เป็นวันที่ เดอะ ค็อป ต้องยอมรับผลการแข่งขันแบบเจื่อนๆและในสภาพอิดโรย (จบตี 5) เพราะฟอร์มของ ลิเวอร์พูล ที่ คิง พาวเวอร์ สเตเดียม เป็นอะไรที่น่าสมเพชอย่างที่สุด
เลสเตอร์ ขาดผู้เล่นชุดใหญ่ถึง 8 ตัวแถมพักมาแค่ 51 ชั่วโมง (ผิดกับหงส์ที่สดยาวๆร่วม 10 วันและ full team) ใครเห็นก็ฟันธงว่า “เละ” แต่การเล่นที่ "เละกว่า" ของฝั่ง ลิเวอร์พูล เหมือนไปกระตุ้นความมั่นใจให้นักเตะ “จิ้งจอก” เต็มๆ
การพลาดจุดโทษของ โม ซาลาห์ พลิกโฉมของเกมที่เหลือแทบจะทันที สังเกตได้ว่าเด็กๆของ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส เหมือนได้พลังส่งกลับมาว่าวันนี้กำลังจะเป็นของพวกเขา
กลับกัน ซาลาห์ ส่งต่อความ “กาว” ไปยังเพื่อนคนอื่นๆจนจังหวะบอล “ลักลั่น” ทีเด็ดทีขาดในเขตโทษคือศูนย์ หลายๆจังหวะแป๊กและตัดสินใจพลาดไปหมด, การเปิดบอลริมเส้นที่เป็นจุดขายเรดาร์พัง
ในขณะที่ ซาดิโอ มาเน่ ซึ่งส่อแววออกทะเลตั้งแต่ต้นเกม (จับบอลลั่น, ดึงช้า, เสียบอลง่าย) ก็เป็นอีกคนในแนวรุกที่หมดสภาพ
โอกาสจะแจ้งที่สุดในเกมนี้ (หากไม่นับจุดโทษของ ซาลาห์) ก็เป็น มาเน่ ที่หลุดล่อเป้าวางเท้ายิงเหน่งๆแต่กลับข้ามคาน
เมื่อทำไม่ได้เองก็เข้าสูตรสำเร็จเมื่อ เลสเตอร์ ได้ยิงตรงกรอบหนแรกเป็นประตูทันทีจาก อเดโมล่า ลุ๊คแมน ตัวสำรองที่ BR เพิ่งเปลี่ยนลงมาอยู่ในสนามได้แค่ 3 นาทีเท่านั้น
สิ่งที่ตอกย้ำความ “ย่ำแย่” ในการจบสกอร์ของฝั่ง ลิเวอร์พูล คือได้เตะมุมมากถึง 12 ครั้งแต่ทำอะไรไม่ได้ทั้งๆที่ “จิ้งจอก” มีสถิติเสียประตูจากลูกเซ็ตพีซมากที่สุดใน พรีเมียร์ลีก คือ 12 ประตูและเพิ่งแจก “เตะมุม” ให้ แมนฯซิตี้ ไป 3 ลูกเน้นๆ
มากไปกว่านั้นซีซั่นนี้ เลสเตอร์ หลังรั่วมากโดย 7 เกมหลังสุดโดนยิงเละเทะ 18 ลูก เฉลี่ยแล้วเกือบนัดละ 3 โดย 9 ประตูที่เสียไปมาจาก 2 เกมหลังสุดด้วยซ้ำ
ผมไม่ได้คิดขโมยเครดิตของ เลสเตอร์ ด้วยการโยนผลแพ้ชนะในวันนี้ไปอิงกับฟอร์มของฝั่ง ลิเวอร์พูล นะครับ
แต่อย่างที่ผมแตะไปที่พารากราฟที่ 2 ถึงการเล่นของ “หงส์แดง” ไปผลักดัน เลสเตอร์ ให้รู้สึกว่า “รองจ่าฝูง” เล่นได้แค่นี้ตรูจะไปหงอทำไม
