EP.1 เมื่อคิดจะเดินทางช่วง Covid
สวัสดีปีใหม่ 2022 ค่ะ เริ่มศักราชใหม่ อยากให้ Covid หาย เดินทางได้คล่องๆ สักที และพอได้มีเวลากลับมาเขียนถึงบันทึกการเดินทางกันอีกครั้ง หลังจากห่างหายไปเพราะปิดประเทศ lockdown กันเกือบๆสองปี เราได้เดินทางออกนอกประเทศครั้งสุดท้ายไป Ethiopia ไปทำงาน และขอแว้บไปเที่ยวสองวันในช่วงเดือนต้นเดือนมีนาคม 2020 และกลับมาได้ไม่กี่วันประเทศไทยก็ปิดพรมแดนอย่างเป็นทางการในวันที่ 19 มีนาคม 2020 หลังจากนั้นก็นอนอยู่บ้านยาว จนกระทั่ง 1 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ประเทศไทยตัดสินใจเปิดประเทศและมีจังหวะต้องเดินทางต่างประเทศพอดี เลยแพลนยาวแบบเอาวะ ลองเปิดประสบการณ์สักทีสิว่า เดินทางช่วงโควิดมันจะเป็นยังไง
การเดินทางรอบนี้แน่นอนเราต้องติดตามข่าวสารและต้องเป็นประเทศที่อยู่ใน 63 ประเทศเพราะว่ากลับมาจะได้ไม่มีปัญหาเรื่องโดนจับกักตัว เราแบ่งการเตรียมตัวเป็น step ดังนี้ ใช้เวลาเตรียมตัวเป็นเดือนๆเหมือนกัน
ก่อนเดินทาง 3 เดือน
แล้วก็มานั่งดูกันแล้วว่าด้วยสถานการณ์ตอนนี้เป็นไปในทิศทางไหนศึกษากฎของแต่ละประเทศว่าไปประเทศไหนได้บ้าง เรื่องวัคซีนเรื่องสุขภาพเราเป็นยังไง
ก่อนเดินทาง 2 เดือน
เตรียมพร้อมเรื่องเอกสารการทำวีซ่าและข้อมูลเรื่องวัคซีนรวมถึงต้องดู กฏข้อบังคับต่างๆของประเทศนั้นๆด้วยเพราะกฎข้อบังคับของแต่ละประเทศนั้นเปลี่ยนรายอาทิตย์สถานการณ์ covid สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาค่ะ
ก่อนเดินทาง 1 เดือน
แน่นอน เราต้องฉีดวัคซีนก่อน แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าคุณได้ไปแน่นอน ยังต้องกลับไปเช็ครายชื่อวัคซีนที่เราฉีดว่าไปไหนได้บ้าง และถ้าเดินทางมาจากประเทศไทย ซึ่งถูกจัดไว้ในกลุ่มส้มของบางประเทศ ไม่ก็แดงของบางประเทศ ต้องดูมาตรการอีกว่าต้องทำยังไงบ้าง ถ้าประเทศไหนต้องกักตัว tick off the lists ไปได้เลย อย่างแรกเลยเราฉีดวัคซีนตัวไหน ปูนฉีด sinopharm ซึ่งน้อยมากที่ประเทศในยุโรปจะรับ เช่น Switzerland และ Iceland สามารถไปได้ หลังจากนั้นต้องเข้าดูมาตรการรายประเทศที่ RE-OPEN EU ที่
https://reopen.europa.eu/en
หรือ สามารถดาวน์โหลดได้ทั้ง Android และ Apple สรุปว่าที่วางไว้ๆ ประเทศไทยโดนแบนจากหลายประเทศเหมือนกันนะ เพราะว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงสูงเลยต้องกักตัว อย่างต่ำ 7 วัน ไปๆมาๆ ตัด choice หรือ อยู่สามสี่ประเทศเท่านั้น หลังจากนั้นเลยต้องมานั่งหาเส้นทางว่าถ้าได้ไปยังไงก็ควรจะต้องคุ้มค่า เพราะอุตส่าห์ฝ่าโควิดไปเลยทีเดียว
