ชีวิตครอบครัวดูเหมือนสุขแต่ไม่สุข จะทำไงดี?

สวัสดีค่ะ เราอายุ 35 ปี แล้วนะคะ มีครอบครัวแล้วค่ะ มีลูกสาว 2 คน คนโตอายุ 11 ปี คนเล็ก 7 ขวบ ค่ะ
ครอบครัวตอนนี้มีบ้าน มีรถ แต่กำลังทรัพย์ลำบากอยู่ค่ะ เราคิดยังไงก็คิดไม่ออกว่าจะเอาไงดีกับชีวิตครอบครัวตอนนี้.....
อยากให้คนที่เคยผ่านจุดๆนี้ ช่วยเราหน่อยได้มั้ยคะ เราไม่รู้จะปรึกษาใครเลยค่ะ
ขอเล่าความสัมพันธ์ของเรากับสามี และครอบครัวก่อนนะคะ.....
เริ่มจากเราและสามีรู้จักกันมาตั้งแต่เด็กค่ะ เรา 8 ขวบ สามี 11 ขวบ ญาติของเราแต่งงานกันค่ะ เราสองคนเจอกันในวันแต่งงานของญาติเรา จึงทำให้รู้จักกันและเราก็เลยเป็นเหมือนลูกพี่ลูกน้องกัน เราเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ผอมๆ บ้านเราอยู่ต่างจังหวัดค่ะ อยู่ในตัวเมือง ส่วนบ้านสามีอยู่ต่างอำเภอ(ค่อนข้างยากจน) ขับรถจากบ้านเราไปประมาณ 20-30 นาที หลังจากงานแต่งญาติเราก้ไม่ได้เจอกันอีกเลยค่ะ

จนกระทั่งเราอายุ 14 ปี และสามีเราอายุ 17 ปี เค้าเข้ามาเรียน ปวช. และได้มาอาศัยอยู่บ้านเรา เค้าเป็นคนน่ารัก มีมารยาท มีความอดทน และขยันทำงานช่วยพ่อเราช่วงเช้า-เที่ยงก่อนไปเรียนหนังสือ (พ่อเรามีร้านรับเหมางานเหล็กทุกชนิด) และเค้ามีหน้าที่ขับมอเตอร์ไซไปส่งเราและน้องชายไปโรงเรียนตอนเช้า ก่อนที่เค้าจะไปขึ้นรถเมย์ไปโรงเรียนซึ่งอยู่ไกลจากตัวเมืองออกไปอีกค่ะ ส่วนเรามีหน้าที่ตามเค้ามากินข้าวเย็นค่ะ ที่ต้องตามเพราะเค้าจะชอบไปนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ร้านขายของชำข้างบ้าน เป็นแบบนั้นอยู่ 3 ปี

ระหว่างที่เค้าอยู่บ้านเรา เราสองคนไม่เคยใกล้กันเลย เค้าจะรักษาระยะห่างจากเราตลอด และเราก็รู้สึกไม่ชอบเค้าเลย เพราะเราเป็นคนค่อนข้างมีโลกส่วนตัวสูงพอมีคนอื่นมาอยู่ในบ้านก็รู้สึกอึดอัดเค้ารู้ค่ะว่าเราไม่ชอบเค้า แต่เค้าก็ดูแลเราตลอดเหมือนพี่ชายคนนึง

จนเราอยู่ ม.5 เรามีแฟน (พ่อ แม่ ไม่รู้ และพ่อเราดุมากให้รู้ไม่ได้) และเราก็อกหักตอน ม.6 จังหวะในตอนนั้นคือสามีเรารถชนเพราะรีบเอาของไปให้พ่อเราค่ะ ขาหักจึงต้องกลับไปพักอยู่บ้านที่ต่างอำเภอ เราก็โทรไปร้องไห้ฟูมฟายกับเค้า แล้วอยู่ๆเราก็เปลี่ยนเรื่องมาถามเค้าเรื่องที่เค้าบาดเจ็บ เค้าเลยหัวราะและบอกว่า "ไม่ต้องห่วงเค้าให้ห่วงตัวเองก่อน" ตอนนั้นเราก็ไม่ได้มีใจให้เค้าเลยนะแต่ก็แอบยิ้มได้