สังเกตได้เลยครับว่าการเข้าบอลทั้งหนักและแน่น ตามขยี้จนบอลไม่ตายไม่มีเลิกรวมถึงการเข้า “บล็อก” ในเขตโทษแม่นยำเต็มไปด้วย passion (ไม่นับลูกจุดโทษที่เสียนะ ฮา)
แมนฯซิตี้ ใช้เวลาเบิกสกอร์แรกใส่ “จิ้งจอก” แค่ 5 นาทีหรือลากมาตบกลางสี่แยกให้เจ็บกว่านี้คือลูกทีม เป๊ป ยิง 4 ลูกในเวลาแค่ 25 นาที
โอกาสที่ควรนำ 1-0 และ 2-0 ของ ซาลาห์ และ มาเน่ ผ่านไปแล้วเรียกกลับมาไม่ได้
มันมีผลที่ตามมาคือจากที่มีพื้นที่น้อยเล่นยากอยู่แล้วก็ยากเข้าไปอีก คู่แข่งเขาขึ้นนำก็ต้องลงไปอุดเพื่อรักษาของที่เขาเพิ่งได้มา
อีกคนที่ไม่เอ่ยถึงไม่ได้เลยคือ แคสเคอร์ ชไมเคิ่ล ที่คว้า แมน ออฟ เดอะ แมทช์ แบบนอนมาเพราะแกคือคนที่หยุดลูกยิงที่ควรเป็นประตู 3-4 ครั้งจะๆ
ถึงขนาดที่ “พี่ห้อย” เธียร์รี่ อองรี เอ่ยปากชมว่าถ้าไม่มี ชไมเคิ่ล เชื่อว่า “จิ้งจอก” ตามแน่ๆ 2-0
ในวันที่ฟอร์มแย่กันถ้วนหน้าจะทำอะไรก็ไม่เป็นใจขนาดซ้ำลูกจุดโทษโล่งๆยังโหม่งไปชนคานได้
ผลการแข่งขันในวันนี้ทำให้ผมนึกถึงเกม คาราบาว คัพ ที่ เลสเตอร์ ขนตัวจริงลงเต็มสูบแต่กลับตกรอบให้ ลิเวอร์พูล ชุดผสม ฟุตบอลบางทีก็เหมือนผู้หญิงที่เข้าใจอะไรยากจริงๆ
เรื่องการเปลี่ยนตัวที่เอา ฟาบินโญ่ ออกเพื่อเลี่ยงติดโทษแบนหรือฟอร์มหลุดๆของ อเล็กซ์ ออกซ์เลด เชมเบอร์เลน ผมขออนุญาตข้ามนะครับ เป็นประเด็นแย่ๆ เพราะหลักๆที่แพ้คือแนวรุกไม่ยอม “จบงาน” กันเอง ไม่มีอะไรมากกว่านั้น
เยอร์เก้น คล็อปป์ ให้สัมภาษณ์ว่าตอนนี้สิ่งที่เขาห่วงที่สุดไม่ใช่ช่องว่างที่ถูก แมนฯซิตี้ หนีไปแล้ว 6 แต้มแต่เป็นการหาเหตุผลว่าทำไมลูกทีมที่เล่นได้ย่ำแย่มากถึงขนาดนี้
ครับ ส่วนตัวผมมองว่า “หงส์แดง” มักมีช่วงแนวรุกวัด “นัดกันหยุด” เหมือนซีซั่นก่อนที่บรรลัยร่วมเดือน ถ้าจำไม่ผิดตอนนั้นเริ่มที่เสมอ เวสต์บรอม ในแอนฟิลด์ แบบล็อกถล่ม
แต่งวดนี้บอกไม่ได้จริงๆว่าจะส่งผลไปเท่าไหร่เพราะนัดหน้าต้องไปเยือนของหนักอย่าง เชลซี ก่อนจะเข้าสู่ชีวิตที่ไร้ โม, มาเน่ และ เกอิต้า
ณ จุดนี้ลำพังแค่ “ผู้ตาม” อย่าง ลิเวอร์พูล หรือ เชลซี เล่นไม่ให้พลาดหรือพลาดน้อยที่สุดก็ว่ายากแล้วแต่การจะรอให้ “เรือใบ” พลาดเป็นอะไรที่ยากถึงยากมากๆ
เห็นตรรกะแบบนี้แล้วขออนุญาตถอดใจยกแชมป์ให้ เป๊ป ไปครองอีกปีละกันครับ...
