สำหรับเพื่อนๆที่อยากดูแบบเต็มๆไม่มีโลโก้เกะกะเชิญที่เว็บไซต์ส่วนตัวผมได้เลยครับ
https://www.nopeopletravelphoto.com/
ตอนนี้เป็นตอนสุดท้ายแล้วนะครับ ใครยังไม่ได้ดูตอน 1 - 3 เชิญตามลิงค์ด้านล่างได้เลย
ตอน 1 -
https://www.nopeopletravelphoto.com/post/pacific_coast_highway_2021
ตอน 2 -
https://www.nopeopletravelphoto.com//post/death_valley_2021
ตอน 3 -
https://www.nopeopletravelphoto.com/post/las_vegas_page_arizona_2021
เดือนที่เดินทาง - พฤศจิกายน 2021
เห็น Antelope Canyon มาแล้วในตอนที่ 3 ถ้าเริ่มเครื่องติดตามมาอ่านตอนที่ 4 ต่อกันเลยที่ Monument Valley และ Grand Canyon สถานที่ที่เต็มไปด้วยความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติและล้ำค่าทางวัฒนธรรมของชนพื้นเมืองนาวาโฮ เป็นประสบการณ์ล้ำค่าที่บางอย่างอาจไม่สามารถอธิบายด้วยภาพถ่ายได้
ทริปนี้เราใช้เวลาทั้งหมดไม่รวมนั่งเครื่องบินที่ 15 วัน 14 คืน และตอนที่ 4 นี้เป็นช่วงวันที่ 10 - 15 ตามนี้ครับผม
วันที่ 10 ครึ่งบ่าย: Monument Valley
วันที่ 11: Monument Valley อีกวัน
วันที่ 12: Monument Valley อีกครึ่งวัน + Grand Canyon ครึ่งบ่าย
วันที่ 13: Grand Canyon ต่อไป
วันที่ 14: Grand Canyon อีกนิด + ขับรถไป Phoenix
วันที่ 15: กลับบ้านมาทำงานใช้กรรม
Monument Valley
เรามาถึงที่ Monument Valley หลังจากเที่ยวที่เมือง Page ในรัฐ Arizona กันมาก่อนหน้านี้ การขับรถเส้นทางนี้ง่ายมากเป็นทางตรงแทบตลอดทาง เราจะใช้เวลาที่นี่ 2 คืนด้วยกันเอาแบบให้เต็มที่ปิดจ๊อบกันไปเลย ส่วนที่พักที่ปกติจะไม่ค่อยพูดถึงแต่ครั้งนี้ไม่ได้จริงๆ เราพักที่โรงแรม The View ที่ตั้งอยู่ตรงทางเข้าอุทยานเลยและทุกห้องพักมีวิวระดับเทพเจ้า มุมมหาชน มุมที่ทุกคนรอคอย
อุทยานแห่งนี้ตั้งอยู่ในเขตปกครองตนเองของชนเผ่านาวาโฮ (Navajo) ชนเผ่าพื้นเมืองที่อาศัยอยู่ที่ตรงนี้มาก่อนที่ฝรั่งจะเข้ามาถึงทวีปอเมริกา ทุกคนจะต้องซื้อบัตรเข้าอุทยานก่อนถึงจะเข้าไปชมด้านในได้ แต่ถ้าใครแค่ผ่านมาก็สามารถมาจอดที่โรงแรม The View เพื่อถ่ายภาพมุมนี้ได้เลย
อีกอย่างคือถ้าใครต้องการจะนั่งรถชมด้านในหุบเขาแบบเจาะลึกควรจะจ้างไกด์ท้องถิ่นเพราะว่ารถคนนอกไม่สามารถเข้าได้บางจุดเพราะเป็นที่อยู่อาศัยของเค้าจริงๆและถนนมันขับเองไม่ได้หรอก นั่งเบาะหลังยังกรีดร้องกับความชัน อีกอยากคือไกด์เค้าสามารถแชร์ประสบการณ์ชีวิตของชนเผ่าพื้นเมืองให้ฟังได้ด้วย เป็นเรื่องราวที่ทั้งน่าสนใจและงดงามจริงๆ การหาไกด์ก็ทำได้โดยการของเบอร์หรืออีเมล์ติดต่อจากล็อบบี้โรงแรมได้เลย
