แม่ให้เงินคนอื่นตลอด แต่กลับมาขอเงินเรา (ฟังเราบ่นหน่อยนะคะ เรื่องยาวหน่อย)

ไม่รู้จะถามอะไร แต่อยากบ่นมากกว่าค่ะ เพราะบ่นให้ใครฟังไม่ได้  ถ้าเพื่อนๆอ่านจบและมีคำแนะนำหรือกำลังใจ ขอขอบคุณมากนะคะ ที่ให้เวลาอันมีค่าของคุณ มาอ่านเรื่องของเรา  เรื่องที่เราจะบ่นมันยาวมากๆ ค่ะ เป็นเรื่องตั้งแต่เด็กจนถึงปัจจุบัน

เราเคยเข้าใจว่าบ้านเราฐานะปานกลางค่ะ จนวันนึงลุงใกล้ถูกฟ้องล้มละลาย แม่เราเป็นคนค้ำประกันหนี้บางส่วน ก็เลยมีหนี้ติดมาด้วยล้านกว่าบาท เมื่อ 20 ปีที่แล้ว หลังปีวิกฤตต้มยำกุ้ง 2-3 ปี ตอนนั้นเราน่าจะ 4 ขวบ เราไม่รู้ว่าหนี้อันนี้หายไปได้ยังไง เรารู้ว่าเหตุการณ์นี้เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้พ่อแม่เราหย่ากัน ตอนนั้นเราเด็กมาก อยู่อนุบาล แต่เราไม่เคยเสียใจเลยที่พ่อแม่เลิกกัน แม่เราอธิบายให้เราเข้าใจทุกอย่างว่าทำไม

ไม่นานต่อจากนั้นน่าจะ 3 ปี (เราป.1) น้า 1 (เรามีน้า 2 คน) ของเราก็มีทีท่าว่าจะถูกฟ้องล้มละลายเหมือนกัน ที่บ้าน ทุกคน ยาย ป้า น้า 2 และแม่เรา ก็ทำทุกอย่างให้น้า 1 ไม่เป็นแบบลุง เพราะตอนนั้นสถานการณ์ลุงแย่มากๆ เท่าที่รู้แม่เอาบ้านของยายที่ยายเคยพูดว่าจะให้แม่แต่ยังเป็นชื่อยาย ไปเข้าธนาคารเอาเงินไปใช้หนี้ให้น้า 1

พอเราโตหน่อย (ป.5) น้า 2 ทำธุรกิจ ไปไม่รอด แฟนน้า 2 แอบปลอมลายเซ็นยาย (สมบัติทั้งหมดยังเป็นชื่อยายอยู่ แต่ยายพูดชัดเจนว่าอะไรจะเป็นของใคร มีแค่บ้านที่แม่จะได้ โอนเป็นชื่อแม่เพราะต้องเอาไปเข้าธนาคารใช้หนี้ให้น้า 1 และแม่เราก็ผ่อนธนาคารคนเดียว) แม่เราก็กู้เงินมาใช้หนี้ให้  ด้วยการซื้อที่ดินแปลงนั้นคืน และคอยจุนเจืออีกเล็กๆ น้อยๆ น้าๆ มาตลอด

เราพยามเล่าความเลวร้ายนี้ตาม Timeline นะ

น้า 1 ก็ไปทำงานเป็นพนักงานบริษัทสักพัก ทุกอย่างก็ดูทรงๆ ไม่ดีไม่แย่ จนกระทั่งเรา ม.1 น้า 1 ออกมาทำงานเป็นผู้จัดการร้านอาหาร และแม่เราก็จ่ายค่าเทอมให้ลูกน้า 1 เรียน (เขาม.2 เรา ม.1) ตั้งแต่นั้นมาจนจบป.ตรี (ค่าเทอม มัธยม ประมาณเทอมละ 40,000 มหาลัย 10,000+) ช่วงที่พี่เราเรียน แม่เราก็เริ่มส่งเงินให้น้า 1 ใช้ด้วย 