แต่ไปเที่ยวช่วงโควิดแบบนี้ราคาไม่ถูกนะคะเพราะนอกจากจะต้องตรวจ covid หลายรอบแล้วยังจะต้องนอนโรงแรมซึ่งเป็นห้องเดียวอีกต่างหากเพราะว่าไอ้เราก็กลัว covid เนาะเพราะฉะนั้นก็ต้องเซฟตัวเองให้ดีที่สุดไม่อยากโดนกักตัวหรือไม่อยากทำการรักษาใดๆทั้งสิ้นเพราะฉะนั้นก็จะนอนโรงแรมนอนห้องเดียวเท่านั้นที่ทั้งชีวิตเวลาเดินทางจะนอนแบบแบ็คแพ็คคือนอนโฮสเทลห้องรวม ส่วนการจัดทริปอาจจะดูงงๆ เพราะเส้นทางไม่ได้ดูปะติดปะต่อ หรือมีความละม้ายคล้ายคลึงกันแม้แต่น้อย เนื่องจากดูข้อจำกัดเรื่องวัคซีนและกลุ่มประเทศเสี่ยงสูงเป็นหลัก
travel toools/checklist
ฉะนั้นจะดูได้ว่าเข้าประเทศไหนได้หรือไม่ บางประเทศมี tool เป็นตัวช่วย screen เบื้องต้นค่ะว่า เราสามารถเข้าประเทศได้ไหม แต่การตัดสินใจขั้นสุดท้าย คือ ตม.นั่นเอง เค้าจะดูผลจาก PCR test เป็นหลักค่ะ เพราะฉะนั้นยังจำเป็นต้องรักษาเนื้อรักษาตัวขึ้นสูงสุดกันต่อไป เดี๋ยวเราจะลงรายละเอียดไว้ในรีวิวแต่ละประเทศน่าจะทำให้ข้อมูลชัดเจนขึ้น
วัคซีนพาสปอร์ต*
ก่อนที่เราจะเดินทางได้นั้นเราจำเป็นต้องขอวัคซีนพาสปอร์ตก่อน สมุดนี้จะเป็นสมุดเล่มเหลืองเล็กๆเป็นสมุดชนิดเดียวกันกับที่ใช้ฉีดไข้เหลืองนั่นเองค่ะ ข่าวที่ออกมาตอนนั้นบอกว่าตั้งแต่วันที่ 18 ตุลาคมเป็นต้นไปเขาจะให้ขอทางออนไลน์คุณหมอพร้อมเท่านั้นจะยกเลิกกัน walk in แล้วต้องนัดหมายเท่านั้นแต่ปัญหาคือจะนัดได้แค่วันละ 250 คนเท่านั้นที่สถาบันบําราศนราดูร ซึ่งถึงคนที่เดินทางมามีมากกว่านั้นอยู่แล้ว และที่เคยขอที่กรมควบคุมโรคจังหวัดนนทบุรีนอนแล้วก็เขตควบคุมเมืองรวมถึงที่สนามบินสุวรรณภูมิตอนนี้ก็คือเขาไม่รับแล้วปรากฏว่าปุ่มโทรไปเบอร์ตามที่กรมควบคุมโรคเขาประกาศไว้ใน facebook เขาเนาะที่เบอร์ 02 590 32 32 ประกวดโทรไม่ติดค่ะต้องโทรไปเบอร์กลางซึ่งเป็น 02 590 3000 ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่บอกว่าไม่ต้องโทรไป 3232 เพราะว่าเป็นคนละหน่วยงานกันให้โทรไป 590 30 34-35 แทน พอร้องเรื่องแปลว่าตอนนี้ระบบหมอพร้อมนั้นไม่ได้เลยเพราะว่ามันไปหมดแล้วจะทำยังไงดีทางเจ้าหน้าที่ในก็เลยบอกว่าให้ส่งอีเมลมาแทน ซึ่งดีใจมากที่ภาครัฐมีอีเมลใช้สักทีซึ่งจริงๆมันควรจะเป็นแบบนี้นานแล้วเนาะ 250คน limit ต่อวันคือมันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นตอนที่บอกว่าให้อีเมลขอพาสปอร์ตแบบวัคซีนเร่งด่วน