สำหรับคณะเราแล้วมาถึงตรงนี้เวลาพระอาทิตย์ตกพอดีรีบเช็คอินแล้วพุ่งไปที่จุดชมวิวตรงร้านอาหารอย่างไว วันนี้มากับดวงมากๆเพราะท้องฟ้าเป็นใจได้เมฆสวยๆเป็นที่ระลึก ข้าวเย็นวันนี้เราก็เตรียมอาหารเหลือจากวันก่อนไว้เรียบร้อยไม่ต้องออกไปหากินเพราะโรงแรมไม่เปิดร้านอาหารในช่วงโควิด
และไหนๆก็จ่ายเงินแพงมานอนโรงแรม The View แล้วต้องจัดให้เต็มตื่นขึ้นมาตอนเช้ามืดกะออกไปถ่ายภาพกับดาวซะหน่อย ปรากฎว่าช่วงนี้พระจันทร์เต็มดวงเลยมีดาวน้อยหน่อย ถ่ายแบบนี้ใบละ 30 วินาทีถ่ายติดกันแบบโหมด continuous เป็นเวลาประมาณครึ่งชั่วโมงแล้วเอามาต่อกันใน Photoshop ตั้งกล้องทิ้งไว้เลยแล้วกลับมานอนในห้องอุ่นๆ
พอตื่นกันแล้วก็แต่งตัวและออกไปขับรถเล่นใน Monument Valley กันเลยตั้งแต่ถนนเปิดตอนเจ็ดโมงเช้า ก่อนเข้าอย่าลืมซื้อบัตรค่าเข้าจากทางเข้าอุทยานก่อน ตำรวจแถวนี้เค้าเข้มจริง การขับก็จะวนเป็นลูปถนนเป็นดินลูกรังตลอดทาง รถเล็กขับได้แต่ไม่ควรขับเร็ว ที่ตรงนี้ไม่มีสัญญาณอินเตอร์เน็ตเลยแม้แต่น้อยเพราะฉะนั้นควรโหลดแผนที่ออฟไลน์มาจากโรงแรมนะครับ
ระหว่างทางก็จะมีป้ายบอกว่าหินแต่ละก้อนชื่ออะไรกัน ดูแล้วก็คล้ายๆคนไทยที่ตั้งชื่อแปลกให้หินตามรูปร่าง เช่นหินสามพี่น้อง (Three Sisters) หินนิวโป้ง (The Thumb) แสงยามเช้าสีส้มส่งมาที่หินทำให้เป็นสีส้มแป๊ดเข้าไปใหญ่
ตลอดเส้นทางก็จะมีจุดชมวิวมุมสูงอยู่ 2 ที่ ตรงนี้คือ Artist's Point มองออกไปก็จะเห็นหินตั้งตระหง่านอยู่มากมาย ถ้ามองจากภาพอาจจะไม่เห็นถึงความใหญ่ผมเลยพยายามให้ในภาพมีสิ่งปลูกสร้างจากคนอยู่ด้วยเช่นบ้านที่อยู่ตรงฐาน หรือรถที่ขับอยู่ตรงตีนเขา ไม่คิดเลยว่าโลกเราจะมีอะไรแบบนี้อยู่ด้วย
จุดชมวิวอีกที่คือ John Ford Point ตรงนี้มีบริการของคนแถวนี้ที่เอาม้าขี่ออกไปให้คนขึ้นไปนั่งถ่ายภาพเหมือนอยู่ในหนังคาวบอย ค่าบริการไม่แพง
จุดที่ควรตั้งใจเฝ้าสอดส่องเวลามาที่นี่คือ foreground ล้ำค่าอย่างต้นไม้แห้งๆที่ขึ้นอยู่ทั่วไป ยิ่งท้องฟ้าโล่งโจ้งแบบนี้ช่วยทำให้ภาพไม่ว่างเปล่าเกินไป
ขับรถประมาณครึ่งชั่วโมงก็จะวนครบลูปแล้ว กลับไปที่โรงแรมรับอาหารเช้าจากร้านขายของที่ระลึกได้ นี่คือความสุดของโรงแรมเค้าอยู่ตรงไหนก็เห็นวิวนี้
