ปีใหม่ 65 มกราคม นี้ อาจเป็นปีที่หลายคนมีความสุข แฮปปี้ สมหวังหลายอย่าง แต่ไม่ใช่กับครอบครัวเรา
ปีใหม่ 63 มกราคม ช่วงโควิดเริ่มเข้าประเทศไทยแรกๆ เราสูญเสียคุณพ่อตา (พ่อภรรยาของผม) จัดงานศพเสร็จโควิดก็เข้าเลย โชคยังดีที่ได้จัดงาน
ผ่านมา 2 ปี คิดว่าอะไรๆ จะดีขึ้น เปล่าเลย ปีใหม่ทุกครั้งเราต้องเริ่มนับ 1 ใหม่ ค้าขายไม่ได้กำไร ธุรกิจพัง ต้องเริ่มต้นธุรกิจใหม่ทุกปีเพราะต้องปรับไปตามยุคและพิษเศรษฐกิจ เรื่องนี้มันไม่เป็นปัญหานักถ้าอยู่แต่กับครอบครัวเรา แต่ปัญหาคือญาติๆ
เริ่มปี 65 มาได้ 2 วัน แม่ภรรยา (แม่ยายผม) ต้องเข้า รพ. อาการเป็นตายเท่ากัน สาเหตุคือเส้นเลือดในสมองแตก (อายุ 79 ปี 65 นี้)
พอท่านไม่อยู่ ปัญหาต่างๆ ที่คอยท่าจะประดังเข้ามา ก็เหมือนแหวกเข้ามาง่ายดาย
1. บ้านเราไม่เหลือญาติผู้ใหญ่อีก โดยเฉพาะภรรยาผม
2. เราไม่เหลือใครอยู่กับเด็กๆ เพราะต้องออกไปทำงานกันหมด (เด็กอายุ 8 ขวบกับ 13 ขวบ)
3. ช่วงโควิดมันก็ดี เด็กๆ เรียนออนไลน์ที่บ้าน แม้มีแม่อยู่คนเดียวแต่ยังดีที่มีเด็กๆ คอยช่วยดู แต่เดิมแกอยู่คนเดียว มีเพื่อนบ้านแวะมาหาสองสามวันครั้ง
บอกก่อนว่าบ้านเราเป็นบ้านสวน มีพื้นที่ใหญ่ประมาณ 1 ไร่เศษ มีรั้ว 3 ด้าน อีกด้านกำลังทำ แต่ยังไม่มีปัจจัยพอ บ้านใกล้ที่สุดอยู่ห่างออกไป 300 เมตร ที่บ้านอยู่กัน 6 คน และมีหมา 8 ตัว ดุๆ ทั้งนั้น เลี้ยงแบบปล่อย 6 ตัว (แต่ก็วิ่งเล่นบริเวณบ้านไม่ไปกวนใคร) แบบจำกัดให้อยู่ในบ้าน 2 ตัวและมีแมวอีก 2 ตัว กระต่าย 4 เต่า 3 อยู่ในสวนนั่นแหละ อยู่กันเป็นสัดส่วนไม่มีปัญหา
ช่วงแรกตอนเด็กไปเรียน แม่ที่เป็นคนแก่คนเดียวเราก็ห่วง อาศัยไหว้วานคนแถวบ้านมาช่วยดูช่วยคุยตอนเราไม่อยู่เพราะต้องออกไปทำงาน แฟนผมทำงานใกล้บ้าน เลิกงานเร็วก็จะรีบกลับ ไม่เกิน 5 โมงเย็น ส่วนผมเลิก 6 โมงกว่าจะกลับถึงบ้านก็ค่ำ เพราะต้องไปรับส่งเด็กๆ ไปเรียน มีพี่เขยทำงานใกล้บ้าน กลับมากินข้าวเที่ยงที่บ้านเค้าทุกวัน ก็วานแวะมาดูที่บ้านได้เพราะเป็นทางผ่านไปทำงาน เป็นแบบนี้