vaccinepassport.thailand@gmail.com แทนซึ่งต้องรอเจ้าหน้าที่ติดต่อกลับอีกประมาณ 5 วันทำการ เราอีเมลไปหลังฉีดวัคซีนเลย ปรากฏว่าโชคดี จนท ติดต่อกลับมาทางอีเมลให้ไปแทรกคิววันที่ 1 ธค. สำนักงานอยู่ตรง bts เซ็นต์หลุยส์ ต้องมีใบนัดมาโชว์เค้าถึงจะให้เข้า ใช้เวลาประมาณ 15 นาทีเป็นอันได้สมุดเล่มเหลือง หรือ vaccine passport มาครอบครอง ต้องนำพาสปอร์ตไปด้วยและเมื่อได้เอกสารแล้วต้องตรวจดูความเรียบร้อยด้วยนะคะว่าชื่อ วันเกิด ข้อมูลวัคซีนถูกต้องไหม มีข่าวออกจากภาครัฐว่า ถ้าระบบหมอพร้อมได้การยอมรับและอนุมัติจากทาง สหภาพยุโรปแล้วให้สามารถใช้แทนกันได้เลย โดยเราไม่ต้องไปขอ convert เอกสารสำหรับใช้ใน EU Covid-19 digital certificate เริ่มใช้ได้มกรา 2022 นี้ ใครได้ทดลองแล้วมาเล่าสู่กันฟังด้วยนะ ชีวิตน่าจะง่ายขึ้นเยอะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
Thailand pass*
อันนี้ก็ไม่ยากแค่ต้องเข้าให้ถูกเว็บไซต์เท่านั้นเองเพราะตอนนี้มีมิจฉาชีพที่ซึ่งสร้าง URL ที่มันง่ายต่อการเข้าถึงมากกว่าเพราะฉะนั้นเราจะต้องขอ thailand pass จากเว็บไซต์นี้เท่านั้น
https://tp.consular.go.th/ ไม่มีเว็บไซต์อื่นนะคะแต่ถ้าใกล้ถึงวันเดินทางอย่างเช่น วันก่อนการเดินทางแล้วยังไม่ได้ยินอะไรจากใครเลยให้ติดต่อไปที่ support@tp.consular.go.th ซึ่งส่วนมากอันนี้เห็นมาจากในห้อง thailand reopening ใน facebook ซึ่งฝรั่งเขาไปขอติดตามเรื่องจากอีเมลนี้เยอะเพราะว่าบางทีลงทะเบียนแล้วไม่ได้รับคำตอบหรือมันตกหล่นอะไรอ่ะคะอันนี้ก็คิดว่าจะเป็นประโยชน์นะ ควรขอก่อนกลับเมืองไทยอย่างต่ำสัก 10 วันนะ หรือสองอาทิตย์ได้ยิ่งดี
Test & Go quarantine free package
ซึ่งจะเป็น package รวมทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นค่ารับส่งค่าที่พัก 1 คืนค่าอาหารรวมให้ในบางโรงแรมนะคะแล้วก็ค่าตรวจ pcr ราคาก็จะแตกต่างกันไปตามแต่ระดับของโรงแรม เราเลือกง่ายก็จะเลือกที่ novotel airport ไปเลยซึ่งปกติแล้วตอนที่ดูโรงแรมอ่ะค่ะเขาจะตัดสินให้เขาจะขอดูว่าคือจะขอดูตั๋วเครื่องบินแล้วก็ใบรับรองการฉีดวัคซีนนะ อย่างไรก็ตามตอนนี้ Test & Go ถูก suspended ไปเรียบร้อยแล้ว และยังต้องรอติดตามต่อไปภายในสิ้นเดือนมกราคมนี้ ขอให้สถานการณ์เข้าสู่ปกติโดยเร็ว เพราะขาไปมีความร้างมาก แต่ขากลับมาสุวรรณภูมิดูดีมีชีวิตชีวาเป็นภาพที่ไม่ได้เห็นมาร่วมจะสองปีแล้ว
PCR Test