Photography Tour - Backcountry
ส่วนบ่ายวันนี้เราก็จองไกด์เอาไว้ เค้าโฆษณาว่าเป็น Photography tour จะพาไปดูจุดถ่ายภาพตามที่ต่างๆ มีบริการรอบพระอาทิตย์ขึ้นกับพระอาทิตย์ตก คนละ 125 เหรียญใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง มารับที่หน้าโรงแรมและบอกได้เลยว่าอยากได้ภาพประมาณไหนเค้าก็จะขับรถพาไปตามถนนที่คนทั่วไปเข้าไม่ได้ ที่เรียกว่า Backcountry ไกด์เป็นคุณพี่อายุประมาณ 40 ปลายๆชาวนาวาโฮที่เติบโตอยู่ใน Monument Valley แห่งนี้เอง
พอคุยกันเรียบร้อยพี่เค้าก็พาขึ้นรถ 4WD แล้วลุยเข้าไปบนถนนที่เป็นหินปนทรายสีแดงส้มเข้าไปเลย พี่เค้าก็จะจอดแวะเป็นจุดๆเวลาเค้าเห็นอะไรให้เราเก็บภาพได้ บางทีก็จะเดินไปหาองค์ประกอบที่เราอยากได้เช่นต้นไม้สวยๆเป็น foreground ให้กับภาพเราเป็นต้น
ระหว่างทางพี่ไกด์ก็จะเล่าให้ฟังถึงชีวิตในอดีตในยุค 80 หรือประมาณ 40 ปีที่แล้ว สมัยก่อนอยากจะไปแว๊นกับเพื่อนก็ไม่มีรถมอเตอร์ไซค์เหมือนเด็กสมัยนี้ต้องไปตามหาจับม้าป่ามาเป็นพาหนะ เล่าถึงความตื่นเต้นของการจะจับม้าให้ได้ตัวนึงต้องให้เพื่อนไล่ต้อนฝูงม้าป่าให้เข้ามาในช่องหินแคบแล้วพี่เค้าก็กระโดดขึ้นหลังม้าที่หมายตา แบบว่าต้องเลือกไวและใจเด็ดมากๆ ม้านี้ก็จะอยู่กับเค้าไปตลอดวัยเด็กจนถึงวัยรุ่นเป็นคู่หูกันไปเลยก็ว่าได้ ขี่ไปงานแต่งที่หมู่บ้านอื่นเอาไว้อวดสาวก็ได้
ด้วยความสงสัยเพราะเราเคยเห็นคนอินเดียนแดงแต่ในหนัง Hollywood ที่ผมรู้แน่ๆว่ามันต้องมั่วเพราะหนังก็ทำโดยคนขาว เลยยิ่งอยากถาม พี่เค้าก็ไม่เขินอายแทบจะเล่าประวัติชีวิตให้ฟัง บ้านที่อาศัยอยู่กับปู่ย่าตายายนี่ก็อยู่ติดๆกับก้อนหินสูงที่เห็นกันทั่วเพราะหินจะปล่อยความเย็นออกมาตอนกลางคืนและบังแดดด้วยตอนกลางวัน พี่เค้าเล่าว่ากลางคืนช่วงหน้าร้อนเด็กชอบออกมานอนนอกบ้านเพราะมองไปบนฟ้ามีดาวเยอะมาก ก้อนหินในรูปด้านล่างก็เป็นที่เล่นซนของพี่เค้ากับเพื่อนๆ วิธีเล่นที่ว่าก็คือปีนขึ้นไปบนยอดหินเพราะด้านบนมีแอ่งน้ำที่เก็บน้ำฝนไว้อยู่ การปีนก็มีเทคนิคอยู่คือใช้รูที่อยู่บนกำแพงหินในการสอดมือเท้าเข้าไปในการปีน เล่นกันแบบไม่กลัวตายแบบนี้คุณย่าก็เลยไล่เอาไม้ตีบ่อยๆเวลาจับได้ รูปที่เห็นนั้นบ้านย่าเค้าจริงๆด้วยนะครับ จะมีบ้านสมัยใหม่และบ้านที่สร้างจากดินกับเปลือกไม้ทำเป็นครึ่งวงกลม ข้างในเค้าว่านอนล้อมหัวชนกำแพง การสร้างบ้านแบบนี้หนึ่งหลังใช้เวลาตั้งหลายเดือนเพราะต้องตากไม้ให้แห้งสนิทก่อนเอาโคลนพอกลงไป
