท่านไม่รัก และไม่สงสารคุณแล้วนะคะ แต่ความทุกข์บีบคั้น ท่านเองก็จนมุม สติปัญญาก็ไม่มี ควบคุมตนเองไม่ได้ จึงระบายโทสะออกมา
_แม่มีความจำเป็นใดต้องใช้เงิน ก็จะมองแต่ว่า คุณมีมากขนาดนั้น ไม่เคยเอามาจุนเจือท่านเลย
ท่านจึงเคืองค่ะ
2.2 ให้อภัย
_พ่อและแม่ของคุณ ก็เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา ที่มีรัก โลภ โกรธ หลงค่ะ
ต่างก็มี อัตตา ที่จะมีเหตุผล เข้าข้างตนเอง
ตอนนี้ คุณอยู่กับพ่อ หากท่านหงุดหงิดมา ก็หลีกเลี่ยงที่จะโต้ตอบท่านนะคะ
นี่คือ ความกตเวที ที่ตอนนี้ คุณจะให้ท่านได้ โดยไม่ต้องเสียสตางค์เพิ่มสักบาทค่ะ
บอกท่านว่า คุณจะหาใหม่ เก็บใหม่ จะมีอนาคตที่ดี จะช่วยท่านใช้หนี้ และจะเลี้ยงดูท่านให้สุขสบาย
อธิบายท่านว่า ในตอนนั้นที่คุณไม่ให้ เพราะคุณวางแผนอย่างไรไว้ มิใช่เพราะความใจจืดใจดำ แชเชือนความทุกข์ของท่านเลย
ตอนนี้ คุณได้รับบทเรียนแล้ว คุณจะนำบทเรียนราคาแพงนี้ มาปรับแนวทางดำเนินชีวิตใหม่
ซึ่งแม้ คุณจะเลือกทาง เก็บเพื่ออนาคต แล้วค่อยให้ท่าน หลังจากได้ไปต่างประเทศแล้ว อีกครั้ง ก็ไม่ผิดนะคะ
เพียงแต่คุณต้องหาจุดสมดุลให้ตนเอง และครอบครัวด้วย
2.3 ให้เงิน “ด้วยความเต็มใจ ด้วยจิตใจที่ผ่องใสเบิกบาน”
เงินหกพัน คุณอาศัยกับพ่อ พ่อเองท่านก็มีหนี้สิน เพราะฉะนั้น หลักคือ อย่าให้พ่อต้องแบกรับค่าใช้จ่ายของคุณอีกค่ะ
และจุนเจือ ช่วยแบ่งเบา ค่าน้ำค่าไฟด้วย
เหลือจากนั้นเท่าไหร่ ค่อยให้แม่ค่ะ
ถ้าไม่เหลือ ไม่ต้องให้ บอกท่านว่า คุณต้องจ่ายอะไรไปบ้าง คุณเองก็ใช้เงินอย่างมัธยัสถ์อยู่แล้ว
เมื่อไม่พอ ก็เพราะไม่พอ
หากท่านจะไม่พอใจ กระแนะกระแหน-ดัน ให้คุณหายใจยาวๆ (ย้อนกลับไปอ่านข้อ 2.2)
แม้คุณจะให้เงินแม่ เท่าที่แม่ต้องการไม่ได้ในตอนนี้ แต่คุณสามารถ ให้อภัย ด้วยความเข้าใจท่านได้นี่คะ
หากยังทำใจ ให้ราบเรียบไม่ไหว เผลอโกรธตอบท่าน ยามท่านด่าว่า
ก็อย่าโทษตัวเองนักค่ะ จำไว้ว่า เมื่อความโกรธเกิดขึ้น อย่าไปปรุงแต่งต่อ อย่าไปให้อาหารมันต่อ เดี๋ยวมันก็ดับไป
ที่สำคัญคือ ถ้าพูดให้ท่านใจเย็นลง และเข้าใจคุณไม่ได้ ก็หยุดพูดเลยค่ะ
ไม่ผิดเลย ที่คุณจะพูดขอตัวอย่างสุภาพ / วางสายไป และอาจจะไม่รับสายท่านอีกเลย จนกว่าคุณจะสงบใจได้นะคะ
สรุป ...