สถิติ สถิติ สถิติ
ลิเวอร์พูล รูดม่านปี 2021 ด้วยการจบสถิติยิงประตูนัดเยือนไว้ที่ 28 นัดในทุกรายการ
3 นัดหลังสุด “หงส์แดง” โดนคู่แข่งยิงนำก่อนทั้งหมดโดยหนสุดท้ายที่เกิดเหตุการณ์นี้คือพฤศจิกายน 2019
โม ซาลาห์ พลาดจุดโทษเป็นหนที่สุดใน พรีเมียร์ลีก นับตั้งแต่วืดเป้าเมื่อเดือนตุลาคม 2017 ในเกมพบ ฮัดเดอร์ฟิลด์ก่อนทำสถิติยิงติดต่อกันถึง 15 ครั้งจนกระทั่งพลาดที่ คิงพาวเวอร์
ภายใต้การคุมทีมของ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส เลสเตอร์ ไม่เคยเก็บคลีนชีตยามเจอ ลิเวอร์พูล ได้เลยตลอด 10 เกมในลีกที่เจอกันโดยครั้งสุดท้ายที่ทำได้คือชนะ 2-0 ที่คิง พาวเวอร์ สเตเดียม เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2016
นอริช กลายเป็นทีมแรกในประวัติศาสตร์ลีก อังกฤษ ที่แพ้อย่างน้อย 5 เกมและยิงประตูไม่ได้ในเดือนนั้นๆ
เฟรเซอร์ ฟรอสเตอร์ เซฟไป 10 ครั้งในเกมเสมอ สเปอร์ส 1-1 นับเป็นผู้รักษาประตูคนแรกที่เซฟ 10+ และไม่แพ้ในเกมนั้นโดย คาร์ล ดาร์โลว์ นายทวาร นิวคาสเซิ่ล ยืนหนึ่งทำสถิติเซฟ 11 หนและคู่แข่งเป็น สเปอร์ส อีกเช่นเคย
เวสต์แฮม คว้าชัยใน พรีเมียร์ลีก นัดที่ 22 ในปี 2021 มีเพียงปี 1959 (23 นัด) เท่านั้นที่ชนะมากที่สุดในปีปฏิทินเดียวในประวัติศาสตร์สโมสร
มาร์ค โนเบิ้ล ยิงจุดโทษเป็น 5 ลูกในการเจอกับ วัตฟอร์ด มีเพียงแค่ อลัน เชียเรอร์ (7 จุดโทษกับ เอฟเวอร์ตัน) เท่านั้นที่ยิงจุดโทษใส่ทีมเดิมมากกว่าเขา
3 เกมหลังสุดที่ สเปอร์ส ลงเล่นจบลงด้วยการที่คู่แข่งถูกไล่ออก (โรเบิร์ตสัน, ซาฮา และ ซาลิซู) เป็นทีมแรกที่ทำได้นับตั้งแต่ เวสต์แฮม เคยทำได้เมื่อเดือนตุลาคม 2015
แฮร์รี่ เคน มีส่วนร่วมกับ 11 ประตูยามที่เล่นใน เซนต์แมร์รี่ (ยิง 6 จาก 5) เป็นสถิติที่มากกว่านักเตะคนไหนที่มาเยือนที่นี่แถม 7 นัดหลังสุด “เคน” ยิงได้มากถึง 6 ลูกเลยทีเดียว
เจมส์ วอร์ด พราวส์ ยิงประตู 3 เกมใน พรีเมียร์ลีก ติดต่อกัน เป็นหนแรกนับตั้งแต่มีนาคม 2019
soccersuck
บอล ..... สมควรแพ้ด้วยประการทั้งปวง - เลสเตอร์ 1-0 ลิเวอร์พูล โดย เบน ฟรีคิก