ฟังๆดูแล้วคนที่นี่มีความผูกพันกับม้าของเค้ามาก เหมือนกับชีวิตเค้าอยู่ไปกับธรรมชาติ พึ่งพาทรัพยากรต่างๆที่มีรอบตัวแบบเป็นผู้อาศัยแต่ไม่ใช่ผู้มาครอบครอง เป็นวิถีที่ตรงกันข้ามกับหลายๆวัฒนธรรมของโลก โดยเฉพาะม้าของพี่เค้า ม้าที่มีเหมือนเป็นคู่หูเค้าไปตลอดชีวิตก็ว่าได้ เวลาที่ไม่ได้ใช้งานม้าเค้าก็จะปล่อยให้กลับไปอยู่กับฝูงตามธรรมชาติ แต่เมื่อไหร่ที่พี่เค้าเรียกหาโดยการเอากระป๋องอาหารมาเขย่าๆม้าก็จะโผล่หัวออกมาจากฝูงที่กินหญ้าอยู่แล้ววิ่งมาหาทันที ด้วยความที่ม้าจำคนได้จากกลิ่นพี่เค้าก็จะเอามือมาทาบที่จมูกแล้วพูดเป็นภาษานาวาโฮว่าออกไปผจญภัยกันเถอะเพื่อนเก่า ฟังแล้วน้ำตาจะไหลเลยฮะ
พี่เค้าก็เล่าให้ฟังด้วยว่าชีวิตในหมู่บ้านก็ไม่ง่ายเพราะเพื่อนๆสมัยก่อนก็ชอบแกล้งกัน ถ้านั่งม้าพยศแล้วตกลงมาละก็ห้ามร้องไห้เพราะเพื่อนจะล้อยันลูกบวชแน่ๆ อีกอย่างการศึกษาก็เข้าถึงยาก จะเรียนก็ต้องไปนอนค้างที่โรงเรียนทีละ 3 สัปดาห์เพราะโรงเรียนอยู่ไกลมากเดินทางไปกลับไม่ได้ แต่บางทีพ่อแม่ก็จะมารับกลับก่อนเพราะต้องการให้ไปทำงานในไร่เลี้ยงวัวเลี้ยงม้า พี่เค้าก็ไม่ได้เรียนภาษาอังกฤษตั้งแต่แรกทำให้ต้องมาฟิตตอนโตแล้วก็ฝึกจากการทำงาน ชีวิตพี่เค้าก็ระหกระเหินไปทำงานบนเรือตกปลาที่อลาสก้าก็ไปมาแล้ว แต่สุดท้ายอยากอยู่ที่บ้านเกิดเลยมาเป็นไกด์แต่โควิดก็ทำชีวิตสะดุดอีก
ระหว่างทางที่เค้าพาชมถ้ำนี้ที่มีภาพสลักคิดว่าเป็นรูปละมั่งหรือ Anthelope ก็มีอีกกรุ๊ปทัวร์มาลงนำโดยคนพื้นเมืองเหมือนกัน พี่เค้าก็แอบเม้าว่าพวกนี้อธิบายตามหนังสือนะ แต่ผมตามประสบการณ์จริง 555
ผมก็บอกกับพี่เค้าว่าอยากไปเห็นสันทรายที่มีระลอกคลื่นทรายชัดๆ เพราะที่ที่ไปมาก่อนหน้าเนี่ยคนเหยียบยับเยินหมดเลย พี่เค้าก็อุตส่าห์พาขับรถขึ้นเขาลงห้วยไปจนเจอ จอดรถแล้วเดินเข้าไปตั้งสิบนาที เอาทรายกลับบ้านเต็มเท้าอีกแล้ว ตอนสงกรานต์น่าจะต้องขนทรายมาก่อเจดีย์ทรายเพื่อเอาทรายคืนที่นี่
ส่วนคนนี้เดินช้ารถไม่รอละนะ
ก่อนจะไปจุดหมายสุดท้ายโทรศัพท์ก็เข้าพี่แกก็คุยสนุกสนานแล้วเล่าให้ฟังว่าคนแก่ๆในหมู่บ้านโทรมาชวนเล่นไพ่ คนแก่ๆเค้าก็เหงาเพราะลูกหลานต้องไปหางานในเมือง พี่คนนี้ก็เป็นคนที่คอยเอนเตอร์เทนผู้เฒ่าผู้แก่อย่างสม่ำเสมอ เค้าก็บอกคนแก่ๆนี่ชอบตลกโปกฮาเค้าก็เลยไปด้วยความเต็มใจ
[CR] Monument Valley - Grand Canyon - America Southwest Road Trip ภาค 4