โควิดมาก็ดีที่เด็กๆ ได้อยู่เป็นเพื่อนยาย
แต่ปีใหม่นี้ ยายจะไม่อยู่บ้านแล้ว... คุยกับเด็กๆ แล้ว..ว่ายายอาจไม่ได้อยู่ด้วยแล้วนะ ซึ่งเค้าก็รับรู้ เพราะเคยมีประสบการณ์จากคุณตาเค้าเมื่อ 2 ปีก่อน
ปัญหาคือ ผมจะให้เด็กๆ อยู่บ้านระหว่างเรียนออนไลน์ ซึ่งปกติเด็กๆ ก็อยู่ได้ จัดการตัวเองได้ ทำอาหารกินกันเองได้ คนพี่สามารถดูแลน้องได้ ดูแลยายได้ พอยายไม่อยู่ เด็กๆ อาจต้องอยู่กับลำพังสองคน ช่วง 9 โมงเช้าถึง 5 โมงเย็น
ทีนี้ พอยายป่วยเป็นตายเท่ากัน ญาติจะให้เด็กๆ ไปอยู่บ้านเค้า ห่างออกไป 2 กม. คนละฝั่งคลอง อาจไปเรียนออนไลน์บ้านเค้า กินอยู่ช่วงกลางวันที่บ้านเค้าด้วย แล้วต้องทิ้งบ้านและทุกอย่างไปช่วงกลางวัน
มีปัญหาเลย ผมไม่ยอมให้ไป เพราะผมรู้แน่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
1. มีค่าใช้จ่ายเพิ่มแน่ๆ เพราะตอนผมตกงานไปขอใช้เน็ตบ้านเค้าทำงานฟรีแล้นซ์ วันละ 2-3 ชม. อาทิตย์นึง 3-4 วัน ก็ต้องจ่ายค่าเน็ต แล้วเด็กๆ ไปอยู่บ้านเค้า ซึ่งก็ไม่รู้ว่ายาวนานแค่ไหน ต้องมีทวงบุญคุญกันแน่นอน ค่าใช้จ่ายอาจเกิดขึ้นหลักพันต่อเดือน แต่อยู่บ้านมันฟิกค่าใช้จ่ายไปแล้วไม่ต้องเพิ่ม
2. หมา แมว กระต่าย เต่า และบ้าน ต้องทิ้งไปไม่มีคนดูช่วงกลางวัน มีปัญหาแน่ โดยเฉพาะเจ้า 2 ตัวในบ้านที่ต้องการพัดลมตลอดเวลา แถมอาจทำลายข้าวของ ขี้เยี่ยวเต็มบ้าน เพราะถ้าเด็กๆ อยู่ ตอนพักจะพาสัตว์เลี้ยงออกไปทำธุระได้ และจัดการกับสัตว์เลี้ยงในบ้านได้ดี
3. กลัวโดนโจรขึ้นบ้านมาก เพราะบ้านก็ยังไม่สมบูรณ์ หาเงินทำไปเรื่อยๆ ไม่ได้มีรั้วรอบขอบชิดแบบแข็งแรงมาก
4. ฯลฯ อย่างไรมีคนอยู่ก็ดีกว่าไม่มี
ผมจะคุยกับภรรยายังไงให้เธอเข้าใจเหตุผล ภรรยาผมบอกว่าจะให้เด็กๆ ไปอยู่กับญาติท่าเดียว