ส่วนมากทุกประเทศน่าจะ 99.99% ที่จะต้องโชว์ผลตรวจ pcr เมื่อไปถึงประเทศปลายทางเพราะฉะนั้นจังหวัดที่เราไปถึงประเทศปลายทางจะต้องอยู่ภายใน 72 ชั่วโมงซึ่งไม่เกิน 3 วันเพราะฉะนั้นเราก็ควรจะต้องหาโรงพยาบาลที่ตรวจนอกจากจะมีผลรับรอง pcr แล้วยังจะต้องมีใบรับรองแพทย์ซึ่งที่เราเคยได้ยินกันว่า fit to fly นั่นเอง ปกติราคาที่ไปตรวจต่างประเทศก็จะอยู่ที่ประมาณ 3,500 - 5,000 บาทตามแต่โรงพยาบาลค่ะ คลิปนี้ทั้งทริปเราก็น่าจะได้ตรวจประมาณ 4-5 รอบไม่ต่ำกว่านั้นแน่นอน เพิ่งมารู้ตอนหลังว่าไปต่างประเทศไม่ต้องขอ fit to fly นะ เปลือง แค่ RT-PCR พอ แล้วตรวจแบบ swab ทั้ง throat และ nasal คือคว้านคอและจมูกจะดีกว่า เราเลือกแพ็คเกจคอจมูกตลอด เป็นการ cross check ไปในตัว
Covid certificates และ application ติดตามตัว
ถ้าบ้านเรามีหมอพร้อมที่ต่างประเทศประเทศก็จะมี application ที่เราจะต้องดาวน์โหลดและเอกสารที่เราจะต้องโชว์ในการใช้บริการในประเทศนั้นๆเช่นเดียวกัน
ก่อนขึ้นเครื่อง
พอดีใช้สายการบิน qatar airways เพราะฉะนั้นเนี่ยทางสายการบินจะต้องให้เซ็น consent from ก่อนที่ consent form ที่จะส่งผลตรวจ pcr ให้กับประเทศปลายทางนั้นๆเพราะฉะนั้นไม่ว่าจะไปประเทศไหนทางสายการบินจะเช็คก่อนว่า entry requirements เข้าประเทศคืออะไร ถ้าเอกสารครบก็สบายหายห่วง แต่เกือบไปเหมือนกันเราต้องศึกษาดีๆ ข้อมูลต้องแน่นจะได้เถียงได้ เช่นกรณีก่อนบินไปการ์ต้า เพราะ ground staff บอกว่าฉีดยาไม่ครบสองโดสมีแค่ moderna โดสเดียว ต้องใช้ antibody test เราเลยบอกกับสต้าฟว่าไม่ต้องเพราะลงทะเบียนกับทางการ์ต้า และเอกสารผ่านหมดแล้ว ในกรณี ฉีด inactivated vaccine ที่ไม่ได้ตามด้วย MRNA 1 shot ต้องใช้ แต่ถ้าตามด้วย MRNA แล้วถือเป็น fully vaccinated. ก็คือผ่าน สต้าฟไปเช้คข้อมูลดูก้อขึ้นตามนี้น
อื่นๆ
เรื่อง gel alcohol/hand sanitizer ต่างๆ เราพกไป 5 หลอด แอลกอฮอลล์ 1 ขวด หน้ากากอนามัย 1 กล่อง (มี 50 อัน ผลัดใช้วันละไม่ต่ำกว่า 2-3 อัน) หน้ากาก N95 4-5 อัน ดีว่า Qatar Airways แจกถุงมือยางพาราด้วย ถ้าถามว่าในการเดินทางตรงไหนน่ากลัวติดสุด บอกเลยว่า บนเครื่องบิน โดยเฉพาะขาไปและขาออกจากประเทศไทย flight อย่างเต็ม ไม่มีที่ว่างเลย เพราะฉะนั้นเราทานข้าวมือเดียว 555 เป็นการลดความเสี่ยงการเปิดหน้ากาก ง่วงด้วยแระ แล้วก็ สวมถุงมือ ล้างมือบ่อยมาก ใส่หน้ากากสองชั้นอีก อาจจะเป็นเหตุผลนึงที่เราโชคดีไม่ติดโควิดด้วยนิสัยความอนามัยของเราเอง
[CR] [CR: Poonie on the road: Amidst of Pandemic] ส่องโลกไป หนีโควิดไป....เที่ยวแบบ new normal ยังไงให้รอดโควิด