มีครั้งหนึ่งเราน้อยใจแม่มากๆ แม่สัญญาว่าจะซื้อคอมใหม่ให้เรา แต่สุดท้ายแม่ต้องเอาเงินไปจ่ายค่าเทอมให้ลูกน้า 1 ตอนนั้นเราเก็บเงินได้เกือบ 1 หมื่น (เก็บจากค่าขนม + ญาติๆให้ตอนมีวันสำคัญ) แม่ก็ขอเงินเราไปไม่รู้ว่าเอาไปทำอะไร ลูกน้า 1 คือเรียนรร.เอกชนที่กรุงเทพ แต่เราเรียนรร.รัฐที่ ตจว เราเคยขอแม่ไปเรียนที่ม.ปลายที่กรุงเทพ แต่แม่บอกว่าส่งไม่ไหว (เราก็คิดมาตลอดว่าทำไมส่งลูกคนอื่นไหว ทำไมส่งเราไม่ได้)

ตั้งแต่วันนั้นเราเลยรู้ว่าถ้าเราอยากได้อะไรเราต้องเก็บเงินซื้อเองเท่านั้น ตอนนั้นก็คิดว่าแม่คงสอนเราอยู่ เราก็เลยเก็บเงินซื้อของที่อยากได้เองตั้งแต่ ม.1 ของชิ้นใหญ่ที่สุดที่แม่เราเคยซื้อให้คือ laptop กับทีวีในห้องนอน เราดีใจมากตอนนั้น (เข้ามหาลัยปี 1) 

ย้อนกลับไปนิดนึงช่วงเรา ม.5-6 ช่วงนั้นแม่กับยายเราป่วยหนักมาก หมดเงินรักษาไปเกือบล้าน ทีแรกแม่จะให้เราดูแลบัญชี แต่แม่บอกว่าเรายังไม่บรรลุนิติทำธุรกรรมต่างๆ ยาก เลยให้น้า 1 ดูแลบช เงินหายไปจาก บช หลักแสน แม่มาบ่นให้เราฟัง แต่ก็ไม่ได้ทวงถามอะไรกับน้า แม่บอกว่าถือว่าเป็นค่าดูแลแม่กับยาย เราแบบเห้ยได้หรอวะ ครอบครัวเดียวกันจะมาเอาเงินไปใช้ไม่บอก แล้วมาคิดเป็นค่าดูแลได้หรอ (ในมุมมองของเราครอบครัวเดียวกันดูแลกันตอนเจ็บป่วยก็ไม่ควรคิดเป็นเงินอยู่แล้วไหม) ซึ่งก่อนหน้าแม่ป่วย แม่ให้เงินเรามาก้อนใหญ่ 100,000 บาท บอกว่าเก็บไว้ใช้เตรียมเข้ามหาลัย หรือถ้าอยากได้อะไรก็ให้ซื้อ แต่ต้องมาขออนุญาตแม่ก่อนถ้าจะซื้ออะไรที่แพงมากๆ เราไปซื้อสลากออมสินไว้ 30,000 บาท ที่เหลือก็เก็บไว้  จริงๆตอนนั้นเราคิดว่าจะซื้อ Laptop แต่ก็ไม่ได้ซื้อ เพราะคิดว่าอดทนรอซื้อตอนเข้ามหาลัยดีกว่า จำได้ไหมที่บอกว่า ตอนม.1 แม่จะซื้อคอมใหม่ให้เราแต่เอาเงินไปจ่ายค่าเทอมให้ลูกน้าแทน จนเราม.5 ก็ยังไม่ได้ซื้อ เราทนใช้คอมที่ซื้อมาตั้งแต่ ป.2 ซึ่งเป็นเงินประกันชีวิตที่พ่อเราเสีย (ส่วนใหญ่ใช้พิมพ์งานทำการบ้าน เพราะมี iPad ไว้เล่นอินเตอร์เน็ตอยู่แล้ว และแน่นอนว่าเก็บเงินซื้อเองตอนม.3-4 จริงๆ เราลังเลระหว่าง laptop กับ iPad 2 แต่แม่เราให้ซื้อ iPad เพราะมีคอมใช้อยู่)  