ขอโทษด้วยนะครับ พิมพ์ยาว วกไปวนมา ตอนนี้ผมเองก็สับสนมาก หาเงินเตรียมสำหรับงานฌาปณกิจที่อาจจะตามมา 4-5 หมื่นมั้ง คราวที่แล้วก็งบประมาณนี้ ตอนนี้มีติดตัวไม่ถึงหมื่น (เพราะปีนี้โบนัสไม่มี) แล้วก็เตรียมใจกับอาการตกใจของตัวเอง และลูกๆ อีก ผมก็หลอนๆ เข้าในสวนทีไรน้ำตาไหลทุกที เพราะทุกทีที่เข้า จะเจอแม่ยายคอยนั่งถอนหญ้า ทำโน่นทำนี่ทุกครั้ง ขาดแกไปคนนึงที่เหมือนร่มไม้ใหญ่ มันทำอะไรไม่ถูก
ตอนนี้ผมก็กลัวภรรยาผมเป็นซึมเศร้ามากๆ เหมือนเธอจะกลัวปีใหม่ไปเลย ชอบพูดคนเดียว บ่นๆ ว่าทำไมปีใหม่ต้องแบบนี้ ไม่อยากให้ถึงปีใหม่ โชคดีช่วงหยุดยาวเลยไม่ต้องไปทำงาน แต่เธอก็เอาแต่เงียบ นอน บางทีก็นั่งร้องไห้ แต่ก็ยังพยายามทำงานบ้านที่เธอทำปกติบ้าง ผมกับเด็กๆ ก็ไม่ยอมให้ห่าง ช่วยจัดการทุกอย่างที่ช่วยได้ แต่ตอนนี้ผมถึงวันทำงานแล้วต้องออกมาทำงาน
ถ้าเธอถึงวันทำงานด้วยก็คงเครียดอีก ผมจะคุยกับภรรยายังไงให้เธอเข้าใจเหตุผล เด็กๆ เราฝึกเค้ามาเก่งมากที่จะช่วยเหลือตัวเองได้ ทำกับข้าวได้ หุงข้าวเองได้ คนเล็กแค่ ป.2 ก็ทอดไข่กินเองได้แล้ว หุงข้าวเองได้แล้ว ใช้เครื่องซักผ้าได้แล้ว คนโตไม่ต้องพูดเยอะ ทำกับข้าวอร่อยกว่าผมอีก
ปัญหาแค่ไม่มีผู้ใหญ่อยู่ด้วยเท่านั้น ญาติผมก็ไม่มี พ่อแม่ผมตายไปนานแล้วเลยทำใจได้ ตอนนี้ถึงคราวแฟนที่ต้องสูญเสีย ผมก็เครียด บางทีผมเองที่อาจเป็นซึมเศร้า ไม่รู้ต้องทำยังไงต่อไป จะลาออกจากงานก็ไม่มีเงินใช้แน่ ไหนจะค่าเทอม ค่ากินอยู่ ส่วนแฟนเพิ่งจะได้บรรจุข้าราชการ จะให้เธอออกมาตอนนี้เสียดายโอกาสที่รอมาตั้งหลายสิบปี
ไม่รู้ผมต้องทำยังไง นั่งพิมพ์ไปก็คิดไม่ถูกว่าจะอธิบายกับญาติแฟน กับแฟนยังไงว่าเด็กๆ อยู่เองได้ ถ้าโชคร้ายมีโจรขโมยมาตอนเด็กๆ อยู่ ก็คงแล้วแต่บุญกรรม แต่เรื่องนั้นผมไม่กลัวเพราะหมาบ้านผมน่าจะเอาอยู่ กลัวพวกไฟไหม้มากกว่า ถ้าต้องเปิดอะไรทิ้งไว้แล้วไม่มีคนอยู่
ทีนี้ถ้าเด็กๆ ต้องไปโรงเรียน บ้านก็คงต้องทิ้งเหมือนการเอาเด็กๆ ไปไว้บ้านญาติอีกนั่นแหละ หรือว่าให้เด็กไปบ้านญาติตั้งแต่ตอนนี้เลย
บอกตรงๆ ผมเครียดมากครับ
ขอโทษถ้าพิมพ์แล้วงง ยังทำใจเรื่องแม่แฟนไม่ได้ ปัญหาหลายอย่างประดังมาไม่ทันตั้งตัวเลย