สวัสดีปีใหม่ 2022 ค่ะ เริ่มศักราชใหม่ อยากให้ Covid หาย เดินทางได้คล่องๆ สักที และพอได้มีเวลากลับมาเขียนถึงบันทึกการเดินทางกันอีกครั้ง หลังจากห่างหายไปเพราะปิดประเทศ lockdown กันเกือบๆสองปี เราได้เดินทางออกนอกประเทศครั้งสุดท้ายไป Ethiopia ไปทำงาน และขอแว้บไปเที่ยวสองวันในช่วงเดือนต้นเดือนมีนาคม 2020 และกลับมาได้ไม่กี่วันประเทศไทยก็ปิดพรมแดนอย่างเป็นทางการในวันที่ 19 มีนาคม 2020 หลังจากนั้นก็นอนอยู่บ้านยาว จนกระทั่ง 1 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ประเทศไทยตัดสินใจเปิดประเทศและมีจังหวะต้องเดินทางต่างประเทศพอดี เลยแพลนยาวแบบเอาวะ ลองเปิดประสบการณ์สักทีสิว่า เดินทางช่วงโควิดมันจะเป็นยังไง
การเดินทางรอบนี้แน่นอนเราต้องติดตามข่าวสารและต้องเป็นประเทศที่อยู่ใน 63 ประเทศเพราะว่ากลับมาจะได้ไม่มีปัญหาเรื่องโดนจับกักตัว เราแบ่งการเตรียมตัวเป็น step ดังนี้ ใช้เวลาเตรียมตัวเป็นเดือนๆเหมือนกัน
ก่อนเดินทาง 3 เดือน
แล้วก็มานั่งดูกันแล้วว่าด้วยสถานการณ์ตอนนี้เป็นไปในทิศทางไหนศึกษากฎของแต่ละประเทศว่าไปประเทศไหนได้บ้าง เรื่องวัคซีนเรื่องสุขภาพเราเป็นยังไง
ก่อนเดินทาง 2 เดือน
เตรียมพร้อมเรื่องเอกสารการทำวีซ่าและข้อมูลเรื่องวัคซีนรวมถึงต้องดู กฏข้อบังคับต่างๆของประเทศนั้นๆด้วยเพราะกฎข้อบังคับของแต่ละประเทศนั้นเปลี่ยนรายอาทิตย์สถานการณ์ covid สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาค่ะ
ก่อนเดินทาง 1 เดือน
แน่นอน เราต้องฉีดวัคซีนก่อน แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าคุณได้ไปแน่นอน ยังต้องกลับไปเช็ครายชื่อวัคซีนที่เราฉีดว่าไปไหนได้บ้าง และถ้าเดินทางมาจากประเทศไทย ซึ่งถูกจัดไว้ในกลุ่มส้มของบางประเทศ ไม่ก็แดงของบางประเทศ ต้องดูมาตรการอีกว่าต้องทำยังไงบ้าง ถ้าประเทศไหนต้องกักตัว tick off the lists ไปได้เลย อย่างแรกเลยเราฉีดวัคซีนตัวไหน ปูนฉีด sinopharm ซึ่งน้อยมากที่ประเทศในยุโรปจะรับ เช่น Switzerland และ Iceland สามารถไปได้ หลังจากนั้นต้องเข้าดูมาตรการรายประเทศที่ RE-OPEN EU ที่ https://reopen.europa.eu/en
หรือ สามารถดาวน์โหลดได้ทั้ง Android และ Apple สรุปว่าที่วางไว้ๆ ประเทศไทยโดนแบนจากหลายประเทศเหมือนกันนะ เพราะว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงสูงเลยต้องกักตัว อย่างต่ำ 7 วัน ไปๆมาๆ ตัด choice หรือ อยู่สามสี่ประเทศเท่านั้น หลังจากนั้นเลยต้องมานั่งหาเส้นทางว่าถ้าได้ไปยังไงก็ควรจะต้องคุ้มค่า เพราะอุตส่าห์ฝ่าโควิดไปเลยทีเดียว
