ผมโดนข้อหาเมาแล้วขับ
วันเกิดเหตุ
เรื่องมีอยู่ว่า วันที่ 31 ธ.ค. 64 ผมและแฟนเดินทางข้ามจังหวัดมาจากจังหวัดหนึ่งเพื่อมายังอีกจังหวัดหนึ่ง
อีกประมาณ 10กว่ากิโลจะถึงที่หมาย จึงได้จอดรถที่หน้าตลาดเพื่อซื้อของเข้าบ้านไปฉลองกับครอบครัว
ในการเดินทางนั้น ผมให้แฟนเป็นคนขับตั้งแต่ต้นทางจนถึงหน้าตลาดที่จอดซื้อของ(รู้ตัวว่าดื่มหนักเกือบเช้าอาจโดนเป่า)
เมื่อจอดรถที่หน้าตลาดแฟนที่เป็นคนขับรถจึงลงไปซื้อของ ตัวผมนอนอยู่เบาะผู้โดยสารด้านข้างคนขับ ผ่านไปสักพักมีเจ้าหน้าที่ตำรวจเดินมาเคาะกระจกด้านข้างคนขับ(ซึ่งผมก็นอนอยู่ตรงนั้น) ผมจึงเปิดกระจกลง คุยกับเจ้าหน้าที่
เนื้อหาใจความคือ * เจ้าหน้าที่แจ้งว่าจอดรถกีดขวางการจราจร,จะทำให้เกิดอันตราย ฯลฯ* ผมซึ่งเพิ่งตื่น (ด้วยบุคลิก หน้าตา ท่าทาง ฯลฯ และหรือผมอาจจะพูดไม่ได้เพราะกับเจ้าหน้าที่ (แต่ไม่มีคำหยาบคาย)) ด้วยความตกใจ(รถสายตรวจจอด จ่อท้ายรถ พร้อมกับตำรวจ 3-4 นาย)และกลัวว่าจะเกิดอุบัติเหตุ(รถจอดซ่อนเลนจริงๆ รถที่อยู่รอบๆไปเกือบหมดแล้ว(รู้หลังจากเกิดเหตุ เปิดกล้องหน้ารถดู)และด้วยกลัวความผิดเรื่องที่รถกีดขวางการจราจร จึงบอกเจ้าหน้าที่ว่าเดี๋ยวผมขยับรถให้ แล้วผมก็ได้ปีนจากด้านข้างคนขับมาที่ฝั่งคนขับแล้วย้ายรถเข้าชิดด้านข้าง(ระยะทางประมาณ 10-30 เมตร ไม่น่าจะเกินนี้)
หลังจากขยับรถชิดด้านข้างแล้วคิดว่าคงจะไม่มีอะไร แต่ไม่ใช่อย่างที่คิด รถสายตรวจขับตามมาแล้วจอดด้านหน้ารถผม ตำรวจนายหนึ่งเดินไปเปิดประตูด้านหลังรถสายตรวจ พร้อมกับหยิบเครื่องเป่าวัดปริมาณแอลกอฮอล์ยื่นให้กับตำรวจอีกนายที่เป็นคนขับ ตำรวจที่ถือเครื่องวัดปริมาณแอลกอฮอล์เดินพุ่งเข้ามาหาผมที่ฝั่งคนขับ ไม่ถามสารทุกข์สุขดิบผมสักคำ ประโยคแรกที่พูดคือ ขอวัดปริมาณแอลกอฮอล์ (ขอสรุปสันๆ ผมพยายามพูดทุกอย่าง แต่ไม่เป็นผล ต้องเป่า ปริมาณเกินจริงตามคาด 82 มิลิกรัมเปอร์เซ็นต์ จากนั้นให้เป่าเครื่องที่2 ที่มีใบปริ้นออกมา) จากนั้นก็เชิญตัวเข้าโรงพัก หลักจากเข้าโรงพักเจ้าหน้าที่ก็ยื่นใบบันทึกจับกุมมาให้เซ็นต์ แต่ผมก็ยังไม่เซ็นต์ และพยายามอธิบายให้เจ้าหน้าที่ท่านอื่นในโรงพักและชุดที่จับกุมฟัง ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแต่ก็ไม่เป็นผลเหมือนเดิม แต่คำตอบที่ได้คือ “คุณอยู่หลังพวงมลัยแล้วมันก็คือขับ””คุณเป่าปริมาณฯเกินก็คือเมา”