ปรึกษาทางออกเรื่องครอบครัวหน่อยครับ
ปีใหม่ 63 มกราคม ช่วงโควิดเริ่มเข้าประเทศไทยแรกๆ เราสูญเสียคุณพ่อตา (พ่อภรรยาของผม) จัดงานศพเสร็จโควิดก็เข้าเลย โชคยังดีที่ได้จัดงาน
ผ่านมา 2 ปี คิดว่าอะไรๆ จะดีขึ้น เปล่าเลย ปีใหม่ทุกครั้งเราต้องเริ่มนับ 1 ใหม่ ค้าขายไม่ได้กำไร ธุรกิจพัง ต้องเริ่มต้นธุรกิจใหม่ทุกปีเพราะต้องปรับไปตามยุคและพิษเศรษฐกิจ เรื่องนี้มันไม่เป็นปัญหานักถ้าอยู่แต่กับครอบครัวเรา แต่ปัญหาคือญาติๆ
เริ่มปี 65 มาได้ 2 วัน แม่ภรรยา (แม่ยายผม) ต้องเข้า รพ. อาการเป็นตายเท่ากัน สาเหตุคือเส้นเลือดในสมองแตก (อายุ 79 ปี 65 นี้)
พอท่านไม่อยู่ ปัญหาต่างๆ ที่คอยท่าจะประดังเข้ามา ก็เหมือนแหวกเข้ามาง่ายดาย
1. บ้านเราไม่เหลือญาติผู้ใหญ่อีก โดยเฉพาะภรรยาผม
2. เราไม่เหลือใครอยู่กับเด็กๆ เพราะต้องออกไปทำงานกันหมด (เด็กอายุ 8 ขวบกับ 13 ขวบ)
3. ช่วงโควิดมันก็ดี เด็กๆ เรียนออนไลน์ที่บ้าน แม้มีแม่อยู่คนเดียวแต่ยังดีที่มีเด็กๆ คอยช่วยดู แต่เดิมแกอยู่คนเดียว มีเพื่อนบ้านแวะมาหาสองสามวันครั้ง
บอกก่อนว่าบ้านเราเป็นบ้านสวน มีพื้นที่ใหญ่ประมาณ 1 ไร่เศษ มีรั้ว 3 ด้าน อีกด้านกำลังทำ แต่ยังไม่มีปัจจัยพอ บ้านใกล้ที่สุดอยู่ห่างออกไป 300 เมตร ที่บ้านอยู่กัน 6 คน และมีหมา 8 ตัว ดุๆ ทั้งนั้น เลี้ยงแบบปล่อย 6 ตัว (แต่ก็วิ่งเล่นบริเวณบ้านไม่ไปกวนใคร) แบบจำกัดให้อยู่ในบ้าน 2 ตัวและมีแมวอีก 2 ตัว กระต่าย 4 เต่า 3 อยู่ในสวนนั่นแหละ อยู่กันเป็นสัดส่วนไม่มีปัญหา
ช่วงแรกตอนเด็กไปเรียน แม่ที่เป็นคนแก่คนเดียวเราก็ห่วง อาศัยไหว้วานคนแถวบ้านมาช่วยดูช่วยคุยตอนเราไม่อยู่เพราะต้องออกไปทำงาน แฟนผมทำงานใกล้บ้าน เลิกงานเร็วก็จะรีบกลับ ไม่เกิน 5 โมงเย็น ส่วนผมเลิก 6 โมงกว่าจะกลับถึงบ้านก็ค่ำ เพราะต้องไปรับส่งเด็กๆ ไปเรียน มีพี่เขยทำงานใกล้บ้าน กลับมากินข้าวเที่ยงที่บ้านเค้าทุกวัน ก็วานแวะมาดูที่บ้านได้เพราะเป็นทางผ่านไปทำงาน เป็นแบบนี้