เลสเตอร์ ขาดผู้เล่นชุดใหญ่ถึง 8 ตัวแถมพักมาแค่ 51 ชั่วโมง (ผิดกับหงส์ที่สดยาวๆร่วม 10 วันและ full team) ใครเห็นก็ฟันธงว่า “เละ” แต่การเล่นที่ "เละกว่า" ของฝั่ง ลิเวอร์พูล เหมือนไปกระตุ้นความมั่นใจให้นักเตะ “จิ้งจอก” เต็มๆ
การพลาดจุดโทษของ โม ซาลาห์ พลิกโฉมของเกมที่เหลือแทบจะทันที สังเกตได้ว่าเด็กๆของ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส เหมือนได้พลังส่งกลับมาว่าวันนี้กำลังจะเป็นของพวกเขา
กลับกัน ซาลาห์ ส่งต่อความ “กาว” ไปยังเพื่อนคนอื่นๆจนจังหวะบอล “ลักลั่น” ทีเด็ดทีขาดในเขตโทษคือศูนย์ หลายๆจังหวะแป๊กและตัดสินใจพลาดไปหมด, การเปิดบอลริมเส้นที่เป็นจุดขายเรดาร์พัง
ในขณะที่ ซาดิโอ มาเน่ ซึ่งส่อแววออกทะเลตั้งแต่ต้นเกม (จับบอลลั่น, ดึงช้า, เสียบอลง่าย) ก็เป็นอีกคนในแนวรุกที่หมดสภาพ
โอกาสจะแจ้งที่สุดในเกมนี้ (หากไม่นับจุดโทษของ ซาลาห์) ก็เป็น มาเน่ ที่หลุดล่อเป้าวางเท้ายิงเหน่งๆแต่กลับข้ามคาน
เมื่อทำไม่ได้เองก็เข้าสูตรสำเร็จเมื่อ เลสเตอร์ ได้ยิงตรงกรอบหนแรกเป็นประตูทันทีจาก อเดโมล่า ลุ๊คแมน ตัวสำรองที่ BR เพิ่งเปลี่ยนลงมาอยู่ในสนามได้แค่ 3 นาทีเท่านั้น
สิ่งที่ตอกย้ำความ “ย่ำแย่” ในการจบสกอร์ของฝั่ง ลิเวอร์พูล คือได้เตะมุมมากถึง 12 ครั้งแต่ทำอะไรไม่ได้ทั้งๆที่ “จิ้งจอก” มีสถิติเสียประตูจากลูกเซ็ตพีซมากที่สุดใน พรีเมียร์ลีก คือ 12 ประตูและเพิ่งแจก “เตะมุม” ให้ แมนฯซิตี้ ไป 3 ลูกเน้นๆ
มากไปกว่านั้นซีซั่นนี้ เลสเตอร์ หลังรั่วมากโดย 7 เกมหลังสุดโดนยิงเละเทะ 18 ลูก เฉลี่ยแล้วเกือบนัดละ 3 โดย 9 ประตูที่เสียไปมาจาก 2 เกมหลังสุดด้วยซ้ำ
ผมไม่ได้คิดขโมยเครดิตของ เลสเตอร์ ด้วยการโยนผลแพ้ชนะในวันนี้ไปอิงกับฟอร์มของฝั่ง ลิเวอร์พูล นะครับ
แต่อย่างที่ผมแตะไปที่พารากราฟที่ 2 ถึงการเล่นของ “หงส์แดง” ไปผลักดัน เลสเตอร์ ให้รู้สึกว่า “รองจ่าฝูง” เล่นได้แค่นี้ตรูจะไปหงอทำไม
สังเกตได้เลยครับว่าการเข้าบอลทั้งหนักและแน่น ตามขยี้จนบอลไม่ตายไม่มีเลิกรวมถึงการเข้า “บล็อก” ในเขตโทษแม่นยำเต็มไปด้วย passion (ไม่นับลูกจุดโทษที่เสียนะ ฮา)