สำหรับเพื่อนๆที่อยากดูแบบเต็มๆไม่มีโลโก้เกะกะเชิญที่เว็บไซต์ส่วนตัวผมได้เลยครับ https://www.nopeopletravelphoto.com/
ตอนนี้เป็นตอนสุดท้ายแล้วนะครับ ใครยังไม่ได้ดูตอน 1 - 3 เชิญตามลิงค์ด้านล่างได้เลย
ตอน 1 - https://www.nopeopletravelphoto.com/post/pacific_coast_highway_2021
ตอน 2 - https://www.nopeopletravelphoto.com//post/death_valley_2021
ตอน 3 - https://www.nopeopletravelphoto.com/post/las_vegas_page_arizona_2021
เดือนที่เดินทาง - พฤศจิกายน 2021
เห็น Antelope Canyon มาแล้วในตอนที่ 3 ถ้าเริ่มเครื่องติดตามมาอ่านตอนที่ 4 ต่อกันเลยที่ Monument Valley และ Grand Canyon สถานที่ที่เต็มไปด้วยความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติและล้ำค่าทางวัฒนธรรมของชนพื้นเมืองนาวาโฮ เป็นประสบการณ์ล้ำค่าที่บางอย่างอาจไม่สามารถอธิบายด้วยภาพถ่ายได้
ทริปนี้เราใช้เวลาทั้งหมดไม่รวมนั่งเครื่องบินที่ 15 วัน 14 คืน และตอนที่ 4 นี้เป็นช่วงวันที่ 10 - 15 ตามนี้ครับผม
วันที่ 10 ครึ่งบ่าย: Monument Valley
วันที่ 11: Monument Valley อีกวัน
วันที่ 12: Monument Valley อีกครึ่งวัน + Grand Canyon ครึ่งบ่าย
วันที่ 13: Grand Canyon ต่อไป
วันที่ 14: Grand Canyon อีกนิด + ขับรถไป Phoenix
วันที่ 15: กลับบ้านมาทำงานใช้กรรม
Monument Valley
เรามาถึงที่ Monument Valley หลังจากเที่ยวที่เมือง Page ในรัฐ Arizona กันมาก่อนหน้านี้ การขับรถเส้นทางนี้ง่ายมากเป็นทางตรงแทบตลอดทาง เราจะใช้เวลาที่นี่ 2 คืนด้วยกันเอาแบบให้เต็มที่ปิดจ๊อบกันไปเลย ส่วนที่พักที่ปกติจะไม่ค่อยพูดถึงแต่ครั้งนี้ไม่ได้จริงๆ เราพักที่โรงแรม The View ที่ตั้งอยู่ตรงทางเข้าอุทยานเลยและทุกห้องพักมีวิวระดับเทพเจ้า มุมมหาชน มุมที่ทุกคนรอคอย
อุทยานแห่งนี้ตั้งอยู่ในเขตปกครองตนเองของชนเผ่านาวาโฮ (Navajo) ชนเผ่าพื้นเมืองที่อาศัยอยู่ที่ตรงนี้มาก่อนที่ฝรั่งจะเข้ามาถึงทวีปอเมริกา ทุกคนจะต้องซื้อบัตรเข้าอุทยานก่อนถึงจะเข้าไปชมด้านในได้ แต่ถ้าใครแค่ผ่านมาก็สามารถมาจอดที่โรงแรม The View เพื่อถ่ายภาพมุมนี้ได้เลย
อีกอย่างคือถ้าใครต้องการจะนั่งรถชมด้านในหุบเขาแบบเจาะลึกควรจะจ้างไกด์ท้องถิ่นเพราะว่ารถคนนอกไม่สามารถเข้าได้บางจุดเพราะเป็นที่อยู่อาศัยของเค้าจริงๆและถนนมันขับเองไม่ได้หรอก นั่งเบาะหลังยังกรีดร้องกับความชัน อีกอยากคือไกด์เค้าสามารถแชร์ประสบการณ์ชีวิตของชนเผ่าพื้นเมืองให้ฟังได้ด้วย เป็นเรื่องราวที่ทั้งน่าสนใจและงดงามจริงๆ การหาไกด์ก็ทำได้โดยการของเบอร์หรืออีเมล์ติดต่อจากล็อบบี้โรงแรมได้เลย