และแม่เราขอเงิน 100,000 คืนค่ะ เราเสียใจมาก แต่จำไม่ได้ว่าขอคืนไปทำอะไร

อ่านถึงตรงนี้ คนอ่านคงเข้าใจว่าแม่เรามีเงิน ไม่ใช่ค่ะ เราก็เพิ่งมารู้ตอนโต ว่าเงินที่ใช้ๆมาคือแม่เรากู้ๆมา พอเป็นหนี้เสียครั้งแรก แน่นอนว่าหมุนเงินไม่ทันก็ต้องกู้ต่อมาเรื่อย + ต้องคอยจุนเสียคนอื่นมาเรื่อยๆ หนี้เลยพอกพูน 

ก่อนยายเราเสียแปบนึง น้า 1 เอาที่ดินสมบัติไปกู้เงินนอกธนาคาร (เราไม่แน่ใจว่าเรียกว่านอกระบบรึป่าว) ยายเราเสียใจมาก ยายเลยขอร้องให้ญาติห่างๆ มาซื้อที่แปลงนี้ไว้ ให้เป็นชื่อเขาไว้ ไม่อยากให้เป็นชื่อคนอื่น แต่คนเดินเรื่องทุกอย่างคือแม่เรา ซึ่งเราก็ต้องติดตามแม่ไปทุกที่ ขับรถให้ จูงมือเดิน (ย้อนไปตอน ม.5 ที่เราบอกว่าแม่ป่วย แม่เราเป็นอัมพฤกษ์ค่ะ เส้นเลือดในสมองตีบ เลยขับรถและเดินไม่ค่อยแข็งเหมือนเดิม) ตอนวันไปคุยกับเจ้าหนี้ เราอายมาก เพราะเจ้าหนี้เป็นพ่อแม่ของนักเรียนเรา คือเรารับสอนพิเศษค่ะ (ไม่ได้ส่งเสียตัวเองเรียนนะคะ สอนพิเศษ เพื่อหาเงินไว้ใช้ซื้อของที่อยากได้ค่ะ ตอนนั้นเก็บเงินไปเที่ยวต่างประเทศครั้งแรกค่ะ)  ตัดภาพไปที่คนก่อหนี้ ไม่ได้มาด้วย ไม่ได้แก้ปัญหา หรือเผชิญหน้าอะไรเลย เราจำความเสียใจในวันนั้นได้ดีจนวันนี้ค่ะ 

จนปี 2 ยายเราก็เสีย เราเคว้งมากตอนนั้น แม่ น้า 1 น้า 2 ก็แบ่งสมบัติกัน (ถ้าสงสัยว่าป้ากับลุงเราหายไปไหน เขาเป็นลูกติดคุณตาค่ะ ในทางปฏิบัติก็เหมือนเป็นคนละบ้านที่มานับญาติกัน) เงินได้เท่ากัน แต่ทรัพย์สิน แม่เราได้เยอะที่สุด น้าๆ ก็บอกว่าไม่แฟร์ (คือถ้าคิดเป็นขนาด (size) แม่เราได้น้อยสุด แต่ถ้าแปลงเป็นเงินมันก็มากกว่าของน้าๆ เช่น ที่ดินในย่านที่ขายได้แพงกว่าของน้าๆ ประมาณนั้น) เอาจริงๆ เราก็ติดใจเรื่องนี้เหมือนกัน เราอยากให้ทุกคนได้เท่ากันทั้งหมด เพราะเราไม่อยากฟังเขาบ่น เพราะเขาต้องหยิบมาพูดเรื่อยๆแน่ 

