ระหว่างน้ำมันโซฮอล E20 กับ โซฮอล 95 น้ำมันตัวไหนถนอมเครื่องยนต์มากกว่ากันครับ

กระทู้คำถาม
เคยเห็นบางกระทู้บอกว่าน้ำมัน E20 ทำอัตราเร่งได้ดีกว่า สะอาดกว่า เลยอยากทราบว่าเป็นจริงดังว่าไหมครับ เพราะถ้าสะอาดกว่าก็น่าจะถนอมเครื่องยนต์มากกว่า ขอบคุณมากครับ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 17
ต่อ คำถามที่ว่า
"เคยเห็นบางกระทู้บอกว่าน้ำมัน E20 ทำอัตราเร่งได้ดีกว่า สะอาดกว่า เลยอยากทราบว่าเป็นจริงดังว่าไหมครับ เพราะถ้าสะอาดกว่าก็น่าจะถนอมเครื่องยนต์มากกว่า ขอบคุณมากครับ"

ผมก็กล่าวถึงเฉพาะรถยนต์รุ่นปัจจุบัน ที่ใช้ระบบหัวฉีดอีเลคทรอนิคส์  ควบคุมการจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงในลักษณะ closed loop คือ ใช้ O2 sensor  2 ตัว  โดยตัวแรกวางไว้หน้า catalytic converter ที่คอยทำหน้าที่วัดปริมาณ Oxygen ที่เหลือออกมา แล้วปรับจ่ายเพิ่มลดน้ำมันเชื้อเพลิงให้ได้สัดส่วน อากาศ:น้ำมันที่ลงตัว  ซึ่งก็คือ ได้ Oxygen Equivalent ratio ( O2 Eq R ) = 1.0   แล้ววาง oxygen sensor ตัวที่สองไว้หลัง Catalytic converter เพื่อปรับเทียบ ตรวจทานซ้ำ

ในรถกลุ่มนี้ จะใช้น้ำมันเชื้อเพลิงตัวไหนก็ตาม ไม่ว่าจะเป็น เบนซิน95  แกสโซฮอลล์95 ( E10 )  , E20  , E85   โปรแกรมของกล่องควบคุมหัวฉีด ก็จะสามารถสั่งปรับจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงให้เหมาะสมได้ ( สำหรับกรณีของ E85  มีข้อแม้แค่  1. ชิ้นส่วนที่เป็นยาง สามารถทนต่อ Ethanol เปอร์เซนต์สูงๆได้  และ 2. หัวฉีดต้องมีขนาดที่ใหญ่มากพอที่จะจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงจำนวนมากกว่าเดิมได้ ( จึงต้องเป็นรถที่ระบุว่า ใช้กับ E85 ได้ ) )

สิ่งที่ E20 ทำได้ดีกว่า E10  ได้แก่

1. การเผาไหม้สมบูรณ์กว่า มีปริมาณเขม่า และ Carbon monoxide ออกมาน้อยกว่า  ด้วยเหตุผลง่ายๆคือ Ethanol  เวลาที่เผาไหม้ที่ส่วนผสมอากาศ : เชื้อเพลิงที่ลงตัว  จะให้คาร์บอนไดออกไซด์  + ไอน้ำ  ไม่มีเขม่า ( unburned hydrocarbon )   ในขณะที่น้ำมันเบนซินแท้ๆนั้นประกอบด้วยพันธะคาร์บอนมากมาย และซับซ้อน รวมถึงยังมีพันธะรูปวงแหวน ( ring form ) พวกนี้จะให้เขม่า และ CO ( คาร์บอนมอนออกไซด์ ) ในสัดส่วนที่สูงกว่า เพราะถึงจะควบคุมการเผาไหม้ได้อย่างหมดจดกว่ารถยุคเก่าก็ตาม  แต่มันก็ไม่ใช่ว่าจะเป๊ะเว่อร์ตลอดเวลา  ในบางจังหวะที่เหยียบคันเร่ง บางครั้งส่วนผสมอาจจะไม่ได้ลงตัวเป๊ะ    แปลว่า ยิ่งมี Ethanol ผสมอยู่มากขึ้น การเผาไหม้ก็ย่อมจะสมบูรณ์และหมดจดมากขึ้น

