.....เรื่องสั้น........ เรื่อง.......ปีใหม่....( เปลี่ยนความคิด เปลี่ยนชีวิตใหม่ ) ........@@ โดย ลุงแผน

กระทู้สนทนา


               ขอบคุณภาพ จาก อินเตอร์เน็ต ครับผม



ปีใหม่....(  เปลี่ยนความคิด  เปลี่ยนชีวิตใหม่ )



........เลยปีใหม่มาแล้วเกือบเดือน สองหนุ่มเพื่อนเกลอกัน วัยยี่สิบห้าปีเท่ากัน ยิ่งหดหู่ห่อเหี่ยวกว่าวันปีใหม่ที่ผ่านมา เพราะการตกงานมาตั้งแต่กลางปี  64  ทำให้ทั้งคู่ไม่มีเงินสำหรับกินหรือเที่ยวกับใคร การได้ยินได้ฟังเสียงเฮฮา และเสียงเพลงตามเทศกาลดังอยู่รอบตัว จึงคล้ายกับตอกย้ำความต้อยต่ำในชีวิตตัวเอง ให้ดำดิ่งลึกลงกว่าเดิม
 
          เจ้าสด  ชายหนุ่มผิวซีดเซียวร่างผอมกะหร่อง ถอนใจเป็นครั้งที่เท่าไรก็ไม่รู้ของเช้าวันนี้ ก่อนเอ่ยอย่างอ่อนแรงกับเจ้าชื่น ซึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ และมีสีหน้าท้อแท้ไม่แพ้กัน 
 
        “เอาไงดีวะชื่น มกราจะหมดเดือนแล้ว ตังไม่มีติดตัวซักแดง”

        เจ้าชื่นมองเพื่อนที่มีผิวซีดอย่างกับคนติดยา ทั้งที่เจ้าสดมันไม่เคยแตะต้องของมึนเมา ไม่ว่าเหล้าหรือบุหรี่แม้แต่ครั้งเดียวตั้งแต่เกิด ก่อนจะตอบกลับมาด้วยเสียงแผ่วเบาพอกัน
 
        “จะให้ทำไง ไปสมัครงานที่ไหนเขาก็ไม่รับ เขาบอกว่ารูปร่างเอ็งไม่น่าไว้ใจ”
 
         เจ้ากะหร่องสดหัวเราะพรืดออกมาเพราะกลั้นไม่ทัน เมื่อได้ยินเพื่อนพูดอย่างนั้น พร้อมกับนึกถึงวันก่อนหน้าปีใหม่ไม่กี่วัน ที่มันพากันไปสมัครเป็นยามในโรงงานแห่งหนึ่งตรงชานเมือง ก้าวแรกที่ย่างเข้าไป ยามสี่ห้าคนพากันมาสกัดเขาไว้ตรงหน้าป้อมยาม และโทรตามตำรวจมาค้นตัวทั้งสองคน ตำรวจคนหนึ่งคุมตัวเจ้าสดค้นจนทั่วตั้งแต่หัวจดเท้า ซึ่งแน่นอนว่าไม่พบสิ่งผิดกฎหมายแต่อย่างใด
 
        ส่วนเจ้าชื่นนั้น ตำรวจถึงสามคน พากันรุมค้นจนทั่วตัวเช่นกัน แถมยามทั้งหมดยังช่วยล้อมอยู่ใกล้ ๆ พลางยืนจ้องตลอดเวลาด้วยความไม่ไว้ใจ วันนั้นเจ้าสดปล่อยหัวเราะออกมาอย่างไม่สนใจใคร เมื่อเห็นท่าทางหงุดหงิดของเจ้าชื่นเพื่อนเกลอ ที่ถูกค้นตัวไปซักถามไปอย่างน่ารำคาญ 
 
 
        ในตอนนั้น มือหนาใหญ่ของเจ้าชื่นทั้งสองมือวางอยู่บนหัวตามคำสั่งของตำรวจ นิ้วมือของมันนิ้วหนึ่ง ใหญ่เกือบเท่าสองนิ้วมือของคนทั่วไป  ไหล่ของมันกว้าง เนื้อเหนือหัวไหล่ข้างลำคอที่สั้นจนมองไม่เห็นขึ้นเป็นหนอก จนแขนสั้น ๆ ซึ่งมีกล้ามเนื้อเป็นมัดยื่นมือขึ้นวางบนหัวไม่ประสานกันเท่าไร เจ้าชื่นกรอกตาโปนไปมาอย่างไม่ชอบใจที่ถูกมองว่าเป็นคนร้ายทั้งที่ตั้งใจมาสมัครงาน กว่าตำรวจกับยามจะเชื่อว่ามันไม่ได้มาร้าย ก็ใช้เวลาสอบถามนานพอควร ปากหนาเตอะของมันขยับบ่นอุบอิบ เมื่อพวกตำรวจพากันหัวเราะแล้วเดินขึ้นรถขับออกไป
 