ขอแทรกเรื่องลูกบุญธรรมยายค่ะ ลูกของน้า 2 ยายเรารับมาเป็นลูกบุญธรรมค่ะ ไม่เคยถามเหมือนกันว่าทำไมถึงรับมา แต่ช่วงเรา ม.4 เราไปรู้ความลับเขาค่ะ คือพี่เขาแอบเปลี่ยนชื่อ-นามสกุล แล้วไม่บอกยาย เราเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นปี (ไม่มีใครรู้ว่าเรารู้) สุดท้ายเราโกรธเขาเรื่องอะไรจำไม่ได้ค่ะ เราเลยบอกเรื่องนี้ให้แม่รู้ พี่เขายังไม่บรรลุนิติภาวะ = ต้องปลอมลายเซ็นยายเพื่อเปลี่ยนชื่อ (เราไม่แน่ในข้อนี้ แต่ตอนนั้นแม่เราบอกแบบนี้) จำเรื่องที่แฟนน้า 2 ปลอมลายเซ็นยายเอาที่ดินไปกู้ธนาคารไหมคะ เขาคือแม่ของลูกบุญธรรมยายค่ะ เลยเป็นเรื่องใหญ่ เพราะเท่ากับว่าปลอมลายเซ็นยายอีกแล้ว และปลอมอีกครั้งเพราะเอาที่ดินเข้าธนาคาร (รวม 3 ครั้ง) ซึ่งแฟนน้า 2 และลูกบุญธรรมยาย บอกว่า พี่ลูกบุญธรรมเป็นคนปลอมค่ะ ตอนนั้นแม่เครียดมาก จะฟ้องหรือทำอะไรก็ไม่ได้ เพราะไม่ได้อยากฟ้องพี่เขา แต่อยากฟ้องแม่แท้ๆ ของเขา  สรุปเลยตัดออกจากกองมรดกแทนค่ะ คือจะไม่ได้เงินหรือทรัพย์สินอะไรในฐานะลูกบุญธรรม แต่จะได้ในฐานะหลานค่ะ ปากเขาก็บอกว่าโอเค แต่ลับหลังเขาก็ด่าแม่เราค่ะ ว่าบงการต่างๆ (เราแอบได้ยินอีกแล้ว เราจะแอบรู้ความลับอะไรแบบนี้บ่อยๆ ค่ะ)

ในใจเราคืออยากให้แบ่งสมบัติให้เท่ากันไปเลย หมายถึง ลูกและหลาน หารทุกคนเท่ากันไปเลย จบๆ มี แม่ เรา น้า 1 ลูกน้า 1 น้า 2 ลูกน้า 2 ลูกน้า 2 (มีลูกที่ยังมีชีวิตอยู่ 2 คน) คือเราโอเคที่จะได้น้อยกว่า เพราะเรารำคาญ แต่สุดท้ายแบ่งเป็น 3 บ้าน หารเงินเท่ากันค่ะ แต่ทรัพย์สินแบ่งตามที่บอกข้างต้น 

พอยายเราเสียก็ทะเลาะกันเรื่องสมบัติสักพักใหญ่ๆค่ะ ประมาณ 5-6 เดือน เรากับแม่ต้องไปเช่าโรงแรมนอน นอนที่ทำงานแม่บ้าง บ้านญาติคนอื่นบ้าง เพราะกลัวหลับแล้วจะถูกฆาตกรรม 

เราตอนนั้นคือจิตใจล่องลอยมากค่ะ แต่แสดงความอ่อนแอให้แม่เห็นไม่ได้ เราโดนเรียนไปนั่งเฉยๆที่ห้องสมุด บ่อยมากค่ะ เกรดตกไป .4 หนังสือไม่อ่านไปสอบค่ะ คือเคว้งมาก ยายเสียไม่พอต้องมาระแวงญาติพี่น้องอีก 