2.  ถึงแม้ว่า ค่าพลังงานของ Ethanol ต่อ น้ำหนัก จะน้อยกว่า น้ำมันเบนซิน  แต่เนื่องจาก สัดส่วนที่เหมาะสมของ อากาศ:เชื้อเพลิง ของ Ethanol มีค่าต่ำกว่าน้ำมันเบนซิน  เมื่อระบบ closed loop ทำงานตรวจทานอย่างดี   เมื่อเทียบอากาศที่หนักเท่าๆกัน Ethanol จะถูกฉีดออกมามีน้ำหนักที่มากกว่า   และที่มันออกมามากกว่านี่แหละ มันจึงไปชดเชยเรื่องค่าพลังงานต่อน้ำหนักที่ด้อยกว่า   ผลสุดท้ายกลับกลายเป็นว่า E85 ในสัดส่วนอากาศต่อน้ำมันที่ลงตัว จะให้พลังงานสูงที่สุด รองลงมาคือ E20 ต่ำลงมาคือ E10 และต่ำที่สุดคือ น้ำมันเบนซินแท้ๆ

3. ในรถบางคันที่สามารถปรับค่าองศาการจุดระเบิดได้โดยใช้ Knock control และปรับแต่งค่ากลางไว้สำหรับ E20 ซึ่ง E20 บางค่ายเคยมีผู้ทดสอบไว้ว่ามีค่า Octane สูงถึง 98 RON  แต่เมื่อใช้น้ำมันที่ีมีค่า octane ต่ำลงมา  knock control จะสามารถสั่งลดองศาไฟจุดระเบิด ( retard ) ให้จุดระเบิดช้าลง   ข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งเกี่ยวกับ องศาไฟจุดระเบิดก็คือ ถ้าหากเราสามารถเพิ่มองศาไฟจุดระเบิด( advance )ให้สูงที่สุดได้ โดยที่ยังไม่เกิดอาการน้อค  เมื่อเทียบกับองศาไฟจุดระเบิดที่ต่ำลง  จะพบว่าองศาไฟจุดระเบิดที่สูงกว่า จะให้กำลังของเครื่องยนต์ได้มากกว่า

จากที่เคยหาข้อมูลเรื่อง อัตราส่วนผสมอากาศ:เชื้อเพลิง , ค่าพลังงานต่อหน่วยน้ำหนัก  และ ความหนาแน่น ( มวลต่อปริมาตร ) ของเชื้อเพลิง 3 ชนิด คือ E10 E20 และ E85 พบว่า

ที่ O2 Eq Ratio = 1  
E85 จะให้พลังงานมากกว่า E10 อยู่ที่ ประมาณ 8.3%  แต่จะใช้เชื้อเพลิงคิดเป็นหน่วยปริมาตรมากกว่า E10 อยู่ถึง 37.2 %
E20 จะให้พลังงานมากกว่า E10 อยู่ที่ ประมาณ 2.32 %  แต่จะใช้เชื้อเพลิงคิดเป็นหน่วยปริมาตรมากกว่า E10 อยู่ที่ 3.6 %

เทียบราคา กับ ปริมาตรน้ำมันที่ต้องใช้ในขณะที่ O2 Eq ratio= 1
ถ้าใช้ E10  1 ลิตร ( 32.70 บาท )
- จะใช้ E85 1.372 ลิตร  หรือ 33.87 บาท  
- จะใช้ E20 1.036 ลิตร หรือ 32.31 บาท

( เทียบกับราคาน้ำมันเชื้อเพลิงของบางจาก (ราคาในเขต กทม. และรวมภาษีบำรุงท้องถิ่น ลิตรละ 0.05 บาท )  ณ วันนี้
E85 ลิตรละ 24.69 บาท  , E20 ลิตรละ 31.19 บาท และ E10 ลิตรละ 32.70 บาท )