สำหรับคณะเราแล้วมาถึงตรงนี้เวลาพระอาทิตย์ตกพอดีรีบเช็คอินแล้วพุ่งไปที่จุดชมวิวตรงร้านอาหารอย่างไว วันนี้มากับดวงมากๆเพราะท้องฟ้าเป็นใจได้เมฆสวยๆเป็นที่ระลึก ข้าวเย็นวันนี้เราก็เตรียมอาหารเหลือจากวันก่อนไว้เรียบร้อยไม่ต้องออกไปหากินเพราะโรงแรมไม่เปิดร้านอาหารในช่วงโควิด
และไหนๆก็จ่ายเงินแพงมานอนโรงแรม The View แล้วต้องจัดให้เต็มตื่นขึ้นมาตอนเช้ามืดกะออกไปถ่ายภาพกับดาวซะหน่อย ปรากฎว่าช่วงนี้พระจันทร์เต็มดวงเลยมีดาวน้อยหน่อย ถ่ายแบบนี้ใบละ 30 วินาทีถ่ายติดกันแบบโหมด continuous เป็นเวลาประมาณครึ่งชั่วโมงแล้วเอามาต่อกันใน Photoshop ตั้งกล้องทิ้งไว้เลยแล้วกลับมานอนในห้องอุ่นๆ
พอตื่นกันแล้วก็แต่งตัวและออกไปขับรถเล่นใน Monument Valley กันเลยตั้งแต่ถนนเปิดตอนเจ็ดโมงเช้า ก่อนเข้าอย่าลืมซื้อบัตรค่าเข้าจากทางเข้าอุทยานก่อน ตำรวจแถวนี้เค้าเข้มจริง การขับก็จะวนเป็นลูปถนนเป็นดินลูกรังตลอดทาง รถเล็กขับได้แต่ไม่ควรขับเร็ว ที่ตรงนี้ไม่มีสัญญาณอินเตอร์เน็ตเลยแม้แต่น้อยเพราะฉะนั้นควรโหลดแผนที่ออฟไลน์มาจากโรงแรมนะครับ
ระหว่างทางก็จะมีป้ายบอกว่าหินแต่ละก้อนชื่ออะไรกัน ดูแล้วก็คล้ายๆคนไทยที่ตั้งชื่อแปลกให้หินตามรูปร่าง เช่นหินสามพี่น้อง (Three Sisters) หินนิวโป้ง (The Thumb) แสงยามเช้าสีส้มส่งมาที่หินทำให้เป็นสีส้มแป๊ดเข้าไปใหญ่
ตลอดเส้นทางก็จะมีจุดชมวิวมุมสูงอยู่ 2 ที่ ตรงนี้คือ Artist's Point มองออกไปก็จะเห็นหินตั้งตระหง่านอยู่มากมาย ถ้ามองจากภาพอาจจะไม่เห็นถึงความใหญ่ผมเลยพยายามให้ในภาพมีสิ่งปลูกสร้างจากคนอยู่ด้วยเช่นบ้านที่อยู่ตรงฐาน หรือรถที่ขับอยู่ตรงตีนเขา ไม่คิดเลยว่าโลกเราจะมีอะไรแบบนี้อยู่ด้วย
จุดชมวิวอีกที่คือ John Ford Point ตรงนี้มีบริการของคนแถวนี้ที่เอาม้าขี่ออกไปให้คนขึ้นไปนั่งถ่ายภาพเหมือนอยู่ในหนังคาวบอย ค่าบริการไม่แพง
จุดที่ควรตั้งใจเฝ้าสอดส่องเวลามาที่นี่คือ foreground ล้ำค่าอย่างต้นไม้แห้งๆที่ขึ้นอยู่ทั่วไป ยิ่งท้องฟ้าโล่งโจ้งแบบนี้ช่วยทำให้ภาพไม่ว่างเปล่าเกินไป
ขับรถประมาณครึ่งชั่วโมงก็จะวนครบลูปแล้ว กลับไปที่โรงแรมรับอาหารเช้าจากร้านขายของที่ระลึกได้ นี่คือความสุดของโรงแรมเค้าอยู่ตรงไหนก็เห็นวิวนี้