จนกระทั่งเค้าเรียนจบ ปวช. พ่อเราก็ขอให้เค้าย้ายออกไปอยู่ที่อื่นถ้าเค้าจะเรียนต่อ ปวส. ตอนนั้นเค้าคิดว่าเค้าจะไม่เรียนแล้วแต่เราบอกให้เค้าเรียน เค้าเลยตัดสินใจเรียนต่อและย้ายไปเช้าห้องเล็กๆห้องละ 700 บ. อยู่ และตอนนั้นเราใกล้จบ ม.6 สามีเราไปสารภาพกับแม่เราว่าเค้าชอบเรา และรักเรามาก และในวันวาเลนไทน์เค้าให้แม่เราไปเลือกดอกไม้ให้เรา 1 ช่อใหญ่ๆ จากน้ำพักน้ำแรงของเค้าที่ทำงานกับพ่อเรา(พ่อเราให้ตังค่าแรงจากทำงานช่วย) เราจะไม่รับรักได้ไงคะ เค้าบอกว่าชอบเราตั้งแต่แรกเจอตอนเล็กๆค่ะ เราเลยได้เป็นแฟนกันแต่พ่อไม่รู้ค่ะ เป็นแบบนั้นจนเราจบ ม.6 เราก็ได้โควตาไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยรัฐแถวปริมณฑล แต่เราสองคนก็ได้เจอกันทุกอาทิตย์ เพราะเรากลับบ้าน ตจว. ทุกอาทิตย์

จนวันนึงในวันที่เรากำลังรับน้องอยู่นั้น เราก็ได้รับโทรศัพท์ว่าพ่อกับแม่เราทะเลาะกันและพ่อทำร้ายแม่จนต้องเข้า รพ. (พ่อเราทะเลาะกับแม่บ่อยและชอบทำร้ายร่างกายแม่) และขึ้นโรงพัก ก็มีแต่สามีเราที่คอยดูแลแม่ให้ตลอด และไม่นานพ่อก็รู้ว่าเรากับสามีคบกัน พ่อเราอาระวาดใหญ่โตพาเราไปอาระวาดที่บ้านสามีต่อว่าพ่อ แม่ เค้า เราร้องไห้หนักมากและพ่อเราก็ขังเราไว้ไม่ให้เราไปเรียนต่อ เราเลยตัดสินใจหนีออกจากบ้านโดยการปีนลงมามาจากชั้น 2 และวิ่งเท้าเปล่าไปที่ห้องเช้าของสามี ที่แม่เราก็รอเราอยู่ที่นั่น เพราะถ้าแม่เรารอเราอยู่บ้านต้องโดนพ่อเราทำร้ายอีก เราลืมเล้าว่าน้องชายเราอายุห่างจากเรา 3 ปี และเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้น

หลังจากที่เราหนีออกมาแล้ว เรา แม่ และสามีก็ไปขออาศัยอยู่กับเพื่อนแม่ อยู่ที่จังหวัดเดียวกันในตัวเมืองนี่แหละ ส่วนแม่ไปทำงานโรงงานเย็บผ้า และเราก็ไปเรียนต่อ ส่วนสามีเราก็ไปฝึกงาน และอยู่กับแม่เรา เราก็จะมาหาทุกอาทิตย์เหมือนเดิม และเราก็ไม่ได้ติดต่อพ่ออีกเลย จนวันนึงเจ้าของโรงงานที่แม่ไปทำงานด้วยเค้ารับแม่บ้านไปทำงานที่บ้านเค้าที่กรุงเทพ แม่เราก็เลยมาทำเพราะจะได้อยู่ใกล้เรา และไม่นานสามีเราก็ได้มาทำงานอยู่แถวปริมณฑลใกล้ๆเรา เปลี่ยนงานอยู่ 2-3 งาน สุดท้ายได้เข้าไปทำงานเป็นช่างในมหาวิทยาลัยเอกชน ช่วงนั้นเราก็ติดเพื่อนมากๆ แต่ไม่ได้เกเรสำมะเรเทเมาอะไรเลย แค่ชอบอยู่กับเพื่อนๆ ไปเรียน ไปสัมเพ็งซื้อของมาทำงานส่งอาจารย์ สามีเราก็ส่งเงินให้ใช้ตลอดเป็นเงินไม่เยอะแต่ให้ตลอดถ้าเราขอ 