 
      นึกถึงวันนั้นแล้วเจ้าสดก็หัวเราะไม่หยุดขณะพูดหอบ ๆ ตอบกลับมา
 
       “เอ็งว่าข้าไม่น่าไว้ใจ  อย่างกับเอ็งมันไว้ใจได้นี่”
 
       เจ้าชื่นได้ยินเพื่อนพูดก็ยิ้มแยกเขี้ยวแล้วส่ายหน้าไปมาให้กับความอาภัพของเขาทั้งสองคน ถึงขนาดที่ว่างานผิดกฎหมาย ยังไม่มีใครรับเขาเข้าทำ
 
        “ไปส่งยาบ้ากันดีกว่ามั้ย”
 
        เจ้าร่างหนาถามเจ้าสดกลั้วหัวเราะออกมา เมื่อรู้ดีถึงคำตอบ เพราะเขาทั้งสองเคยไปพูดคุยกับขาใหญ่ประจำถิ่นมาแล้ว และได้รับคำปฏิเสธอย่างหนักแน่นกลับมา
 
        “เอ็งสองคนน่ะ เค้าเรียกว่ามีบุคลิกเป็นโทษ เดินไปไหนใครเห็นต้องระแวงไว้ก่อน ไม่ต้องพกยาบ้าข้าไปหรอก แค่เอ็งเดินถือถุงขนมเดินไปไหน ตำรวจเจอเมื่อไรเป็นโดนค้นทั้งตัว”
 
        เจ้าสดจำคำพูดทั้งหมดได้แม่น เพราะมันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ขนาดเขาพากันเข้าไปเดินเล่นในห้างสรรพสินค้า ยามประจำห้างยังเดินตามห่าง ๆ ตั้งแต่เริ่มเข้าประตู และพูดวิทยุโต้ตอบกับยามคนอื่นตลอดเวลา เรียกได้ว่า ถ้าวันนั้นเขาบังเอิญทำอะไรในห้างตกแตก หรือหล่นลงพื้นเสียงดังให้ยามตกใจ ตำรวจคงแห่กันมาทั้งกรม
 
        ทั้งสองถอนใจออกมาอีกครั้ง ก่อนพากันมองไปตามทางเดินซึ่งเป็นซอยเล็ก ๆ ทะลุถนนใหญ่ด้านหน้าที่อยู่ห่างไปไม่ถึงครึ่งกิโล แต่สภาพแวดล้อมตรงนั้นต่างกับตรงนี้ราวฟ้ากับดิน จึงมีน้อยครั้ง ที่คนด้านนอกจะเดินหลงเข้ามาในกลุ่มบ้านเช่าซอมซ่อนี้ นอกจากเจ้าของบ้านจะเข้ามาเก็บค่าเช่าเดือนละครั้งเท่านั้นเอง
 
        เขตชานเมืองที่อยู่ห่างตลาดไม่มาก สองฝั่งถนนจะมีตึกแถวสลับกับบ้านเดี่ยวบนพื้นที่กว้าง เรียงสลับกันตลอดแนวจนพ้นเขตเมือง อาคารเหล่านั้น ในแต่ละห้องจะมีกิจการต่างกันไปตามความถนัดของเจ้าของอาคาร เช่น ขายเฟอร์นิเจอร์ ขายยา คลินิกโรคทั่วไป ขายก๋วยเตี๋ยว ข้าวขาหมู ข้าวหมูแดง ขายบะหมี่ ร้านซ่อมหม้อน้ำรถยนต์ ร้านจำหน่ายแบตเตอรี่ เหล่านี้เป็นต้น จึงทำให้มีรถราขวักไขว่ผ่านไปมาและเข้าออกตลอดวัน โดยเฉพาะร้านสะดวกซื้อซึ่งเป็นตึกห้าห้องติดกันนั้น จะมีคนเข้าออกพลุกพล่านตลอดเวลา
 
        ในทุกระยะร้อยเมตรหรือกว่านั้นเล็กน้อย ระหว่างตึกแถวแต่ละชุดริมสองฝั่งถนน จะมีซอยเล็ก ๆ เป็นทางสัญจรของคนอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งอาศัยอยู่ลึกเข้าไปจากแนวอาคารและบ้านเรือน บางซอยยาวไปถึงกลางนาและหมู่บ้านเล็ก ๆ ซึ่งตั้งอยู่กระจัดกระจาย บางซอยซอกซอนไปได้หลายแห่ง เชื่อมต่อกับถนนแคบ ๆ ที่ตัดกันไปมาคล้ายใยแมงมุม และออกไปได้ทั่วทิศ กระทั่งไปโผล่ในเมืองได้ก็มีหลายซอย
 