จนสุดท้ายแม่ก็ใจแข็งเข้าไปอยู่ในบ้าน เพราะถ้าหนีออกมาก็กลัวบ้านจะถูกยึดครองโดยคนอื่นไป (ในบ้านอยู่กันกับน้า 1 และแฟนใหม่ของน้าค่ะ) 

พอยายเสียแม่เราก็เริ่มไม่สนใจน้าๆค่ะ เขาขอเงินแม่ก็เริ่มไม่ให้ จากที่แต่ก่อนต้องให้ตลอด เพราะเป็นพี่คนโต ค่าเทอมมหาลัยเทอมสุดท้ายลูกน้า 1 แม่ก็ไม่จ่ายค่ะ (แม่เราจ่ายค่าเทอมให้ลูกน้า 1 ตั้งแต่เขา ม.2) วันนั้นความจริงเปิดเผยค่ะ ว่าน้า 1 ขอค่าเทอมลูกทั้งจากแม่ และจากคนอื่นๆค่ะ บางเทอมมีคนจ่ายให้มากกว่า 1 คนค่ะ 

แต่แม่เราก็ยังให้เงินน้า 1 บ้างค่ะ ทีละหลักพันบ้าง มีครั้งนึงให้ เกือบแสนค่ะ แล้วอ้างว่าเป็นเงินเพื่อน แม่เล่นละคร เอาเพื่อนแม่มาทำสัญญากับน้าว่าต้องผ่อนคืนแต่ละเดือน สรุปคืนแค่เดือนแรกค่ะ เงินนี้ก็ละลายไปอีก เรามารู้ 1 ปี หลังจากวันนั้นว่าแม่เล่นละคร เพราะเราสงสัยว่ามันไม่เป็นอะไรหรอที่ไม่คืนเงินเพื่อนแม่ ถ้าเงินแม่ก็ว่าไปอย่างเพราะเขาไม่เคยคืนอยู่แล้ว แม่เลยบอกว่าก็มันเป็นเงินแม่ไง เราแบบ ….

สถานการณ์ก็เป็นแบบนี้มาเรื่อยๆ ค่ะ จนถึงปัจจุบัน คือแม่เราก็คอยจุนเจือน้า 1 น้า 2 ตลอด แต่น้า 2 ก็คืนบ้าง ยอมให้แม่เราใส่ชื่อในที่ดินเขาบ้าง (ใส่ชื่อเฉยๆ แต่ตกลงกันว่าห้ามขาย เท่ากับว่าแม่เราไม่ได้อะไร) 

**ต่อไปเราจะเล่าเรื่องของเราบ้างนะคะ**

เราเป็นเด็กดีค่ะ ไม่ค่อยมีเรื่องใหญ่ให้แม่ปวดหัว ยายเราเลี้ยงเรามาดีมาก แม่เราไม่ค่อยไม่เลี้ยงเราค่ะ เพราะบ้างาน เราใช้คำนี้ เพราะแม่ทำงานประจำ เพื่อนร่วมงานแม่ยังทำงานเลิกงานปกติ แต่แม่เราเลิกค่ำและเอางานมาทำที่บ้าน 

แม่ให้ทำอะไรก็ทำ ไม่ให้ทำอะไรเราก็ไม่ทำ เราอยากไปเรียนม.ปลายที่กทมมาก แต่ก็ไม่ให้ไป เราเลยเรียนที่บ้านเกิดตลอดจนมหาลัยเราก็เรียนที่ม.แถวบ้าน ขับรถไป-กลับ (คนมองว่าชีวติดีมีรถใช้ มุมเราคือต้องตื่นแต่เช้าไปส่งแม่ที่ทำงานแล้วรีบไปเรียน ไปสายก็บ่อย เรียนเสร็จก็ต้องคอยรอรับแม่กลับบ้าน)  ปีที่เราแอดลุงตู่เข้าพอดี เลื่อนสอบต่างๆ ออกไป เราเลยไม่ได้ไปสอบเลย เพราะรู้ว่าถ้าแอดติดที่ที่อยากเรียน แม่ก็ไม่ไห้ไป เราเองก็ไม่กล้าไป เพราะแม่เราป่วยช่วยเหลือตัวเองไม่ได้มาก และยายเราเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย เพราะถ้าไปคงไม่มีใครดูแลยายและแม่ 