และเราก็พลาดท้องตอนอยู่ปี 2 เราไปตรวจที่ รพ. พร้อมสามีและแม่ หมอบอกว่าเราอายุยังน้อย ร่างกายไม่แข็งแรงป่วยบ่อย และเสี่ยงธารัสซีเมีย หมอบอกกับแม่เราว่าแล้วแต่แม่จะตัดสินใจ เราปรึกษากันแล้วจึงตัดสินใจเอาออก หลังจากที่เราทำแท้งแล้วเราร้องไห้อยู่แบบนั้นเป็นเดือนๆ ทุกวันนี้เราก็ไม่เคยลืมได้เลย สามีและแม่คอยปลอบเราตลอด กว่าเราจะมีสมาธิกลับมาตั้งใจเรียนได้ใช้เวลาเป็นเทอม เกรดตกมาก (เป็นบทเรียนให้น้องๆที่ได้อ่านเรื่องพี่นะคะ) 

จนกระทั่งเราเรียนจบ ป.ตรี เราย้ายไปอยู่ห้องเช้าราคาถูกกับสามี และเราตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าเราจะไปทำงานที่ต่างประเทศ เราดำเนินการเรื่องต่างๆ จนเรียบร้อย เหลือแค่บ้านที่เราจะไปอยู่ด้วยตอบรับ และเงินที่เราจะใช้ติดตัวไป ซึ่งเราได้ขอยืมเงินน้าไป (น้าเราทำงานทมี่ต่างประเทศ) เมื่อน้าเรากลับมาพักผ่อนที่ประเทศไทย สามีเราเป็นคนไปรับน้ากลับต่างจังหวัด น้าเราถามกับสามีเรื่องที่เราจะไปทำงานเพราะจะเอาเงินให้ สามีเราบอกว่าเราไม่ไปแล้ว (เรื่องนี้เราไม่เคยรู้เลย) เรานึกว่าน้าไม่ให้ตังเราแล้วและเราก็ไม่ได้ถามน้า เพราะเราเกรงใจมากๆ สุดท้ายเราเลยตัดใจและไปสมัครงานเป็นคอลเซ็นเตอร์ที่ DTac และหลังจากนั้นก็เปลี่ยนงานไปเรื่อยๆ จนได้ไปอยู่ที่พระราม 3 เป็นช่วงที่ระหองระแหงกับสามีมากๆ ทะเลาะกันบ่อยๆ ไม่ค่อยได้เจอกัน และเราก็ตั้งท้อง เราไปตรวจที่ รพ. เพื่อความแน่ใจ และโทรหาสามี เค้าพูดกับเราว่า "ไปท้องกับใครมา ให้ไปเอาออก แล้วมาเริ่มต้นกันใหม่ แต่ถ้าไม่เอาออกก็จบกันไป" เราร้องไห้อยู่หน้า รพ. และตัดสินใจ เก็บลูกไว้...
เราไม่มีกำลังแรง กำลังใจใดๆ ในการทำงานเลย เราเลยออกจากงานเพราะมีภาวะแท้งด้วย เรากลับไปบ้านที่ ตจว. พ่อเราก็ไม่ยอมรับให้เราไปเอาเด็กออก เราเลยดั้นด้นกลับมาหาแม่ ซึ่งแม่เราออกจากงานแม่บ้านมาทำงานที่บริษัทก่อสร้างและมีสามีใหม่ เราก็ขอมาอาศัยอยู่ด้วย