หากใช้ E20  จะต้องใช้น้ำมันคิดเป็น กม./ล มากขึ้น  แต่ค่าใช้จ่ายเป็น บาท/กม. จะน้อยกว่า E10
หากใช้ E85  นอกจากจะใช้น้ำมันคิดเป็น กม./ล ได้เปลืองที่สุดแล้ว  ค่าใช้จ่ายเป็นบาท/กม.ก็แพงทีสุดเช่นกัน   แต่ถ้าหากต้องการใช้รถเพื่อการแข่งขัน ปรับแต่งค่าองศาไฟจุดระเบิดให้สมกับ Octane ที่มากขึ้น  ท่านก็จะได้กำลังของเครื่องยนต์ทีสูงที่สุด เพราะได้ชดเชยค่าพลังงานที่มากที่สุดด้วยเช่นกัน


ส่วนคำถามสุดท้ายที่ว่า  "เพราะถ้าสะอาดกว่าก็น่าจะถนอมเครื่องยนต์มากกว่า ขอบคุณมากครับ"
ขออนุญาตตอบโดยการควบคุมปัจจัยต่างๆ เช่น นิสัยการขับขี่ การซ่อมบำรุงตามระยะทาง สภาพถนน โดยใช้คนคนเดียวกันเป็นผู้ขับ  

ก็จะตอบว่า E20 จะช่วยถนอมอายุของชิ้นส่วนเครื่องยนต์ได้ดีกว่า E10  

กล่าวคือ  ณ ปัจจุบันนี้ รถยนต์หลายยี่ห้อ หลายรุ่น ใช้หัวฉีดแบบฉีดตรง หรือ GDI ซึ่งปลายหัวฉีดจะอยู่ในห้องเผาไหม้ของเครื่องยนต์  เมื่อใช้ไปได้สักระยะหนึ่ง ก็จะเกิดปัญหาเรื่องคราบเขม่ามาเกาะสะสมที่บริเวณปลายของหัวฉีด  ทำให้เกิดปัญหาหัวฉีดจ่ายน้ำมันได้น้อยลง หรือ บางครั้งก็ปิดไม่สนิท ทำให้มีน้ำมันหยดรั่วมา   ( ยังไม่นับ หัวเทียน ซึ่งเมื่อผ่านการใช้งานไปได้ระยะหนึ่ง ก็จะเริ่มมีเขม่ามาสะสมที่บริเวณเขี้ยว ทำให้การปล่อยไฟฟ้าด้อยลงไป  )

การใช้น้ำมันเชื้อเพลิงที่มีปริมาณเขม่าน้อยลง หรือ ใช้สารชะล้างหัวฉีด ก็จะสามารถช่วยลดปัญหาเรื่องเขม่าสะสมที่ปลายหัวฉีดให้บรรเทาเบาบางลง หรือ ยืดอายุการใช้งานให้นานขึ้น อย่างน้อยก็ได้ระยะทางมากกว่าเดิม ก่อนที่จะต้องถอดหัวฉีดออกไปทำความสะอาดปลายหัวฉีด หรือ เข็มหัวฉีดใหม่

โดยรวมแล้ว ถึง E20 จะมีเขม่าที่น้อยลงกว่า E10  แต่ก็ใช่ว่าจะน้อยลงอย่างมากเหมือนกับ E85

เพราะ E20 ก็ยังเหลือน้ำมันเบนซินที่สร้างความสกปรกได้มากอีกถึง 80%   มองภาพรวมแล้ว มันก็คงจะช่วยให้ดีขึ้นบ้างแหละ  อาจจะช่วยยืดอายุการใช้งานได้บ้างแหละ  แต่ก็คงจะไม่ได้ยืดกันเป็นแสนกม.หรอกครับ

สุดท้ายก็อยากจะบอกว่า ทำไปเถอะครับ ถ้าเห็นว่ามันถูกต้องแม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่