โควิดมาก็ดีที่เด็กๆ ได้อยู่เป็นเพื่อนยาย
แต่ปีใหม่นี้ ยายจะไม่อยู่บ้านแล้ว... คุยกับเด็กๆ แล้ว..ว่ายายอาจไม่ได้อยู่ด้วยแล้วนะ ซึ่งเค้าก็รับรู้ เพราะเคยมีประสบการณ์จากคุณตาเค้าเมื่อ 2 ปีก่อน
ปัญหาคือ ผมจะให้เด็กๆ อยู่บ้านระหว่างเรียนออนไลน์ ซึ่งปกติเด็กๆ ก็อยู่ได้ จัดการตัวเองได้ ทำอาหารกินกันเองได้ คนพี่สามารถดูแลน้องได้ ดูแลยายได้ พอยายไม่อยู่ เด็กๆ อาจต้องอยู่กับลำพังสองคน ช่วง 9 โมงเช้าถึง 5 โมงเย็น
ทีนี้ พอยายป่วยเป็นตายเท่ากัน ญาติจะให้เด็กๆ ไปอยู่บ้านเค้า ห่างออกไป 2 กม. คนละฝั่งคลอง อาจไปเรียนออนไลน์บ้านเค้า กินอยู่ช่วงกลางวันที่บ้านเค้าด้วย แล้วต้องทิ้งบ้านและทุกอย่างไปช่วงกลางวัน
มีปัญหาเลย ผมไม่ยอมให้ไป เพราะผมรู้แน่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
1. มีค่าใช้จ่ายเพิ่มแน่ๆ เพราะตอนผมตกงานไปขอใช้เน็ตบ้านเค้าทำงานฟรีแล้นซ์ วันละ 2-3 ชม. อาทิตย์นึง 3-4 วัน ก็ต้องจ่ายค่าเน็ต แล้วเด็กๆ ไปอยู่บ้านเค้า ซึ่งก็ไม่รู้ว่ายาวนานแค่ไหน ต้องมีทวงบุญคุญกันแน่นอน ค่าใช้จ่ายอาจเกิดขึ้นหลักพันต่อเดือน แต่อยู่บ้านมันฟิกค่าใช้จ่ายไปแล้วไม่ต้องเพิ่ม
2. หมา แมว กระต่าย เต่า และบ้าน ต้องทิ้งไปไม่มีคนดูช่วงกลางวัน มีปัญหาแน่ โดยเฉพาะเจ้า 2 ตัวในบ้านที่ต้องการพัดลมตลอดเวลา แถมอาจทำลายข้าวของ ขี้เยี่ยวเต็มบ้าน เพราะถ้าเด็กๆ อยู่ ตอนพักจะพาสัตว์เลี้ยงออกไปทำธุระได้ และจัดการกับสัตว์เลี้ยงในบ้านได้ดี
3. กลัวโดนโจรขึ้นบ้านมาก เพราะบ้านก็ยังไม่สมบูรณ์ หาเงินทำไปเรื่อยๆ ไม่ได้มีรั้วรอบขอบชิดแบบแข็งแรงมาก
4. ฯลฯ อย่างไรมีคนอยู่ก็ดีกว่าไม่มี
ผมจะคุยกับภรรยายังไงให้เธอเข้าใจเหตุผล ภรรยาผมบอกว่าจะให้เด็กๆ ไปอยู่กับญาติท่าเดียว