Photography Tour - Backcountry
ส่วนบ่ายวันนี้เราก็จองไกด์เอาไว้ เค้าโฆษณาว่าเป็น Photography tour จะพาไปดูจุดถ่ายภาพตามที่ต่างๆ มีบริการรอบพระอาทิตย์ขึ้นกับพระอาทิตย์ตก คนละ 125 เหรียญใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง มารับที่หน้าโรงแรมและบอกได้เลยว่าอยากได้ภาพประมาณไหนเค้าก็จะขับรถพาไปตามถนนที่คนทั่วไปเข้าไม่ได้ ที่เรียกว่า Backcountry ไกด์เป็นคุณพี่อายุประมาณ 40 ปลายๆชาวนาวาโฮที่เติบโตอยู่ใน Monument Valley แห่งนี้เอง
พอคุยกันเรียบร้อยพี่เค้าก็พาขึ้นรถ 4WD แล้วลุยเข้าไปบนถนนที่เป็นหินปนทรายสีแดงส้มเข้าไปเลย พี่เค้าก็จะจอดแวะเป็นจุดๆเวลาเค้าเห็นอะไรให้เราเก็บภาพได้ บางทีก็จะเดินไปหาองค์ประกอบที่เราอยากได้เช่นต้นไม้สวยๆเป็น foreground ให้กับภาพเราเป็นต้น
ระหว่างทางพี่ไกด์ก็จะเล่าให้ฟังถึงชีวิตในอดีตในยุค 80 หรือประมาณ 40 ปีที่แล้ว สมัยก่อนอยากจะไปแว๊นกับเพื่อนก็ไม่มีรถมอเตอร์ไซค์เหมือนเด็กสมัยนี้ต้องไปตามหาจับม้าป่ามาเป็นพาหนะ เล่าถึงความตื่นเต้นของการจะจับม้าให้ได้ตัวนึงต้องให้เพื่อนไล่ต้อนฝูงม้าป่าให้เข้ามาในช่องหินแคบแล้วพี่เค้าก็กระโดดขึ้นหลังม้าที่หมายตา แบบว่าต้องเลือกไวและใจเด็ดมากๆ ม้านี้ก็จะอยู่กับเค้าไปตลอดวัยเด็กจนถึงวัยรุ่นเป็นคู่หูกันไปเลยก็ว่าได้ ขี่ไปงานแต่งที่หมู่บ้านอื่นเอาไว้อวดสาวก็ได้
ด้วยความสงสัยเพราะเราเคยเห็นคนอินเดียนแดงแต่ในหนัง Hollywood ที่ผมรู้แน่ๆว่ามันต้องมั่วเพราะหนังก็ทำโดยคนขาว เลยยิ่งอยากถาม พี่เค้าก็ไม่เขินอายแทบจะเล่าประวัติชีวิตให้ฟัง บ้านที่อาศัยอยู่กับปู่ย่าตายายนี่ก็อยู่ติดๆกับก้อนหินสูงที่เห็นกันทั่วเพราะหินจะปล่อยความเย็นออกมาตอนกลางคืนและบังแดดด้วยตอนกลางวัน พี่เค้าเล่าว่ากลางคืนช่วงหน้าร้อนเด็กชอบออกมานอนนอกบ้านเพราะมองไปบนฟ้ามีดาวเยอะมาก ก้อนหินในรูปด้านล่างก็เป็นที่เล่นซนของพี่เค้ากับเพื่อนๆ วิธีเล่นที่ว่าก็คือปีนขึ้นไปบนยอดหินเพราะด้านบนมีแอ่งน้ำที่เก็บน้ำฝนไว้อยู่ การปีนก็มีเทคนิคอยู่คือใช้รูที่อยู่บนกำแพงหินในการสอดมือเท้าเข้าไปในการปีน เล่นกันแบบไม่กลัวตายแบบนี้คุณย่าก็เลยไล่เอาไม้ตีบ่อยๆเวลาจับได้ รูปที่เห็นนั้นบ้านย่าเค้าจริงๆด้วยนะครับ จะมีบ้านสมัยใหม่และบ้านที่สร้างจากดินกับเปลือกไม้ทำเป็นครึ่งวงกลม ข้างในเค้าว่านอนล้อมหัวชนกำแพง การสร้างบ้านแบบนี้หนึ่งหลังใช้เวลาตั้งหลายเดือนเพราะต้องตากไม้ให้แห้งสนิทก่อนเอาโคลนพอกลงไป