แมนฯซิตี้ ใช้เวลาเบิกสกอร์แรกใส่ “จิ้งจอก” แค่ 5 นาทีหรือลากมาตบกลางสี่แยกให้เจ็บกว่านี้คือลูกทีม เป๊ป ยิง 4 ลูกในเวลาแค่ 25 นาที
โอกาสที่ควรนำ 1-0 และ 2-0 ของ ซาลาห์ และ มาเน่ ผ่านไปแล้วเรียกกลับมาไม่ได้
มันมีผลที่ตามมาคือจากที่มีพื้นที่น้อยเล่นยากอยู่แล้วก็ยากเข้าไปอีก คู่แข่งเขาขึ้นนำก็ต้องลงไปอุดเพื่อรักษาของที่เขาเพิ่งได้มา
อีกคนที่ไม่เอ่ยถึงไม่ได้เลยคือ แคสเคอร์ ชไมเคิ่ล ที่คว้า แมน ออฟ เดอะ แมทช์ แบบนอนมาเพราะแกคือคนที่หยุดลูกยิงที่ควรเป็นประตู 3-4 ครั้งจะๆ
ถึงขนาดที่ “พี่ห้อย” เธียร์รี่ อองรี เอ่ยปากชมว่าถ้าไม่มี ชไมเคิ่ล เชื่อว่า “จิ้งจอก” ตามแน่ๆ 2-0
ในวันที่ฟอร์มแย่กันถ้วนหน้าจะทำอะไรก็ไม่เป็นใจขนาดซ้ำลูกจุดโทษโล่งๆยังโหม่งไปชนคานได้
ผลการแข่งขันในวันนี้ทำให้ผมนึกถึงเกม คาราบาว คัพ ที่ เลสเตอร์ ขนตัวจริงลงเต็มสูบแต่กลับตกรอบให้ ลิเวอร์พูล ชุดผสม ฟุตบอลบางทีก็เหมือนผู้หญิงที่เข้าใจอะไรยากจริงๆ
เรื่องการเปลี่ยนตัวที่เอา ฟาบินโญ่ ออกเพื่อเลี่ยงติดโทษแบนหรือฟอร์มหลุดๆของ อเล็กซ์ ออกซ์เลด เชมเบอร์เลน ผมขออนุญาตข้ามนะครับ เป็นประเด็นแย่ๆ เพราะหลักๆที่แพ้คือแนวรุกไม่ยอม “จบงาน” กันเอง ไม่มีอะไรมากกว่านั้น
เยอร์เก้น คล็อปป์ ให้สัมภาษณ์ว่าตอนนี้สิ่งที่เขาห่วงที่สุดไม่ใช่ช่องว่างที่ถูก แมนฯซิตี้ หนีไปแล้ว 6 แต้มแต่เป็นการหาเหตุผลว่าทำไมลูกทีมที่เล่นได้ย่ำแย่มากถึงขนาดนี้
ครับ ส่วนตัวผมมองว่า “หงส์แดง” มักมีช่วงแนวรุกวัด “นัดกันหยุด” เหมือนซีซั่นก่อนที่บรรลัยร่วมเดือน ถ้าจำไม่ผิดตอนนั้นเริ่มที่เสมอ เวสต์บรอม ในแอนฟิลด์ แบบล็อกถล่ม
แต่งวดนี้บอกไม่ได้จริงๆว่าจะส่งผลไปเท่าไหร่เพราะนัดหน้าต้องไปเยือนของหนักอย่าง เชลซี ก่อนจะเข้าสู่ชีวิตที่ไร้ โม, มาเน่ และ เกอิต้า
ณ จุดนี้ลำพังแค่ “ผู้ตาม” อย่าง ลิเวอร์พูล หรือ เชลซี เล่นไม่ให้พลาดหรือพลาดน้อยที่สุดก็ว่ายากแล้วแต่การจะรอให้ “เรือใบ” พลาดเป็นอะไรที่ยากถึงยากมากๆ
เห็นตรรกะแบบนี้แล้วขออนุญาตถอดใจยกแชมป์ให้ เป๊ป ไปครองอีกปีละกันครับ...