ขอโทษด้วยนะครับ พิมพ์ยาว วกไปวนมา ตอนนี้ผมเองก็สับสนมาก หาเงินเตรียมสำหรับงานฌาปณกิจที่อาจจะตามมา 4-5 หมื่นมั้ง คราวที่แล้วก็งบประมาณนี้ ตอนนี้มีติดตัวไม่ถึงหมื่น (เพราะปีนี้โบนัสไม่มี) แล้วก็เตรียมใจกับอาการตกใจของตัวเอง และลูกๆ อีก ผมก็หลอนๆ เข้าในสวนทีไรน้ำตาไหลทุกที เพราะทุกทีที่เข้า จะเจอแม่ยายคอยนั่งถอนหญ้า ทำโน่นทำนี่ทุกครั้ง ขาดแกไปคนนึงที่เหมือนร่มไม้ใหญ่ มันทำอะไรไม่ถูก
ตอนนี้ผมก็กลัวภรรยาผมเป็นซึมเศร้ามากๆ เหมือนเธอจะกลัวปีใหม่ไปเลย ชอบพูดคนเดียว บ่นๆ ว่าทำไมปีใหม่ต้องแบบนี้ ไม่อยากให้ถึงปีใหม่ โชคดีช่วงหยุดยาวเลยไม่ต้องไปทำงาน แต่เธอก็เอาแต่เงียบ นอน บางทีก็นั่งร้องไห้ แต่ก็ยังพยายามทำงานบ้านที่เธอทำปกติบ้าง ผมกับเด็กๆ ก็ไม่ยอมให้ห่าง ช่วยจัดการทุกอย่างที่ช่วยได้ แต่ตอนนี้ผมถึงวันทำงานแล้วต้องออกมาทำงาน
ถ้าเธอถึงวันทำงานด้วยก็คงเครียดอีก ผมจะคุยกับภรรยายังไงให้เธอเข้าใจเหตุผล เด็กๆ เราฝึกเค้ามาเก่งมากที่จะช่วยเหลือตัวเองได้ ทำกับข้าวได้ หุงข้าวเองได้ คนเล็กแค่ ป.2 ก็ทอดไข่กินเองได้แล้ว หุงข้าวเองได้แล้ว ใช้เครื่องซักผ้าได้แล้ว คนโตไม่ต้องพูดเยอะ ทำกับข้าวอร่อยกว่าผมอีก
ปัญหาแค่ไม่มีผู้ใหญ่อยู่ด้วยเท่านั้น ญาติผมก็ไม่มี พ่อแม่ผมตายไปนานแล้วเลยทำใจได้ ตอนนี้ถึงคราวแฟนที่ต้องสูญเสีย ผมก็เครียด บางทีผมเองที่อาจเป็นซึมเศร้า ไม่รู้ต้องทำยังไงต่อไป จะลาออกจากงานก็ไม่มีเงินใช้แน่ ไหนจะค่าเทอม ค่ากินอยู่ ส่วนแฟนเพิ่งจะได้บรรจุข้าราชการ จะให้เธอออกมาตอนนี้เสียดายโอกาสที่รอมาตั้งหลายสิบปี
ไม่รู้ผมต้องทำยังไง นั่งพิมพ์ไปก็คิดไม่ถูกว่าจะอธิบายกับญาติแฟน กับแฟนยังไงว่าเด็กๆ อยู่เองได้ ถ้าโชคร้ายมีโจรขโมยมาตอนเด็กๆ อยู่ ก็คงแล้วแต่บุญกรรม แต่เรื่องนั้นผมไม่กลัวเพราะหมาบ้านผมน่าจะเอาอยู่ กลัวพวกไฟไหม้มากกว่า ถ้าต้องเปิดอะไรทิ้งไว้แล้วไม่มีคนอยู่
ทีนี้ถ้าเด็กๆ ต้องไปโรงเรียน บ้านก็คงต้องทิ้งเหมือนการเอาเด็กๆ ไปไว้บ้านญาติอีกนั่นแหละ หรือว่าให้เด็กไปบ้านญาติตั้งแต่ตอนนี้เลย
บอกตรงๆ ผมเครียดมากครับ
ขอโทษถ้าพิมพ์แล้วงง ยังทำใจเรื่องแม่แฟนไม่ได้ ปัญหาหลายอย่างประดังมาไม่ทันตั้งตัวเลย