แต่ไปเที่ยวช่วงโควิดแบบนี้ราคาไม่ถูกนะคะเพราะนอกจากจะต้องตรวจ covid หลายรอบแล้วยังจะต้องนอนโรงแรมซึ่งเป็นห้องเดียวอีกต่างหากเพราะว่าไอ้เราก็กลัว covid เนาะเพราะฉะนั้นก็ต้องเซฟตัวเองให้ดีที่สุดไม่อยากโดนกักตัวหรือไม่อยากทำการรักษาใดๆทั้งสิ้นเพราะฉะนั้นก็จะนอนโรงแรมนอนห้องเดียวเท่านั้นที่ทั้งชีวิตเวลาเดินทางจะนอนแบบแบ็คแพ็คคือนอนโฮสเทลห้องรวม ส่วนการจัดทริปอาจจะดูงงๆ เพราะเส้นทางไม่ได้ดูปะติดปะต่อ หรือมีความละม้ายคล้ายคลึงกันแม้แต่น้อย เนื่องจากดูข้อจำกัดเรื่องวัคซีนและกลุ่มประเทศเสี่ยงสูงเป็นหลัก
travel toools/checklist
ฉะนั้นจะดูได้ว่าเข้าประเทศไหนได้หรือไม่ บางประเทศมี tool เป็นตัวช่วย screen เบื้องต้นค่ะว่า เราสามารถเข้าประเทศได้ไหม แต่การตัดสินใจขั้นสุดท้าย คือ ตม.นั่นเอง เค้าจะดูผลจาก PCR test เป็นหลักค่ะ เพราะฉะนั้นยังจำเป็นต้องรักษาเนื้อรักษาตัวขึ้นสูงสุดกันต่อไป เดี๋ยวเราจะลงรายละเอียดไว้ในรีวิวแต่ละประเทศน่าจะทำให้ข้อมูลชัดเจนขึ้น
วัคซีนพาสปอร์ต*
ก่อนที่เราจะเดินทางได้นั้นเราจำเป็นต้องขอวัคซีนพาสปอร์ตก่อน สมุดนี้จะเป็นสมุดเล่มเหลืองเล็กๆเป็นสมุดชนิดเดียวกันกับที่ใช้ฉีดไข้เหลืองนั่นเองค่ะ ข่าวที่ออกมาตอนนั้นบอกว่าตั้งแต่วันที่ 18 ตุลาคมเป็นต้นไปเขาจะให้ขอทางออนไลน์คุณหมอพร้อมเท่านั้นจะยกเลิกกัน walk in แล้วต้องนัดหมายเท่านั้นแต่ปัญหาคือจะนัดได้แค่วันละ 250 คนเท่านั้นที่สถาบันบําราศนราดูร ซึ่งถึงคนที่เดินทางมามีมากกว่านั้นอยู่แล้ว และที่เคยขอที่กรมควบคุมโรคจังหวัดนนทบุรีนอนแล้วก็เขตควบคุมเมืองรวมถึงที่สนามบินสุวรรณภูมิตอนนี้ก็คือเขาไม่รับแล้วปรากฏว่าปุ่มโทรไปเบอร์ตามที่กรมควบคุมโรคเขาประกาศไว้ใน facebook เขาเนาะที่เบอร์ 02 590 32 32 ประกวดโทรไม่ติดค่ะต้องโทรไปเบอร์กลางซึ่งเป็น 02 590 3000 ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่บอกว่าไม่ต้องโทรไป 3232 เพราะว่าเป็นคนละหน่วยงานกันให้โทรไป 590 30 34-35 แทน พอร้องเรื่องแปลว่าตอนนี้ระบบหมอพร้อมนั้นไม่ได้เลยเพราะว่ามันไปหมดแล้วจะทำยังไงดีทางเจ้าหน้าที่ในก็เลยบอกว่าให้ส่งอีเมลมาแทน ซึ่งดีใจมากที่ภาครัฐมีอีเมลใช้สักทีซึ่งจริงๆมันควรจะเป็นแบบนี้นานแล้วเนาะ 250คน limit ต่อวันคือมันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นตอนที่บอกว่าให้อีเมลขอพาสปอร์ตแบบวัคซีนเร่งด่วน