***เหตุผลใช้ไม่ได้ ผมจำต้องเข้าคุก*** (ระหว่างนั้นแฟนก็ติดต่อให้ญาติมาที่โรงพัก) หลังจากญาติมา ก็ได้ข้อสรุปเหมือนเดิมคือผิด กฎหมายเขียนไว้แบบนั้น.....เวลาผ่านไปเกือบ 3 ทุ่ม (ผมโดนจับเข้าคุกประมาณ 4 โมงกว่าๆ) ญาติเข้าไปคุยกับผมที่ห้องขังได้ใจความว่า หากอยากออกจากคุกวันนี้ ก็ต้องเซ็นต์รับสารภาพถึงจะทำเรื่องประกันตัวออกได้ให้รับๆสารภาพไปแค่ไปเสียค่าปรับที่ศาลแล้วก็จบ แต่หากปฏิเสธจะต้องทำเรื่องเยอะวันนี้อาจจะทำเรื่องประกันตัวไม่ทันต้องรอวันเปิดทำการหลังปีใหม่ฯลฯ หลังจากที่ผมได้รับข้อมูลจากญาติตามที่กล่าวมาผมจึงบอกให้ทำเรื่องประกันตัว ถือสะว่าเสียค่าปรับพาดเคราะห์
ปีใหม่ หลังจากนั้นจึงได้ออกมาจากคุกแล้วทำเรื่องประกันตัว พิมพ์ลายนิ้วมือ แต่บันทึกจับกุมที่ให้ผมเซ็นต์สารภาพไม่ตรงตามความจริง ผมจึงขอให้เจ้าหน้าที่แก้ไขให้ตรงตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง(แต่รายละเอียดยังไม่ครบถ้วนตามเหตุการณ์จริง (เจ้าหน้าที่แจ้งว่าไม่ขอลงรายะเอียด ว่าแฟนเป็นคนขับรถมา))แล้วจึงเซ็นต์รับสารภาพและกลับบ้าน
วันขึ้นศาล
เจ้าหน้าที่นัดให้ไปรอที่อัยการประมาณ 9 โมง ผมและญาติได้ไปรอตามกำหนดการ เวาลประมาณบ่ายโมง สิบโทได้นำสำนวนพร้อมกับผู้ต้องหาคนอื่นๆมาที่อัยการ และให้ทำการพิมพ์ลายนิ้วมือ รอขั้นตอนต่างๆเสร็จประมาณ 3 โมงกว่า แล้ว จนท.ก็ให้ไปรอที่ศาลแขวง รอจนถึงคิวผม ผู้พิพากษาอ่านคีดผมเสร็จ แล้วถามว่า สารภาพ หรือ ปฏิเสธ ผมจึงขออนุญาตท่านผู้พิพากษาอธิบายว่าที่ท่านอ่านมาไม่ตรงตามที่ผมให้ปากคำไว้และเซ็นต์สารภาพไว้ และผมจึงเล่าเหตุการณ์ตามที่เกิดให้ท่านฟัง
ท่านจึงถามย้ำว่าผมไม่ได้ขับมาตั้งแต่แรกจริงใช่ไม ผมจึงตอบตามความจริงว่าไม่ได้ขับ ผมเพียงแค่ขยับรถเข้าข้างทางตามเหตุการณ์ที่เกิด พร้อมกับถามท่านว่า “หากอ่านตามตัวหนังสือในกฎหมายผมผิดใช่ไม” ท่านตอบว่า “ใช่”
ท่านจึงขอพักคดีผมไว้ก่อนแล้วอ่านคดีคนอื่นก่อน หลังจากนั้นท่านเรียกผมมาอีกรอบ ท่านแจ้งหากผมต้องการพิสุจน์และสู้ก็ต้องหาหลักฐานมายื่นยัน แต่จะแพ้หรือชนะท่านก็ไม่ทราบ เพราะท่านก็ไม่เคยเจอเคสนี้ ตอนนั้นผมคิดว่าจะตัดสินใจสารภาพ เพื่อให้เรื่องมันจบๆไป แต่ผมก็นึกเสียใจและเสียความรู้สึกอยู่หลายอย่าง คือ
1.เหตุการณืที่เกิดขึ้น ผมไม่ได้มีเจตนาที่จะขับรถตั้งแต่แรกเลย(แต่เจอเหตุการณ์แบบนั้น ก็ผิดกฎหมายจริง)
2.แท้จริงแล้วเวลาที่พิจารณาคดี ท่านผู้พิพากษาท่านเชื่อเพียงตัวหนังสืออย่างเดียวหรือ?