        มีกลุ่มบ้านเช่าชั้นเดียวยกพื้นสูงแค่เอวของสองหนุ่มเท่านั้นในละแวกนี้ ที่มีทางเข้าอยู่ข้างร้านสะดวกซื้อและเป็นทางตัน  ด้านหลังกลุ่มบ้านซอมซ่อห้าหกหลังนี้เป็นบึงบอนยาวสุดตา สองหนุ่มอาศัยอยู่หลังสุดท้ายติดบึง และเป็นหลังเดียวที่ยังมีคนเช่าอยู่คือเขาสองคน เนื่องจากสภาพบ้านแต่ละหลังนั้นทรุดโทรมจนคุ้มแดดคุ้มฝนได้ไม่ดีเท่าที่ควร คนอื่น ๆ จึงทยอยย้ายออกไป ทิ้งไว้เพียงกองขยะรอบบ้าน และของใช้ผุพังเกลื่อนพื้น เจ้าของเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเพราะขายที่ตรงนี้ก็ไม่มีราคา เนื่องจากทะลุออกไปไหนไม่ได้ อีกทั้งทางเข้าออกด้านหน้ายังแคบเกินไป
 
        “ค่อนเดือนเข้าไปแล้วไอ้สด ทำไมมันไวจังวะ ค่าเช่าสิ้นเดือนนี้ยังไม่มีสักบาทเลยเอ็ง”
 
        เจ้าชื่น วกเข้าเรื่องค่าเช่าบ้าน ซึ่งเกี่ยวโยงกับเรื่องเงินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และเป็นเรื่องสำคัญอันดับต้น เพราะถ้าไม่มีค่าเช่าให้เขา อาจต้องย้ายออกไปอยู่ที่อื่นกัน ถึงแม้บ้านชั้นเดียวที่นี่ ซึ่งมีแต่ทางเดินปลวกจะถล่มลงมาวันไหนยังไม่รู้ แต่ยังคงเป็นที่พักพิงได้อย่างดีของคนตกอับอย่างเขา อีกอย่าง ถึงถูกไล่ให้ย้ายออกเนื่องจากไม่มีค่าเช่าบ้านหลังนี้ ก็ต้องหาเงินไปวางมัดจำบ้านเช่าหลังใหม่อยู่ดี คิดไปคิดมาเจอแต่ทางตัน เจ้าสดจึงไม่พูดอะไร ได้แต่ถอนใจแล้วส่ายหน้าไปมา
 
        “ข้าละกลุ้มใจ งานสุจริตก็หายาก ขนาดคิดตื้น ๆ ว่าจะไปส่งยาก็ส่งไม่ได้  อย่างเรานี่ถ้าคิดปล้นใครก็คงไม่ได้เหมือนกันละมั้ง  แค่เดินใกล้ร้านทองนิดตำรวจก็คงแห่กันมาแล้ว ข้าไม่เข้าใจว่ะ ตั้งแต่เกิดมาฆ่ามดซักตัวยังไม่เคย ทำไมใครก็ว่าหน้าข้าเหมือนโจร” 
 
        เจ้าชื่นเอ่ยออกมาด้วยความขมขื่นใจ ส่วนเจ้าสดนั่งฟังแล้วนึกตาม ว่าเพื่อนรักมีนิสัยที่ขัดกับบุคลิกภายนอกจริง ๆ  มันไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่เคยรังแกสัตว์เล็กสัตว์น้อยแม้แต่ครั้งเดียว ซ้ำยังเป็นคนขี้สงสาร เวลาเห็นลูกแมวลูกหมาข้างทางมันก็แบ่งของในมือให้กินทุกที แถมยังจะเอากลับมาเลี้ยงบ้านหลายครั้ง ถ้าไม่ให้เหตุผลไปว่าเรายังแย่อยู่ และที่พักก็ยังไม่มีความมั่นคงแน่นอน ป่านนี้ในบ้านคงมีหมาแมวนับสิบตัว
 
        พอนึกถึงสัตว์เลี้ยงน่ารัก เจ้าสดก็นึกเลยไปถึงเด็กเล็ก ๆ น่ารักวัยกำลังซน เพราะเจ้าขนปุยเหล่านี้ มักเป็นเพื่อนเล่นกับเด็กหลาย ๆ คน เขาจึงเกิดความคิดอย่างหนึ่งขึ้นมา
 
        “จับเด็กเรียกค่าไถ่เหอะวะชื่น”
 
        เจ้าร่างหนาทำตาโตเมื่อได้ยินเพื่อนพูดอย่างนั้น ก่อนจะพูดเสียงแหบ ๆ กลับมา พร้อมกับใจเต้นโครม ๆ ๆ
 
        “จะบ้าเรอะไอ้สด เอ็งกับข้าแค่เดินเข้าใกล้เด็ก เด็กก็ร้องจ้าแล้ว”
 
        เจ้าสดหัวเราะเบา ๆ ให้กับท่าทางของเพื่อน ที่กลัวไปล่วงหน้าตั้งไกล ทั้งที่เป็นแค่คำพูดลอย ๆ เขาจึงยิ้มแล้วส่ายหน้าก่อนเอ่ยเสียงเรียบ ๆ ออกมา
  
        “มีคนหนึ่งเว้ย ที่ไม่เคยหนีเรา เจ้าต้นนั่นไง”
 
        จบคำเจ้าสด เจ้าชื่นจ้องตาโปนมองหน้าเพื่อน ก่อนเม้มปากหนานิ่ง ขณะนึกถึงเด็กชื่อต้นในใจ......
 

        ( มีต่อครับ )
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่