vaccinepassport.thailand@gmail.com แทนซึ่งต้องรอเจ้าหน้าที่ติดต่อกลับอีกประมาณ 5 วันทำการ เราอีเมลไปหลังฉีดวัคซีนเลย ปรากฏว่าโชคดี จนท ติดต่อกลับมาทางอีเมลให้ไปแทรกคิววันที่ 1 ธค. สำนักงานอยู่ตรง bts เซ็นต์หลุยส์ ต้องมีใบนัดมาโชว์เค้าถึงจะให้เข้า ใช้เวลาประมาณ 15 นาทีเป็นอันได้สมุดเล่มเหลือง หรือ vaccine passport มาครอบครอง ต้องนำพาสปอร์ตไปด้วยและเมื่อได้เอกสารแล้วต้องตรวจดูความเรียบร้อยด้วยนะคะว่าชื่อ วันเกิด ข้อมูลวัคซีนถูกต้องไหม มีข่าวออกจากภาครัฐว่า ถ้าระบบหมอพร้อมได้การยอมรับและอนุมัติจากทาง สหภาพยุโรปแล้วให้สามารถใช้แทนกันได้เลย โดยเราไม่ต้องไปขอ convert เอกสารสำหรับใช้ใน EU Covid-19 digital certificate เริ่มใช้ได้มกรา 2022 นี้ ใครได้ทดลองแล้วมาเล่าสู่กันฟังด้วยนะ ชีวิตน่าจะง่ายขึ้นเยอะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
Thailand pass*
อันนี้ก็ไม่ยากแค่ต้องเข้าให้ถูกเว็บไซต์เท่านั้นเองเพราะตอนนี้มีมิจฉาชีพที่ซึ่งสร้าง URL ที่มันง่ายต่อการเข้าถึงมากกว่าเพราะฉะนั้นเราจะต้องขอ thailand pass จากเว็บไซต์นี้เท่านั้น https://tp.consular.go.th/ ไม่มีเว็บไซต์อื่นนะคะแต่ถ้าใกล้ถึงวันเดินทางอย่างเช่น วันก่อนการเดินทางแล้วยังไม่ได้ยินอะไรจากใครเลยให้ติดต่อไปที่ support@tp.consular.go.th ซึ่งส่วนมากอันนี้เห็นมาจากในห้อง thailand reopening ใน facebook ซึ่งฝรั่งเขาไปขอติดตามเรื่องจากอีเมลนี้เยอะเพราะว่าบางทีลงทะเบียนแล้วไม่ได้รับคำตอบหรือมันตกหล่นอะไรอ่ะคะอันนี้ก็คิดว่าจะเป็นประโยชน์นะ ควรขอก่อนกลับเมืองไทยอย่างต่ำสัก 10 วันนะ หรือสองอาทิตย์ได้ยิ่งดี
Test & Go quarantine free package
ซึ่งจะเป็น package รวมทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นค่ารับส่งค่าที่พัก 1 คืนค่าอาหารรวมให้ในบางโรงแรมนะคะแล้วก็ค่าตรวจ pcr ราคาก็จะแตกต่างกันไปตามแต่ระดับของโรงแรม เราเลือกง่ายก็จะเลือกที่ novotel airport ไปเลยซึ่งปกติแล้วตอนที่ดูโรงแรมอ่ะค่ะเขาจะตัดสินให้เขาจะขอดูว่าคือจะขอดูตั๋วเครื่องบินแล้วก็ใบรับรองการฉีดวัคซีนนะ อย่างไรก็ตามตอนนี้ Test & Go ถูก suspended ไปเรียบร้อยแล้ว และยังต้องรอติดตามต่อไปภายในสิ้นเดือนมกราคมนี้ ขอให้สถานการณ์เข้าสู่ปกติโดยเร็ว เพราะขาไปมีความร้างมาก แต่ขากลับมาสุวรรณภูมิดูดีมีชีวิตชีวาเป็นภาพที่ไม่ได้เห็นมาร่วมจะสองปีแล้ว
PCR Test
