จะให้ภรรยาหายเครียด เรื่องรายได้ที่ลดลงเยอะยังไงดีครับ

ตามหัวข้อครับ ก่อนหน้านี้สิบปีที่ผ่านมา ครอบครัวผมมีรายได้ประมาณ เกือบแสนบาท/เดือน  โดยผมรับราชการได้รับประมาณเกือนละ 40,000 นอกนั้นแฟนมีรายได้จากการเปิดร้านขายของในห้าง หักทุน ได้กำไรประมาณ 60,000- 100,000 บาท
.
แต่อย่างที่รู้กันครับ โควิดมา ทุกอย่างพังทลาย  โชคยังดีที่ก่อนหน้าเจอเหตุการณ์ พวกผมลงทุนเปิดร้านอาหารตามสั่งไว้ก่อนแล้ว เลยทำให้มีกำไรจากส่วนนี้เดือนละประมาณ 10,000 - 20,000 บาท 
.
และตอนนี้ ร้านขายของในห้างผมได้หยุดกิจการไปแล้ว ดังนั้น เท่ากับพวกผมเหลือรายได้ประมาณ 60,000 บาทต่อเดือน ซึ่งยังไม่ได้รวมหักค่าผ่อนบ้าน
.
ถามผม แน่นอนครับ เราต้องพยายามผ่านช่วงนี้ให้ได้ก่อน อย่างน้อยก็พอมีกินมีใช้  
แต่แฟนผม ซึ่งเป็นคนชอบทำงาน รายได้เคยเยอะ แกเครียดมาก ยิ่งลูกยังเล็ก โรงเรียนหยุดบ่อย เลยทำให้ไม่มีเวลาหาอะไรใหม่ๆ ทำ ทำให้แกเครียดมากขึ้นไปใหญ่  อารมณ์ในบ้านก็โมโหง่ายๆ ไปทุกเรื่อง
ซึ่งผมก็พยายามปลอบตลอดว่า ดีแค่ไหนที่เรามีกินมีใช้  มีลูกน่ารัก ซึ่งหน้าที่เราก็คือเลี้ยงลูกให้ดี รอเศรษฐกิจหลังโควิดหาย เราค่อยหาอะไรที่มาลงทุนใหม่ๆ ละกัน  ประคับประคองไปก่อนเนาะ
.
แต่ผมอยากได้วิธีที่ทำให้แฟนผมผ่อนคลายมากกว่านี้ พอมีความเห็นบ้างไหมครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 41
ถือว่าเป็นการแชร์เรื่องราวจากฝั่งเราบ้างนะ เผื่อว่าภรรยาคุณได้อ่านจะรุ้สึกว่าเครียดไปก็เท่านั้น อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด
เราพึ่งซื้อบ้านได้ 1 ปี คิดว่าชีวิตกำลังไปได้สวย งานที่สามีทำถือว่าเป็นงานที่มั่นคงและรายได้ดีมากในระดับหนึ่ง เงินจ่ายค่าบ้านหรืออะไรทุกอย่างจะมาจากทางเขา

และแล้ววันที่ฟ้าผ่ามาถึง ที่ทำงานประกาศปลดพนักงาน จาก 400 กว่าคน ปลดเหลือ 80 คน มีแพลนปลดเรื่อยๆ ภายในหนึ่งปี notice จะมาว่าใครถูกปลดเป็นรายบุคคลอาจจะ 1 เดือนรึ 2 เดือน ทุกคนไม่รู้ล่วงหน้าว่าใครจะถูกปลด เรามองดูสามีเรากลับมาบ้านเครียดทุกวันเพราะ สิ่งแวดล้อมมันเครียด ทุกคนพูดถึงงาน ทุกคนกลัวที่จะโดนปลด ทุกคนรู้สึกไม่มั่นคง สามีทุกวันไปทำงานแบบไร้ชีวิตชีวา แต่ก็ต้องไปทำ

สามีและเราเครียดมาก เพราะอย่างที่บอก เราต้องจ่ายแบงค์และค่าบ้านอีกมาจากสามีล้วนๆ ถามว่าไปหางานที่อื่นได้ไหม ได้แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไรแถม เงินเดือนได้ลดน้อยลงกว่าเดิมแน่นอน สิ่งที่ต้องทำใจคือ ต้องปล่อยสิ่งที่หนักที่สุดออกไป ตัดสินใจแล้วว่าพวกเราไม่สามารถเก็บบ้านนี้เอาไว้ได้

ปัญหาไม่ได้มีแค่บ้านยังมีเรื่องลูกด้วย คนโต 10 กว่าขวบพึ่งย้ายโรงเรียนมากำลังมีปัญหาในการปรับตัวเข้ากับเพื่อน เข้ากับสถานที่ใหม่ ถ้าต้องย้ายอีกชีวิตเขาเหมือนต้องเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง คราวที่แล้วต้องปรึกษาจิตแพทย์ด้วยเรื่องนี้ ถ้าย้ายอีกแผลคงใหญ่ขึ้นกว่าเดิม ส่วนคนเล็กนั้นมีปัญหาเรื่องการพัฒนาเพราะเป็นเด็กที่คลอดก่อนกำหนด ต้องมีพี่เลี้ยงพิเศษ เข้ากับคนค่อยข้างยาก จะย้ายอนุบาลก็ต้องรอให้อนุบาลว่างก่อน เรื่องลูกเราก็มึนตึบ