ใจเป็นใหญ่ เป็นประธานค่ะ เน้นที่ใจคุณก่อน อย่าปล่อยให้ใจหม่นหมองจนเกิดอกุศลต่อเนื่องแบบนี้
เข้าใจ / ให้อภัยตนเอง พ่อ แม่ และบรรดาญาติๆปากมอมที่สักแต่ว่าจะวิจารณ์โดยไม่เคยช่วยอะไร
เสียอะไรเสียไป ใจอย่าเสีย
ทบทวนเพื่อเก็บเกี่ยวบทเรียน เป็นประสบการณ์ชีวิต แล้วลุกขึ้นสู้อีกครั้งค่ะ
ไม่นาน เรื่องพวกนี้ ก็จะเป็นอดีตไป
บรรจงขีดเขียนบทใหม่ ให้ชีวิตคุณด้วยสติปัญญา ที่เพิ่มพูนขึ้นมานะคะ
แสดงความคิดเห็น
เราอกตัญญูมั้ยคะ
ปัจจุบัน : เราอายุ 29 ค่ะ กำลังจะสามสิบในอีกไม่กี่เดือน เป็นฟรีแลนซ์และแต่งนิยายค่ะ
1. พ่อแม่เราแต่งกันเพราะพ่อประชดชีวิต และแม่แต่งเพราะตอนนั้นพ่อรวย พ่อเราหาเงินเก่ง และใช้เก่ง แม่เราไม่หา แต่ใช่เก่ง จนบ้านเรามีปัญหาเรื่องเงินมาตลอดตั้งแต่เราจำความได้ เพราะพ่อก็ใจดีให้ยืมแล้วไม่ได้คืนบ้างโดนโกงบ้าง แม่เราก็บอกตลอดว่าอยากเป็นคุณนาย
2. เรารู้สึกไม่ปลอดภัยค่ะ จำได้ว่าเก็บเงินตั้งแต่อนุบาล หยอดกระปุกทรงสูงจนเต็ม กลับบ้านตั้งใจจะไปเปิดมานับเพื่ออวดพ่อว่าเก็บเงินได้ ปรากฏเงินหาย ไปถามแม่ แม่บอกเอาไปทอนของ มันกลายเป็นปมในใจเราค่ะ
3. พ่อกับแม่หย่ากันตอนเรา ม.3 เราไม่ได้อะไร เพราะเห็นอยู่แล้วว่าแกไม่รักกัน แม่ร้องไห้ จะให้ขายบ้านที่เรากับพ่ออยู่ แกจะเอาเงิน เรามีความรู้สึกมาตลอด ว่าแม่มีเราเพื่อเลี้ยงแก เพื่อเงินให้แกตอนแก่ เราเข้าใจนะคะ แต่เราไม่เคยมีฟีลลิ่งแบบแม่ในละคร ที่โทรถามว่าเงินพอใช้มั้ย มีแต่ถามว่า เรียนจบจะให้แม่เท่าไหร่ หมื่นนึงมั้ย แล้วเอาลูกคนนั้นคนนี้มาอวด ทำให้เราไม่สนิทกับแม่เหมือนมีกำแพง เรียนเหนื่อยทำงานหนัก โทรมาแต่ละครั้งมีแต่พูดเรื่องเงินกับด่าพ่อให้เราฟัง
4. พ่อรักเราค่ะ มีอะไรให้ได้ให้ แต่แกไม่เก็บ ทำให้มีปัญหาเรื่องเงินตลอด ไม่เคยวางแผน เราเก็บเงินก้อนใหม่หลังจากที่กระปุกโดนแม่เอาไป ก็ประมาณ ป.1 - ม.6 ได้เกือบๆ หกหมื่น ซึ่งสำหรับเด็กที่ไม่ได้ทำงาน มันเป็นเงินที่เยอะมากๆ (พ่อห้ามเราไปทำงานพาทไทม์เด็ดขาด เคยแอบไปทำ แล้วถูกจับได้ โดนด่าโดนตีทะเลาะยกใหญ่ เราเลยยอมแพ้ค่ะ เราคิดว่าการทำพาทไทม์มันดีสำหรับเด็ก เพระาหาเงินเอง ลดภาระพ่อแม่ แล้วได้ประสบการณ์ แต่พ่อเราเป้นคนจีนหัวเก่าค่ะ)