3.ทำไมสำนวนของผมที่มาถึงศาลถึงไม่ตรงกับที่ผมเซ็นต์สารภาพ(หากตรงตามที่ผมสารภาพที่ สน.แล้วศาลตัดสินว่าผิด ผมก็จะยอมรับในตอนนั้นเลย)
4.ทำไม เจ้าหน้าที่ ที่ สน.ถึงไม่บอกรายละเอียดถึงโทษที่จะได้รับ (สน.แจ้งว่าเสียค่ารับอย่างเดียวจบ แต่ที่ศาลตัดสินไม่ใช่แบบนั้น)
หลังจากที่คิดอยู่พักหนึ่งผมจึงให้การปฏิเสธข้อหาไปเพื่อสู้คดีและหาหลักฐานมาพิสูจน์ตามที่ผมได้กล่าวมา
เรื่องที่ขอคำปรึกษาหรือเสนอแนะ
1.จากที่ผมกล่าวมาผมผิดมากน้อยเพียงได้
2.ผมต้องเตรียมตัวในการขึ้นศาลตรั้งต่อไปอย่างไร
3.หากผมถูกตัดสินว่าผิด(จากที่ผมกล่าวมา)ผมจะได้รับโทษสถานใดบ้าง
4.ผมต้องเตรียมเงินค่าใช้จ่ายประมาณเท่าไร
ข้อขอบคุณทุกท่านล้วงหน้านะครับ
*Note*
-รายละเอียดบางอย่างอาจตกหล่นไป แต่สาระสำคัญประมาณนี้
-ระหว่าเดินทางมีการจอดรถพักบางจุด แต่ผมไม่ได้ลงจากรถ นอนหลับบ้างตื่นบ้าง
ตื่น ขยับ = เมาแล้วขับ
วันเกิดเหตุ
เรื่องมีอยู่ว่า วันที่ 31 ธ.ค. 64 ผมและแฟนเดินทางข้ามจังหวัดมาจากจังหวัดหนึ่งเพื่อมายังอีกจังหวัดหนึ่ง
อีกประมาณ 10กว่ากิโลจะถึงที่หมาย จึงได้จอดรถที่หน้าตลาดเพื่อซื้อของเข้าบ้านไปฉลองกับครอบครัว
ในการเดินทางนั้น ผมให้แฟนเป็นคนขับตั้งแต่ต้นทางจนถึงหน้าตลาดที่จอดซื้อของ(รู้ตัวว่าดื่มหนักเกือบเช้าอาจโดนเป่า)
เมื่อจอดรถที่หน้าตลาดแฟนที่เป็นคนขับรถจึงลงไปซื้อของ ตัวผมนอนอยู่เบาะผู้โดยสารด้านข้างคนขับ ผ่านไปสักพักมีเจ้าหน้าที่ตำรวจเดินมาเคาะกระจกด้านข้างคนขับ(ซึ่งผมก็นอนอยู่ตรงนั้น) ผมจึงเปิดกระจกลง คุยกับเจ้าหน้าที่
เนื้อหาใจความคือ * เจ้าหน้าที่แจ้งว่าจอดรถกีดขวางการจราจร,จะทำให้เกิดอันตราย ฯลฯ* ผมซึ่งเพิ่งตื่น (ด้วยบุคลิก หน้าตา ท่าทาง ฯลฯ และหรือผมอาจจะพูดไม่ได้เพราะกับเจ้าหน้าที่ (แต่ไม่มีคำหยาบคาย)) ด้วยความตกใจ(รถสายตรวจจอด จ่อท้ายรถ พร้อมกับตำรวจ 3-4 นาย)และกลัวว่าจะเกิดอุบัติเหตุ(รถจอดซ่อนเลนจริงๆ รถที่อยู่รอบๆไปเกือบหมดแล้ว(รู้หลังจากเกิดเหตุ เปิดกล้องหน้ารถดู)และด้วยกลัวความผิดเรื่องที่รถกีดขวางการจราจร จึงบอกเจ้าหน้าที่ว่าเดี๋ยวผมขยับรถให้ แล้วผมก็ได้ปีนจากด้านข้างคนขับมาที่ฝั่งคนขับแล้วย้ายรถเข้าชิดด้านข้าง(ระยะทางประมาณ 10-30 เมตร ไม่น่าจะเกินนี้)