ฟังๆดูแล้วคนที่นี่มีความผูกพันกับม้าของเค้ามาก เหมือนกับชีวิตเค้าอยู่ไปกับธรรมชาติ พึ่งพาทรัพยากรต่างๆที่มีรอบตัวแบบเป็นผู้อาศัยแต่ไม่ใช่ผู้มาครอบครอง เป็นวิถีที่ตรงกันข้ามกับหลายๆวัฒนธรรมของโลก โดยเฉพาะม้าของพี่เค้า ม้าที่มีเหมือนเป็นคู่หูเค้าไปตลอดชีวิตก็ว่าได้ เวลาที่ไม่ได้ใช้งานม้าเค้าก็จะปล่อยให้กลับไปอยู่กับฝูงตามธรรมชาติ แต่เมื่อไหร่ที่พี่เค้าเรียกหาโดยการเอากระป๋องอาหารมาเขย่าๆม้าก็จะโผล่หัวออกมาจากฝูงที่กินหญ้าอยู่แล้ววิ่งมาหาทันที ด้วยความที่ม้าจำคนได้จากกลิ่นพี่เค้าก็จะเอามือมาทาบที่จมูกแล้วพูดเป็นภาษานาวาโฮว่าออกไปผจญภัยกันเถอะเพื่อนเก่า ฟังแล้วน้ำตาจะไหลเลยฮะ
พี่เค้าก็เล่าให้ฟังด้วยว่าชีวิตในหมู่บ้านก็ไม่ง่ายเพราะเพื่อนๆสมัยก่อนก็ชอบแกล้งกัน ถ้านั่งม้าพยศแล้วตกลงมาละก็ห้ามร้องไห้เพราะเพื่อนจะล้อยันลูกบวชแน่ๆ อีกอย่างการศึกษาก็เข้าถึงยาก จะเรียนก็ต้องไปนอนค้างที่โรงเรียนทีละ 3 สัปดาห์เพราะโรงเรียนอยู่ไกลมากเดินทางไปกลับไม่ได้ แต่บางทีพ่อแม่ก็จะมารับกลับก่อนเพราะต้องการให้ไปทำงานในไร่เลี้ยงวัวเลี้ยงม้า พี่เค้าก็ไม่ได้เรียนภาษาอังกฤษตั้งแต่แรกทำให้ต้องมาฟิตตอนโตแล้วก็ฝึกจากการทำงาน ชีวิตพี่เค้าก็ระหกระเหินไปทำงานบนเรือตกปลาที่อลาสก้าก็ไปมาแล้ว แต่สุดท้ายอยากอยู่ที่บ้านเกิดเลยมาเป็นไกด์แต่โควิดก็ทำชีวิตสะดุดอีก
ระหว่างทางที่เค้าพาชมถ้ำนี้ที่มีภาพสลักคิดว่าเป็นรูปละมั่งหรือ Anthelope ก็มีอีกกรุ๊ปทัวร์มาลงนำโดยคนพื้นเมืองเหมือนกัน พี่เค้าก็แอบเม้าว่าพวกนี้อธิบายตามหนังสือนะ แต่ผมตามประสบการณ์จริง 555
ผมก็บอกกับพี่เค้าว่าอยากไปเห็นสันทรายที่มีระลอกคลื่นทรายชัดๆ เพราะที่ที่ไปมาก่อนหน้าเนี่ยคนเหยียบยับเยินหมดเลย พี่เค้าก็อุตส่าห์พาขับรถขึ้นเขาลงห้วยไปจนเจอ จอดรถแล้วเดินเข้าไปตั้งสิบนาที เอาทรายกลับบ้านเต็มเท้าอีกแล้ว ตอนสงกรานต์น่าจะต้องขนทรายมาก่อเจดีย์ทรายเพื่อเอาทรายคืนที่นี่
ส่วนคนนี้เดินช้ารถไม่รอละนะ
ก่อนจะไปจุดหมายสุดท้ายโทรศัพท์ก็เข้าพี่แกก็คุยสนุกสนานแล้วเล่าให้ฟังว่าคนแก่ๆในหมู่บ้านโทรมาชวนเล่นไพ่ คนแก่ๆเค้าก็เหงาเพราะลูกหลานต้องไปหางานในเมือง พี่คนนี้ก็เป็นคนที่คอยเอนเตอร์เทนผู้เฒ่าผู้แก่อย่างสม่ำเสมอ เค้าก็บอกคนแก่ๆนี่ชอบตลกโปกฮาเค้าก็เลยไปด้วยความเต็มใจ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้