สถิติ สถิติ สถิติ
ลิเวอร์พูล รูดม่านปี 2021 ด้วยการจบสถิติยิงประตูนัดเยือนไว้ที่ 28 นัดในทุกรายการ
3 นัดหลังสุด “หงส์แดง” โดนคู่แข่งยิงนำก่อนทั้งหมดโดยหนสุดท้ายที่เกิดเหตุการณ์นี้คือพฤศจิกายน 2019
โม ซาลาห์ พลาดจุดโทษเป็นหนที่สุดใน พรีเมียร์ลีก นับตั้งแต่วืดเป้าเมื่อเดือนตุลาคม 2017 ในเกมพบ ฮัดเดอร์ฟิลด์ก่อนทำสถิติยิงติดต่อกันถึง 15 ครั้งจนกระทั่งพลาดที่ คิงพาวเวอร์
ภายใต้การคุมทีมของ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส เลสเตอร์ ไม่เคยเก็บคลีนชีตยามเจอ ลิเวอร์พูล ได้เลยตลอด 10 เกมในลีกที่เจอกันโดยครั้งสุดท้ายที่ทำได้คือชนะ 2-0 ที่คิง พาวเวอร์ สเตเดียม เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2016
นอริช กลายเป็นทีมแรกในประวัติศาสตร์ลีก อังกฤษ ที่แพ้อย่างน้อย 5 เกมและยิงประตูไม่ได้ในเดือนนั้นๆ
เฟรเซอร์ ฟรอสเตอร์ เซฟไป 10 ครั้งในเกมเสมอ สเปอร์ส 1-1 นับเป็นผู้รักษาประตูคนแรกที่เซฟ 10+ และไม่แพ้ในเกมนั้นโดย คาร์ล ดาร์โลว์ นายทวาร นิวคาสเซิ่ล ยืนหนึ่งทำสถิติเซฟ 11 หนและคู่แข่งเป็น สเปอร์ส อีกเช่นเคย
เวสต์แฮม คว้าชัยใน พรีเมียร์ลีก นัดที่ 22 ในปี 2021 มีเพียงปี 1959 (23 นัด) เท่านั้นที่ชนะมากที่สุดในปีปฏิทินเดียวในประวัติศาสตร์สโมสร
มาร์ค โนเบิ้ล ยิงจุดโทษเป็น 5 ลูกในการเจอกับ วัตฟอร์ด มีเพียงแค่ อลัน เชียเรอร์ (7 จุดโทษกับ เอฟเวอร์ตัน) เท่านั้นที่ยิงจุดโทษใส่ทีมเดิมมากกว่าเขา
3 เกมหลังสุดที่ สเปอร์ส ลงเล่นจบลงด้วยการที่คู่แข่งถูกไล่ออก (โรเบิร์ตสัน, ซาฮา และ ซาลิซู) เป็นทีมแรกที่ทำได้นับตั้งแต่ เวสต์แฮม เคยทำได้เมื่อเดือนตุลาคม 2015
แฮร์รี่ เคน มีส่วนร่วมกับ 11 ประตูยามที่เล่นใน เซนต์แมร์รี่ (ยิง 6 จาก 5) เป็นสถิติที่มากกว่านักเตะคนไหนที่มาเยือนที่นี่แถม 7 นัดหลังสุด “เคน” ยิงได้มากถึง 6 ลูกเลยทีเดียว
เจมส์ วอร์ด พราวส์ ยิงประตู 3 เกมใน พรีเมียร์ลีก ติดต่อกัน เป็นหนแรกนับตั้งแต่มีนาคม 2019
soccersuck