5. เราไปเรียนต่างจังหวัดค่ะ ที่ไกลมากๆ เป็นมหาลัยอินเตอร์ เราเลยกู้ กยศ ตั้งแต่เทอมแรก พ่อสมทบให้ค่ากินเดือนละหมื่น เราเอาเงินบัญชีเงินออมฝากพ่อไว้ เพราะกลัวทำหาย เราเก็บทุกบาททุกสตางค์ เรากินข้าววันละ 100 คำนวนเงินทุกบาท ว่าต่อเดือนต้องเหลือเท่าไหร่ จบไปหนี้ กยศ เกือบๆ 5 แสน เราจะคืนให้ได้ตั้งแต่ปีแรกเพราะไม่อยากเสียดอก เราประหยัดมากๆ
6. เราอยากต่อทุน ไปซัมเมอร์ที่ ตปท ซึ่งต้องใช้เงินสามหมื่นแปด เราเลยโทรบอกพ่อว่าช่วยถอนแล้วโอนมาให้หน่อย เพราะตอนนั้นเราไม่มี ATM ใช้โนเกีย ไม่ได้ใช้ไอโฟนแบบเพื่อนๆ พ่อบอกว่าพ่อเอาไปลงทุนหมดแล้ว (ลงทุนสุดท้ายเจ๊งเงินหายหมด) เราโกรธมากค่ะ น้อยใจเสียใจ พ่อไม่เคยบอก ไม่เคยให้เรามีส่วนรับรู้ใด ๆ จริงๆ ถ้าพ่อบอกเราก่อน เราจะไม่เสียใจเท่านี้เลย เงินนั้นคือเงินที่พ่อให้มาก็จริง แต่เราตั้งใจเก็บมาก สุดท้ายเราต้องไปกู้เพื่อไปเรียนซัมเมอร์ค่ะ (ก้อนนี้เราหามาคืนหมดแล้ว) นี่เลยกลายเป็นอีกปมหนึ่ง เราระแวง ไม่ไว้ใจใคร เวลาใครถามเรื่องเงินเรื่องอะไร เราจะพูดแค่เราจน เราไม่มีเงิน แต่เราไม่เคยยืมเงินใคร ไม่เคยขอเงินใคร ไม่เบียดเบียนใคร เราจะใช้อันนี้เป็นข้ออ้างปฏิเสธเวลาเพื่อนหรือเพื่อนร่วมงานชวนไปเที่ยว ต่อให่เขาบอกว่าจะเลีย้ง เราก็ไม่ไป เพราะเรารู้อยู่ว่ามีเงินในบัญชี เรากลายเป็นคนที่ไม่มีสังคมไม่มีเพื่อนค่ะ (อันนี้เกิดจากตัวเองล้วนๆ ไม่เกี่ยวกับพ่อแม่ค่ะ แต่แค่ปมมันส่งผลมาถึง)
7. เราเรียนจบ ทำงานอยู่ ตจว ไม่ได้กลับบ้าน เกือบ 10 ปี บ้านเรามีหนี้ 4 ล้าน เราเลยวางแผนจะเก็บเงินให้ถึง 1 ล้าน แล้วไปอเมริกาหรือออสเตรเลีย (ต้องมีสเตทเม้นนอนในบัญชีล้านนึงสำหรับเรียนหนึ่งปี) เราเลยไม่ได้ส่งเงินให้พ่อทุกเดือน จะมีบางเดือนที่รายได้ดีก็จะส่งไปให้ เพราะเราฟิคเงินเก็บ ว่าเดือนนึงต้องเก็บได้เท่าไหร่ เพื่อจะได้ครบล้านไวๆ ไม่ได้ส่งให้แม่ ทุกครั้งลางานได้เรากลับบ้าน ไม่เคยไปเที่ยว ทำงานมาสี่ปี ลาได้ก็กลับบ้านไปหาพ่อตลอด แล้วก็ให้เงินแก อาจจะไม่มาก แต่เราคิดว่าเราวางแผนเพื่ออนาคต ถ้าเราไปที่โน่นเงินเราจะหาได้มากกว่านี้ พ่อแม่จะสบายกว่านี้
8. เราเงินกำลังจะครบล้าน โควิดมา ปัญหาเศรษฐกิจ เราเลยไม่ได้ไป แล้วออแพเราอายุเกินเลยจะไปออส ตอนนั้นเงินครบล้านแล้ว แต่ยังไปไม่ได้ แล้วเราตกงาน เราเลยพยายามใช้เงินให้น้อยที่สุด พยายามแตะล้านนึงอันนั้นให้น้อยที่สุด เรากินวันละร้อย เราเดินไปทำงาน เราไม่ซื้อเสื้อผ้ากระเป๋า ไม่แต่งหน้า คือทำทุกอย่างเพื่อประหยัดเงิน เราคิดว่าไม่กี่เดือนคงจะได้ไป ปรากฏว่ามันนานกว่าที่คิด เราเครียดมาก