** ย้อนกลับไปตอน ม.5 เทอม 1 (สาเหตุที่แม่เราให้น้าดูแล บัญชีเงินของแม่ ) ยายเราเข้ารพ. ค่ะ นอนมาเดือนกว่า วันนึงแม่เราก็เป็นเส้นเลือดในสมองตีบค่ะ เดินไม่ได้ปากเบี้ยว เขียนหนังสือไม่ได้ ช่วงนั้นเราสอบเสร็จพอดี ชีวิตปกติคือนอนเฝ้ายายค่ะ กลางวันมาเรียน แม่จ้างญาติห่างๆ มาเฝ้าแทน แม่ต้อง Admit เราช็อคมากตอนนั้นเราไม่รู้ต้องทำยังไง แม่กับยายเข้ารพ.พร้อมกัน เรานั่งเฝ้าแม่จนเช้าและโทรบอกยายว่านอนเฝ้าแม่ที่ทำงาน เพราะแม่บอกว่าห้ามบอกยายและเอาบัตร ATM กับกุญแจรถให้เรา (เราหัดขับรถตั้งแต่ ม.4 ค่ะ เพราะแม่เราเคยล้มเดินไม่ได้ช่วงนั้น ต้องจ้างคนขับรถ เราเลยอยากขับเป็น) เราดีลทุกอย่างเองอยู่ 3-4 วัน กว่าน้าเราจะโผล่มา เราไปนอนกับยายเหมือนปกติ และวานญาติให้มานอนเฝ้าแม่เรา ตื่นมาบอกยายว่าจะไปรร. แต่จริงๆมานอนเฝ้าแม่ และบอกยายว่าแม่ต้องไปประชุมด่วนที่ ตวจ. แม่หายไปจากหน้ายายอยู่เกือบอาทิตย์ค่ะ ก่อนจะตัดสินใจบอกว่าเข้ารพ. เพราะตอนนั้นก็ 50/50 ถ้าแม่ไม่รอด ก็กลัวอยากช็อคเป็นอะไรตามไป พอแม่ดีขึ้นหน่อย ก็ให้น้า 1 มาดูแลทุกอย่างค่ะ ความรู้สึกของเราตอนนั้นคือ ฉันต่อสู้มาคนเดียว 3-4 วัน พวกคุณไปอยู่ไหนมา

คือช่วงก่อน ม.4-6 น้า 1 ไปๆมาๆ กทมกับบ้านเรา เพราะลูกเขายังเรียนมัธยมที่กทมอยู่ และมาดูยายบ้าง ตอนนั้นน้าทำงานเป็นนายหน้า เลยมีเวลา  แต่ยายป่วยก็ไม่ได้มาเฝ้านะ (ซึ่งเงินก็ไม่ได้ดี เพราะแม่เราให้เงินอยู่บ่อยและส่งเสียลูกเขาด้วย)  ตอนเขากลับมาบ้านทีไร เรารู้สึกเหมือนเราเป็นคนใช้เขาเลย เราต้องคอยเก็บจานล้างจานทำความสะอาดบ้านให้เขา บางทีกินเสร็จ 4-5 ทุ่ม เราไม่มีเวลาทำการบ้านเลย ถ้าสงสัยว่ากินไรนักหนา ใช่ค่ะ วงเหล้า เกรดเราก็ตก แม่ก็ด่าเรา เราเลยบอกว่าให้ส่งให้เราไปเป็นคนใช้เขาเรื่อยๆสิ แม่เราถึงไปบอกให้เขาทำเอง ซึ่งมันก็ดีอยู่ได้อาทิตย์เดียว แล้วก็วนอยู่แบบนั้น
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่