ส่วนมากทุกประเทศน่าจะ 99.99% ที่จะต้องโชว์ผลตรวจ pcr เมื่อไปถึงประเทศปลายทางเพราะฉะนั้นจังหวัดที่เราไปถึงประเทศปลายทางจะต้องอยู่ภายใน 72 ชั่วโมงซึ่งไม่เกิน 3 วันเพราะฉะนั้นเราก็ควรจะต้องหาโรงพยาบาลที่ตรวจนอกจากจะมีผลรับรอง pcr แล้วยังจะต้องมีใบรับรองแพทย์ซึ่งที่เราเคยได้ยินกันว่า fit to fly นั่นเอง ปกติราคาที่ไปตรวจต่างประเทศก็จะอยู่ที่ประมาณ 3,500 - 5,000 บาทตามแต่โรงพยาบาลค่ะ คลิปนี้ทั้งทริปเราก็น่าจะได้ตรวจประมาณ 4-5 รอบไม่ต่ำกว่านั้นแน่นอน เพิ่งมารู้ตอนหลังว่าไปต่างประเทศไม่ต้องขอ fit to fly นะ เปลือง แค่ RT-PCR พอ แล้วตรวจแบบ swab ทั้ง throat และ nasal คือคว้านคอและจมูกจะดีกว่า เราเลือกแพ็คเกจคอจมูกตลอด เป็นการ cross check ไปในตัว
Covid certificates และ application ติดตามตัว
ถ้าบ้านเรามีหมอพร้อมที่ต่างประเทศประเทศก็จะมี application ที่เราจะต้องดาวน์โหลดและเอกสารที่เราจะต้องโชว์ในการใช้บริการในประเทศนั้นๆเช่นเดียวกัน
ก่อนขึ้นเครื่อง
พอดีใช้สายการบิน qatar airways เพราะฉะนั้นเนี่ยทางสายการบินจะต้องให้เซ็น consent from ก่อนที่ consent form ที่จะส่งผลตรวจ pcr ให้กับประเทศปลายทางนั้นๆเพราะฉะนั้นไม่ว่าจะไปประเทศไหนทางสายการบินจะเช็คก่อนว่า entry requirements เข้าประเทศคืออะไร ถ้าเอกสารครบก็สบายหายห่วง แต่เกือบไปเหมือนกันเราต้องศึกษาดีๆ ข้อมูลต้องแน่นจะได้เถียงได้ เช่นกรณีก่อนบินไปการ์ต้า เพราะ ground staff บอกว่าฉีดยาไม่ครบสองโดสมีแค่ moderna โดสเดียว ต้องใช้ antibody test เราเลยบอกกับสต้าฟว่าไม่ต้องเพราะลงทะเบียนกับทางการ์ต้า และเอกสารผ่านหมดแล้ว ในกรณี ฉีด inactivated vaccine ที่ไม่ได้ตามด้วย MRNA 1 shot ต้องใช้ แต่ถ้าตามด้วย MRNA แล้วถือเป็น fully vaccinated. ก็คือผ่าน สต้าฟไปเช้คข้อมูลดูก้อขึ้นตามนี้น
อื่นๆ
เรื่อง gel alcohol/hand sanitizer ต่างๆ เราพกไป 5 หลอด แอลกอฮอลล์ 1 ขวด หน้ากากอนามัย 1 กล่อง (มี 50 อัน ผลัดใช้วันละไม่ต่ำกว่า 2-3 อัน) หน้ากาก N95 4-5 อัน ดีว่า Qatar Airways แจกถุงมือยางพาราด้วย ถ้าถามว่าในการเดินทางตรงไหนน่ากลัวติดสุด บอกเลยว่า บนเครื่องบิน โดยเฉพาะขาไปและขาออกจากประเทศไทย flight อย่างเต็ม ไม่มีที่ว่างเลย เพราะฉะนั้นเราทานข้าวมือเดียว 555 เป็นการลดความเสี่ยงการเปิดหน้ากาก ง่วงด้วยแระ แล้วก็ สวมถุงมือ ล้างมือบ่อยมาก ใส่หน้ากากสองชั้นอีก อาจจะเป็นเหตุผลนึงที่เราโชคดีไม่ติดโควิดด้วยนิสัยความอนามัยของเราเอง
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้