บังเอิญเจอคนรู้จักมาชวนเล่นหุ้น เราก็เล่น (ไม่ขอลงดีเทล อันนี้เราโง่ค่ะ) แต่มันกลายเป็นแชร์ลูกโซ่ ตอนนั้นเพราะความโลภ สองก้อนแรกถอนกำไรมาได้เยอะค่ะ เลยคิดว่าเวิร์ค เลยเอาเงินเก็บไปลง กะว่าได้กำไรก้อนนี้แล้วจะไม่เล่นหุ้นต่อแล้ว จะเอาไปลงทุนขายของหรืออะไรก็ว่าไป ปรากฏว่าหมดตัวค่ะ เราอาการทรุด (เราเป็นซึมเศร้าก่อนจะเจอเหตุการณ์นี้ประมาณสามปี อาการกำลังดีขึ้นแต่พอมาเจออันนี้คือทรุด) เราเลยกลับมาอยู่บ้านค่ะ พยายามกิน พยายามใช้ให้น้อยที่สุด คือเรามีเงินเก็บสำรองก้อนเล็กๆ ไว้ก้อนนึง เราก็ยังไม่ได้ให้เงินพ่อ แต่พยายามเบียดเบียนพ่อให้น้อยที่สุด
9. พอพ่อกับแม่รู้ว่าเรามีเงินล้าน แล้วโดนโกงไป ญาติเรารู้ เพราะพ่อไปปรึกษา ทุกคนมองว่าเราอกตัญญู ที่ผ่านมาเราไม่ให้เงินพ่อแม่ ให้ก็ให้น้อย ตอนนี้ทะเลาะกันพ่อก็บอกว่า ที่ผ่านมาเคยให้อะไรพ่อบ้าง ทำงานได้เงินมาส่งมาให้เท่าไหร่ คือ ทุกคนตราหน้าว่าเราอกตัญญู ตอนนี้เรากับพ่ออยู่บ้านเดียวกันแต่เหมือนคนแปลกหน้าค่ะ คุยกันไม่กี่คำกืทะเลาะ พ่อไม่พูดกับเรา พูดก็พูดน้อยทุกครั้งที่พูดคือจะหงุดหงิดใส่ แล้วพอคุยเรื่องเงินก็จะวกมาที่เราโดนโกง บอกว่าเพราะไม่เชื่อพ่อแม่ แต่ถ้าตอนนั้นเราไม่โลภมาก เราก็จะได้ไปออส แล้วทำงานส่งมาไงคะ เราเสียใจมาก
เรามานั่งคิดว่าที่เราทำมาทั้งหมดคืออะไร เราพยายามเก็บเงิน (เราจ่ายหนี้ที่ไปซัมเมอร์หมดแล้ว เราจ่ายหนี้ กยศ หมดแล้วเพื่อให้ประวัติสะอาดสุดจะได้ผ่านวีซ่าง่ายๆ ตามความเข้าใจเรา) เราใช้เงินวันละร้อย ช่วงหลังที่ของแพงมากใช้ร้อยห้าสิบ ที่พักกับที่ทำงานเราไกลกันประมาณสิบโล เราเสียเงินแค่ขาไป ขากลับเราเดินแล้วนั่งเรือฟรีเอา เราไม่แต่งตัว เสื้อผ้าใช้จนขาด รองเท้ามีสามคู่ แตะหนึ่งคู่ คัทชูทืำงาน และผ้าใบหนึ่งคู่ ไม่ขา่ดไม่พังไม่ซื้อใหม่ เพราะเราต้องการจะไปออสให้ได้ไวที่สุด แต่ทุกอย่างมันพังเพราะความโง่เพียงครั้งเดียวของเรา และพ่อแม่มองว่าเรางก เราอกตัญญู ไม่ส่งเงิน หรือส่งเงินให้ที่บ้านน้อย เพราะพ่อมีหนี้ จนเราเสียใจมากค่ะ
ถ้ารู้ว่าเงินก้อนนั้นจะโดนโกง เราคงเอาเงินล้านไปโปะหนี้ให้พ่อแล้ว ตั้งแต่เรียนจบมา เทอมสุดท้ายปุ้ป เราไม่เคยขอเงินพ่ออีกเลยแม้แต่บาทเดียวค่ะ จะมีรบกวนแกแค่ช่วงอยู่บ้านที่แกซื้อของกินนั่นนี่ให้
หรือถ้าเราอกตัญญูจริง คิดแต่ตัวเองจริง ทำไมเราต้องกินวันละร้อย เดินกลับจากการทำงาน ทั้งๆ ที่มีเงินนอนในบัญชีเป็นล้านด้วยคะ?