ที่พักเป็นแคมป์พักคนงาน ซึ่งห้องน้ำ และห้องอาบน้ำรวม เราก็อยู่แบบนั้นอยู่พักใหญ่ พอตั้งสติได้เราก็ไปหาน้าและขออาศัยอยู่กับน้าแถวสมุทรปราการค่ะ ในระหว่างนั้นเราก็ทำของไปขายนั่งสองแถวไปหน้าโรงงานตอนเช้า แล้วก็หางานเล็กๆน้อยทำ ตกเย็นก็ไปช่วยน้าขายของที่ตลาดนัด เราไปฝากครรภ์ที่ รพ.ราชวิถี (น้าเราแนะนำ) คลอดไม่แพงและคุณหมอดี พอวันหมอนัดเราก็ต้องนั่งสองแถวไปต่อรถเมย์ หาหมอเสร็จก็กลับถึงบ้านค่ำพอดี (บางครั้งแม่ก็หยุดงานไปด้วย) สามีไม่เคยโทรหาเราเลย จนวันที่เราคลอดลูก เราโทรบอกเค้า เค้าก็มาหาวันสุดท้ายที่เราอยู่ รพ. มาจ่ายตังให้ทั้งหมด และส่งเราขึ้นรถแท็กซี่กลับบ้านน้า จากนั้นเค้าก็มาเยี่ยมอีกครั้งพร้อมหัวหน้างานและเพื่อนๆเค้าที่เรารู้จัก จากนั้นก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย...
จนลูกเราได้ 7 เดือน เราก็ต้องกลับบ้านเพราะน้องเรามีปัญหา ช่วงนั้นเราเครียดมากๆ มากถึงมากที่สุด จนลูกเรา 1 ขวบ น้องเราก็ตัดสินใจจากเราไปในอ้อมกอดของเราและหลานอายุ 1 ขวบ พ่อเราได้แต่โทษแม่ และแม่เราก็ได้แต่โทษพ่อ สามีไม่ได้มาร่วมงานศพแต่ส่งเงินจำนวนหนึ่งมาช่วยงาน ซึ่งเรามีสภาพจิตใจที่บอบช้ำมากๆ เกินกว่าจะตั้งหลักไหว (รวมเวลาที่บอบช้ำนั้นราวๆ 2 ปีกว่า) จนลูกเราอายุ 1 ชวบ 6 เดือน เราได้งานธนาคารที่เมืองทองธานี เราก็ตัดสินใจโทรหาสามีถามถึงห้องที่เราเคยอยู่ ซึ่งเค้าบอกว่าเค้าจ่ายค่าเช่าห้องนั้นไว้ตลอดเวลาที่ผ่านมา แต่ตัวเค้าไม่เคยเข้าไปอยู่เลย เราพาแม่และลูกมาอยู่ที่นี่ได้สักพัก น้าเราก็ให้แม่พาหลานไปอยู่ด้วยที่สมุทราปราการ.....

เราอยู่คนเดียวที่ห้องนั้นผ่านเวลาไป 4 เดือน สามีโทรหาให้เราไปเอาแท็ปเล็ตเค้าซื้อไว้ให้เรา เราก็ งงๆ (ตอนนั้นเรามีสภาพจิตใจค่อนข้างดีขึ้นแล้ว เนื่องจากที่ทำงานนั้นมีเพื่อนๆ และพี่ๆ ที่น่ารักมากๆ) แต่ก็ไปเจอเค้า ตอนเห็นหน้าเค้านำ้ตาเราแทบจะไหลออกมา ใจเราเต้นรัวมากของอยู่ในรถยนต์ของเค้า เค้าบอกให้เรานั่งรอ (เวลา 2 ปีที่ไม่เจอกัน เค้าซื้อรถยนต์) เค้าไม่สบตาเราเลย เราเลยจับมือเค้าแล้วบอกว่า "เราไม่เป็นไรแล้ว เราสองตนก็ยังเป็นเหมือนพี่น้อง และเค้าก็ยังเป็นพ่อของลูกเรา" หลังจากนั้นเราก็ได้เจอกันบ่อยๆ จนกระทั่งกลับมาคบกัน เค้าจะไม่เคยอยู่วันเสาร์-อาทิตย์ หรือวันหยุดเลย ได้แต่บอกว่าไปทำงานที่ ตจว. แล้วเรามารู้ทีหลังว่าเค้าคบกับผู้หญิงคนนึงตั้งแต่ที่เค้าเลิกกับเราไป ตัวเค้าบอกกับเราว่าขอเวลาอีก 7 เดือน แล้วจะจบเรื่องราวทั้งหมด.... เราถึงขั้นนั่งลงไหว้เค้าให้เค้าปล่อยเราไป แต่เค้าก็ไม่ยอมได้แต่กอดเราไว้ เราอยู่แบบไม่มีความสุข แต่เราก็ต้องทำงานหาเงินเลี้ยงชีวิต และเราก็ท้องลูกคนที่ 2 หลังจากกลับมาคบกัน 2 ปี สามีให้เราออกจากงานที่เก่ามาทำที่มหาวิทยาลัยที่เค้าทำอยู่ตอนที่เราท้องได้ 4 เดือน สามีก็ยังคงไม่ค่อยดูแลเราแต่พาหาหมอตามนัด จนกระทั่งเราคลอด เค้าเปลี่ยนไปอย่างมาก เค้าเลิกทุกอย่างและเปลี่ยนชีวิตตัวเอง เราสนิทใจกันมากขึ้นและตัวติดกันตลอด ไปด้วยกันแทบทุกที่ ดูแลลูกและเราอย่างดี เราอ้วนขึ้นมากหลังจากมีลูกคนที่ 2 