หลังจากขยับรถชิดด้านข้างแล้วคิดว่าคงจะไม่มีอะไร แต่ไม่ใช่อย่างที่คิด รถสายตรวจขับตามมาแล้วจอดด้านหน้ารถผม ตำรวจนายหนึ่งเดินไปเปิดประตูด้านหลังรถสายตรวจ พร้อมกับหยิบเครื่องเป่าวัดปริมาณแอลกอฮอล์ยื่นให้กับตำรวจอีกนายที่เป็นคนขับ ตำรวจที่ถือเครื่องวัดปริมาณแอลกอฮอล์เดินพุ่งเข้ามาหาผมที่ฝั่งคนขับ ไม่ถามสารทุกข์สุขดิบผมสักคำ ประโยคแรกที่พูดคือ ขอวัดปริมาณแอลกอฮอล์ (ขอสรุปสันๆ ผมพยายามพูดทุกอย่าง แต่ไม่เป็นผล ต้องเป่า ปริมาณเกินจริงตามคาด 82 มิลิกรัมเปอร์เซ็นต์ จากนั้นให้เป่าเครื่องที่2 ที่มีใบปริ้นออกมา) จากนั้นก็เชิญตัวเข้าโรงพัก หลักจากเข้าโรงพักเจ้าหน้าที่ก็ยื่นใบบันทึกจับกุมมาให้เซ็นต์ แต่ผมก็ยังไม่เซ็นต์ และพยายามอธิบายให้เจ้าหน้าที่ท่านอื่นในโรงพักและชุดที่จับกุมฟัง ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแต่ก็ไม่เป็นผลเหมือนเดิม แต่คำตอบที่ได้คือ “คุณอยู่หลังพวงมลัยแล้วมันก็คือขับ””คุณเป่าปริมาณฯเกินก็คือเมา”
***เหตุผลใช้ไม่ได้ ผมจำต้องเข้าคุก*** (ระหว่างนั้นแฟนก็ติดต่อให้ญาติมาที่โรงพัก) หลังจากญาติมา ก็ได้ข้อสรุปเหมือนเดิมคือผิด กฎหมายเขียนไว้แบบนั้น.....เวลาผ่านไปเกือบ 3 ทุ่ม (ผมโดนจับเข้าคุกประมาณ 4 โมงกว่าๆ) ญาติเข้าไปคุยกับผมที่ห้องขังได้ใจความว่า หากอยากออกจากคุกวันนี้ ก็ต้องเซ็นต์รับสารภาพถึงจะทำเรื่องประกันตัวออกได้ให้รับๆสารภาพไปแค่ไปเสียค่าปรับที่ศาลแล้วก็จบ แต่หากปฏิเสธจะต้องทำเรื่องเยอะวันนี้อาจจะทำเรื่องประกันตัวไม่ทันต้องรอวันเปิดทำการหลังปีใหม่ฯลฯ หลังจากที่ผมได้รับข้อมูลจากญาติตามที่กล่าวมาผมจึงบอกให้ทำเรื่องประกันตัว ถือสะว่าเสียค่าปรับพาดเคราะห์
ปีใหม่ หลังจากนั้นจึงได้ออกมาจากคุกแล้วทำเรื่องประกันตัว พิมพ์ลายนิ้วมือ แต่บันทึกจับกุมที่ให้ผมเซ็นต์สารภาพไม่ตรงตามความจริง ผมจึงขอให้เจ้าหน้าที่แก้ไขให้ตรงตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง(แต่รายละเอียดยังไม่ครบถ้วนตามเหตุการณ์จริง (เจ้าหน้าที่แจ้งว่าไม่ขอลงรายะเอียด ว่าแฟนเป็นคนขับรถมา))แล้วจึงเซ็นต์รับสารภาพและกลับบ้าน
วันขึ้นศาล