พอพูดถึงการขายบ้านในสถานการณ์แบบนี้ยิ่งยาก ตลาดลงอย่างมาก แล้วบ้านที่อยู่ไม่ครบ 2 ปี ในประเทศที่เราอยู่จะต้องเสียภาษี เพราะเหมือนการซื้อมาเก็งกำไร

เรามองชีวิตเราแล้วมีแต่ลบกับลบกับลบ มันเครียดจนเสียศูนย์ไปเลย ด้วยลำพังเงินเดือนเราค่ากินใช้และค่าอนุบาลลูกก็หมดแล้ว ไม่ต้องทำอะไร

เราคุยกับสามีอีกครั้ง หมดเปลือก คิดถึงความน่าจะเป็นไปได้ว่าชีวิตควรทำยังไงต่อไป ถึงจุดที่ต้องปล่อยก็ต้องปล่อย ถ้าต้องเริ่ม 1 ใหม่ก็ต้องเริ่มใหม่

- ขายรถและขายหุ้นอันน้อยนิด เพื่อเอาเงินก้อนมาโป๊ะบ้าน ให้สามารถอยู่เลยไป 2 ปีก่อน เวลาขายจะได้ไม่ต้องเสียภาษีให้เป็นหนี้เพิ่มอีก และ เป็นการยื้อเวลาให้ลูกได้เรียนที่เดิมนานๆ
- ให้สามีตัดสินใจในการมองหางานใหม่ ซึ่งในสถานการณ์แบบนี้กว่าจะได้งานคงนานหรือรอผลจากที่ทำงานตรงนี้ ใจเขาก็ยังมีความหวังในการติด 80 คนสุดท้ายอยู่
- มองหาบ้านเช่าไปเรื่อยๆ ถ้าอยู่ในระแวกเดียวกันได้ก็ยิ่งดี อย่างน้อยจะได้หมดปัญหาการย้ายโรงเรียนและการปรับตัวของลูก
- ส่วนเรา เก็บของไปเรื่อยๆ เวลาย้ายบ้านก็จะไม่ลำบากมาก

มีช่วงแรงที่เราเครียดกันทั้งคู่ เวลาที่ลูกทำอะไรไม่ได้ดั่งใจก็จะเอ็ดเขาแรง เขาก็งง เราก็เสียใจ จนวันที่เราตัดสินใจได้ว่า เครียดไปก็เท่านั้น นอนไม่หลับ งานก็ต้องทำ ลูกก็ต้องเลี้ยงเหมือนเดิม ปลงซะ

เลยเลิกยึดติด จะไม่มีบ้านก็ไม่ต้องมีเช่าเอาก็ได้ พร้อมเมื่อไรก็ค่อยซื้ออีก
ขายรถลำบากหน่อยแต่เดี๋ยวจะซื้อแบบถูกๆมาใช้ อาจจะต้องซ่อมบ่อยๆไม่เป็นไร เมื่อก่อนยังใช้แบบนี้ได้เลย

คุณอาจจะต้องคุยกับภรรยาแบบจริงจังว่า ถ้าภรรยาทำตัวแบบนี้ความสัมพันธ์กับลูกอาจจะยิ่งยากขึ้น เงินทองหาใหม่ได้ แต่ถ้าความสัมพันธ์มันพังไปแล้วมันซ่อมให้เหมือนเดิมยากนะ ในสถานการณ์แบบนี้การอยู่นิ่งๆไม่ทำอะไรเลย ดีกว่าพยายามหารายได้แต่ขายไม่ออกอาจจะเจ็บตัวนะ
ความคิดเห็นที่ 6
สถานการณ์ คล้ายๆผมเลยครับ
ผมรับราชการเหมือนกัน
แฟนเปิดร้านขายของในห้าง
ตอนนี้ปิดมา 5 เดือน ปัจจุบันก็ยังไม่กล้าเปิดร้าน
ทั้งบ้านอยู่ได้เพราะผมคนเดียว แฟนไม่มีรายได้เลย
อยู่บ้าน ขายออนไลน์ ก็แทบไม่มีอะไร
แฟนผม เริ่มเกร็งๆ เครียด บางครั้งอยู่เฉยๆก็หยุดเดิน
บอกเส้นพลิก ช่วงนี้วันนึง เป็นหลายครั้ง

ก่อนโควิด นานๆ เป็นครั้งนึงเมื่อคืนคุยกันเรื่อง
หาเงินจากที่ไหนมาเปิดร้าน แฟนเกร็งเครียด ถึงขั้นนอนคว่ำไม่ได้เลย
ต้องเอายาหม่อง มานวด ผมก็หนักใจ
เพราะพึ่งซื้อบ้าน รถก็ยังผ่อน เงินเดือนๆนี้ ต้องถูกหักหนี้สหกรณ์อีก
มีอีกหลายๆอย่าง ผมว่าอาการผมหนักกว่า จขกท. เยอะ 55555
เป็นกำลังใจให้นะครับ เข้าใจเลย หัวอกเดียวกัน
ตอนนี้คงทำอะไรมากไม่ได้
นอกจาก  "ทำใจ"
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่