และตอนนี้เราซื้อบ้านอยู่ด้วยกัน และเค้าให้เราพาแม่และสามีใหม่แม่มาอยู่ด้วยเพราะคุณตา (สามีใหม่แม่) มีหน้าที่ไปรับลูกเรากลับจากโรงเรียน คุณตาเป็นคนใจเย็นและใจดีทำงานที่เดียวกับเราและสามีแล้ว สามีเราทำงานหนักมากทำงานไม่เคยหยุดเลยแม้แต่ เสาร์-อาทิตย์ หรือเทศกาล แต่เค้าก็ไม่สามารถอยู่เฉยๆได้ เมื่อไรที่เค้าหยุดอยู่บ้านเค้าจะนอนอย่างเดียว หรือถ้านอนไม่หลับก็จะต้องพาออกข้างนอก แต่นานมากแล้วที่เค้าไม่เคยได้หยุดเลย

ชีวิตผ่านไปเหมือนดูมีความสุข แต่มันไม่ใช่เลย ตอนนี้เราซื้อบ้านอยู่ด้วยกันมา 3 ปีแล้ว ชีวิตคู่เริ่มมีปัญหาเค้าดูไม่มีความสุขเลย เค้าบอกว่าเราไม่โตสักที ไม่มีความรับผิดชอบซึ่งเรา งง มาก และเค้าจะบ่นอยู่แค่เราไม่โต ครอบครัวเราไม่รู้จักโต ไม่คิดจะทำอะไรช่วยเค้าเลย ซึ่งงานเราก็ทำ บ้านเราก็จ่ายครึ่งนึง และลูกเราก็ดูแล รวมถึงหน้าที่เมียเราก็ยังทำ ตอนนี้เราคุยกันน้อยลงเรื่อยๆ จนวันนี้แทบไม่ค่อยได้คุยกันเลย ไม่ได้นอนด้วยกัน เค้านอนข้างล่าง เรานอนห้องข้างบนกับลูก และมีอีกอย่าง คือ เค้าขอให้เราไปมีเซ็กส์กับคนอื่นให้เค้าดู หรือให้เรามีเซ็กส์ที่แปลกๆ ซึ่งเราไม่สามารถทำได้ จนวันนี้เราเห็นเค้าคุยโทรศัพท์กับเพื่อนเก่าสมัยเรียนเป็นครู (ผู้หญิง) และคุยนานมาก ซึ่งเค้าบอกเราว่ามันไม่มีอะไร เค้าวางแผนชีวิตให้เรากับลูกอยู่ เค้าบอกว่าวันนึงถ้าเค้าตายไป เรากับลูกจะอยู่ได้ยังไง  แต่เวลาที่เค้าไปสังสรรค์กับเพื่อรุ่นพี่ที่ทำงานด้วยกันเค้าก็ยังโทรตามให้เราไปกับเค้าและคนอื่นๆก็จะคิดว่าเรารักกันและมีความสุข...

เราได้รับเลื่อนขั้นในหน้าที่การงานแต่เงินเดือนไม่ขึ้น และตอนนี้เราเหงามากและมีปัญหาเยอะมาก ซึ่งเราไม่สามารถปรึกษาใครได้เลย และตั้งแต่แม่มีสามีใหม่ความสัมพันธืของเรากับแม่ก็ไม่เหมือนก่อน เราไม่สนิทกับแม่ และไม่สามารถปรึกษาอะไรได้เลย กับสามีก็ไม่เคยปรึกษาได้เลยเค้าไม่เคยรับฟังสิ่งที่เราพูด และไม่เคยโทรหาเราเลยในเวลาที่เราทำงานกลับดึกๆ หรือเราเดินทางไกลๆ เค้าไม่เคยโทรถามเลย เราทำอะไรให้ก็ไม่กิน เราทำห้องนอนให้เค้าเค้าก็ไม่นอนไปนอนห้องพระ เราทำอะไรไม่เคยดีในสายตาค่ะ บ่นเราทุกเรื่อง บางทีสามีไปกินเหล้าที่บ้านรุ่นพี่แล้วก็ขอนอนบ้านรุ่นพี่ (ไปนอนจริงๆค่ะ) รุ่นพี่บอกว่าเค้าบ่นเหนื่อยไม่ไหวขอนอนที่นั่นเลย

เราคิดอะไรไม่ออกเลยมีภาระบ้าน และลูกที่ต้องดูแล ซึ่งเราคนเดียวคงไม่ไหวแน่ๆ และเราก็ยังรักเค้า แต่เหมือนจะไปต่อไม่ไหวเหมือนจะเป็นซึมเศร้า เราต้องทำไงต่อไปดี เราจะเอาไงต่อดี?
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่