เราเศร้า เราเครียด เราสับสน แล้วยิ่งพอที่บ้านรุ้ว่าเราเป็นซึมเศร้า เขาก็ไม่เข้าใจเราอีก
ก่อนหน้านี้เราคิดว่าเราวางแผนชีวิตดีแล้ว เราตั้งใจล้างหนี้บ้าน ตั้งใจประหยัดแต่มันพัง และทุกคนมองว่าเราอกตัญญู เรารู้สึกว่าไม่ใช่ เพราะเจตนาของเราก็เพื่อใช้หนี้บ้านทั้งนั้น แต่เราไม่ได้ให้ตอนนี้ไงคะ แต่พอโดนแบบนี้มากๆ ญาติๆ มองแปลกมากๆ เราก็เลยมานั่งคิดว่าหรือจริงๆ แล้วเราอกตัญญู เราแค่เข้าข้างตัวเอง หาเหตุผลให้ตัวเอง
ตอนนี้เรากลายเป็นคนเก็บตัว เข้ากับใครไม่ได้ อารมณ์เราเหวี่ยงขึ้นลงจนหมอต้องปรับยาเพิ่มให้ เราไม่มีเพื่อน เพราะตั้งแต่เรียนเวลาเพื่อนเที่ยว เราจะทำงาน หรือไม่ก็อ่านหนังสือเพื่อที่จะได้หาวิธีหาเงิน จนเราไม่มีเพื่อนค่ะมีเพื่อนคุยผ่านๆ พอทำงานเราทำงานหลักเสร็จ เลิกงานเราไปสอนพิเศษต่อ ไม่ได้สนิทกับใครเป็นพิเศษ เพราะโฟกัสแค่งานกับเงิน ไม่สังสรรค์ไม่มีสังคม คือเราเป็นพวกสุดโต่งซึ่งไม่ดีค่ะ ตอนนี้เราพยายามปรับอยู่ แต่นั่นคือสิ่งที่ผ่านมาแล้วค่ะ เรากลายเป็นคนไม่มีใครเลย ไม่มีเพื่อน ไม่มีแฟน กับพ่อแม่อยู่ใกล้แต่เหมือนห่างกันคนละโลก พูดหนึ่งคำ ทะเลาะสิบคำ
เราตั้งใจทำงานที่เราทำตอนนี้ ตั้งใจเก็บเงินใหม่ แต่กำลังใจเราถูกบั่นทอนจากคนใกล้ตัวตลอด เรามีหมาสองตัวที่ต้องเลี้ยง (ซื้อกับแฟนเก่าพอเลิกกันเราเอามาเลี้ยง) จะออกไปอยู่คนเดียวก็ต้องหาบ้านที่ให้เลี้ยงหมาได้ อีกอย่างเงินเราไม่มีพอขนาดนั้น แล้วพ่อเราก็แก่มากค่ะ ต่อให้ทะเลาะกันแต่อยู่บ้านก็ยังมั่นใจว่าแกปลอดภัย
เราสับสนมากๆ ค่ะ ขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้นะคะ หากใครเคยเจอ หรือมีคำแนะนำ รบกวนด้วยนะคะ
ปล ตอนนี้แม่เราเป็นเข่าเสื่อม ต้องฉีกอะไรสักอย่างเข็มละห้าพันห้าเข็ม แกก็โทรมาขอเงินเรา เราตอนนี้มีปัญหาเรื่องเงิน พ่อเราก็ไม่มีเงินไม่มัรายได้ เพราะรายได้เดิมพังหลังจากโควิดมา ถ้าเราไม่ให้แม่ หลังๆ แม่จะส่งมาว่าถ้าเสียดายก็ไม่เป็นไร ถ้าเสียดายก็ไม่ต้องให้ ถ้าเสียดายก็เก็บไว้เถอะบลาๆๆ เรามีรายได้สองทางค่ะ งานกึ่งประจำได้ประมาณหกเจ็ดพัน กับแต่งนิยายในตอนนี้ เราบอกพ่อว่า เงินหลักหกเจ็ดพันจะให้พ่อกับแม่ คนละครึ่ง หรืออาจจะให้พ่อมากกว่า (แม่เราจะขอห้าพัน เดือนก่อนให้ไปเรากินมาม่าแล้วก็ต้องเบียดเบียนพ่อ เดือนนี้เลยคิดว่าจะช่วยเท่าที่ไหว) ก็กลายเป็นทะเลาะกัน พ่อบอกว่าแม่เคยส่งเสียอะไรบ้าง ให้ทำไม
แต่ก่อนหน้านี้ที่เราไม่ค่อยให้ พ่อก็บอกต้องรู้จักให้แม่บ้าง คือเราสับสนมากค่ะ