เจ้าหน้าที่นัดให้ไปรอที่อัยการประมาณ 9 โมง ผมและญาติได้ไปรอตามกำหนดการ เวาลประมาณบ่ายโมง สิบโทได้นำสำนวนพร้อมกับผู้ต้องหาคนอื่นๆมาที่อัยการ และให้ทำการพิมพ์ลายนิ้วมือ รอขั้นตอนต่างๆเสร็จประมาณ 3 โมงกว่า แล้ว จนท.ก็ให้ไปรอที่ศาลแขวง รอจนถึงคิวผม ผู้พิพากษาอ่านคีดผมเสร็จ แล้วถามว่า สารภาพ หรือ ปฏิเสธ ผมจึงขออนุญาตท่านผู้พิพากษาอธิบายว่าที่ท่านอ่านมาไม่ตรงตามที่ผมให้ปากคำไว้และเซ็นต์สารภาพไว้ และผมจึงเล่าเหตุการณ์ตามที่เกิดให้ท่านฟัง
ท่านจึงถามย้ำว่าผมไม่ได้ขับมาตั้งแต่แรกจริงใช่ไม ผมจึงตอบตามความจริงว่าไม่ได้ขับ ผมเพียงแค่ขยับรถเข้าข้างทางตามเหตุการณ์ที่เกิด พร้อมกับถามท่านว่า “หากอ่านตามตัวหนังสือในกฎหมายผมผิดใช่ไม” ท่านตอบว่า “ใช่”
ท่านจึงขอพักคดีผมไว้ก่อนแล้วอ่านคดีคนอื่นก่อน หลังจากนั้นท่านเรียกผมมาอีกรอบ ท่านแจ้งหากผมต้องการพิสุจน์และสู้ก็ต้องหาหลักฐานมายื่นยัน แต่จะแพ้หรือชนะท่านก็ไม่ทราบ เพราะท่านก็ไม่เคยเจอเคสนี้ ตอนนั้นผมคิดว่าจะตัดสินใจสารภาพ เพื่อให้เรื่องมันจบๆไป แต่ผมก็นึกเสียใจและเสียความรู้สึกอยู่หลายอย่าง คือ
1.เหตุการณืที่เกิดขึ้น ผมไม่ได้มีเจตนาที่จะขับรถตั้งแต่แรกเลย(แต่เจอเหตุการณ์แบบนั้น ก็ผิดกฎหมายจริง)
2.แท้จริงแล้วเวลาที่พิจารณาคดี ท่านผู้พิพากษาท่านเชื่อเพียงตัวหนังสืออย่างเดียวหรือ?
3.ทำไมสำนวนของผมที่มาถึงศาลถึงไม่ตรงกับที่ผมเซ็นต์สารภาพ(หากตรงตามที่ผมสารภาพที่ สน.แล้วศาลตัดสินว่าผิด ผมก็จะยอมรับในตอนนั้นเลย)
4.ทำไม เจ้าหน้าที่ ที่ สน.ถึงไม่บอกรายละเอียดถึงโทษที่จะได้รับ (สน.แจ้งว่าเสียค่ารับอย่างเดียวจบ แต่ที่ศาลตัดสินไม่ใช่แบบนั้น)
หลังจากที่คิดอยู่พักหนึ่งผมจึงให้การปฏิเสธข้อหาไปเพื่อสู้คดีและหาหลักฐานมาพิสูจน์ตามที่ผมได้กล่าวมา
เรื่องที่ขอคำปรึกษาหรือเสนอแนะ
1.จากที่ผมกล่าวมาผมผิดมากน้อยเพียงได้
2.ผมต้องเตรียมตัวในการขึ้นศาลตรั้งต่อไปอย่างไร
3.หากผมถูกตัดสินว่าผิด(จากที่ผมกล่าวมา)ผมจะได้รับโทษสถานใดบ้าง
4.ผมต้องเตรียมเงินค่าใช้จ่ายประมาณเท่าไร
ข้อขอบคุณทุกท่านล้วงหน้านะครับ
*Note*
-รายละเอียดบางอย่างอาจตกหล่นไป แต่สาระสำคัญประมาณนี้
-ระหว่าเดินทางมีการจอดรถพักบางจุด แต่ผมไม่ได้ลงจากรถ นอนหลับบ้างตื่นบ้าง