ต้องยอมรับว่าพอเริ่มปี 2021 เมื่อ 12 เดือนก่อน หลายคนก็อาจคิดว่าชื่อเสียงและความนิยมของ อาร์เอ็ม, จิน, ชูก้า, เจโฮป, จีมิน, วี และ จองกุก จากวง BTS คงไม่สามารถทวีคูณมากขึ้นไปได้อีก และอาจจะซาลงบ้างเพราะสถานการณ์โควิดที่ยังไม่นิ่ง ทำทัวร์คอนเสิร์ตรอบโลกก็ไม่ได้ ออกงานอีเวนต์โชว์ตัวก็ยาก หรือจะโปรโมตผลงานอะไรก็ทำได้แค่ผ่านรูปแบบ Virtual อย่างเดียว แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับ BTS ในช่วงปีที่ผ่านมาคือพวกเขาได้ท้าทายความยากเย็นและอุปสรรคมากมาย พร้อมได้สร้างปรากฏการณ์ สร้างบรรทัดฐานแบบนับไม่ถ้วน จนถึงขั้นที่ว่าเราต้องยกให้พวกเขาเป็นศิลปินแห่งปี

     อาจยังมีกลุ่มคนที่ไม่เชื่อหรือมองไม่เห็นถึงความสามารถอันเปี่ยมล้นของผู้ชาย 7 คนนี้ และคิดว่าความดังของพวกเขาก็มาแค่จากความคลั่งไคล้ของแฟนคลับกลุ่ม ARMY อย่างเดียวที่พร้อมจะทุ่มเทให้ทุกอย่าง ซึ่งแม้ความทุ่มเทของ ARMY จะอยู่ในขั้นที่เหมือน Beatlemania หรือ One Direction Mania ก็ว่าได้ แต่สิ่งที่เรากลับเห็นตลอด 12 เดือนที่ผ่านมาคือ BTS ได้สร้างสรรค์ผลงานที่มีคุณภาพจริงๆ ให้เต็มร้อยกับทุกการแสดง ทุกมิวสิกวิดีโอ และพวกเขาผลักดันตัวเองอย่างไม่หยุดหย่อนเพื่อสร้างสรรค์ผลงานที่ไม่เพียงขับเคลื่อนและยกระดับตำแหน่งบนชาร์ตเพลง แต่สามารถขับเคลื่อนสังคมและวัฒธรรมได้ด้วยแบบที่เราแทบไม่เคยเห็นคนเอเชียทำได้มาก่อนบนเวทีโลก

เพื่อการฉลองความสำเร็จของ BTS ตลอด 12 เดือนที่ผ่านมา ทาง THE STANDARD POP ก็ได้หยิบยกบางโมเมนต์ที่ถือว่าพวกเขาได้สร้างประวัติศาสตร์ และเป็นการตอกย้ำว่าไม่มีอะไรที่จะสามารถลดทอนและดึงพวกเขาลงได้จริงๆ ซึ่งมาในปี 2022 เราก็ต้องดูกันว่าพวกเขาจะนำพาชื่อเสียงและความสามารถไปถึงขั้นไหน และเราจะได้เห็นอะไรอีกที่ทำให้รู้ว่า BTS คือศิลปินแห่งยุคตัวจริง

*หมายเหตุ: เป็นการเลือกโมเมนต์บางส่วนเท่านั้น และไม่ได้เรียงตามความสำคัญ

     เมื่อกลางเดือนกันยายนที่ผ่านมา BTS ได้เดินทางไปยังมหานครนิวยอร์กพร้อมกับ มุนแจอินประธานาธิบดีเกาหลีใต้ เพื่อไปร่วมการประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติ (United Nations General Assembly) ครั้งที่ 76 ในฐานะผู้แทนประธานาธิบดีพิเศษสำหรับคนรุ่นใหม่และวัฒนธรรม โดยนับเป็นครั้งแรกที่ทาง BTS ได้เดินทางออกจากประเทศเกาหลีใต้ตั้งแต่ต้นปี 2020

ทางวงก็ได้ขึ้นกล่าวสุนทรพจน์เพื่อปราศรัยเรื่องวิธีการแก้ปัญหาสถานการณ์โควิดที่ส่งผลต่อเยาวชนในหลากหลายด้าน โดยเผยว่า “เรานึกว่าโลกของเราได้หยุดหมุนแล้ว แต่ในความเป็นจริงมันยังคงเดินหน้าต่อไป ทุกการกระทำที่เราเลือกล้วนเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง” พร้อมยังได้แสดงเพลง Permission to Dance อีกด้วย

.

*สามารถชมคลิปข่าวได้ที่ลิงก์นี้: https://www.youtube.com/watch?v=1ccWVq66bbk

     แม้ช่วงต้นเดือนธันวาคมทางค่าย Big Hit Music จะประกาศว่าทาง BTS จะพักยาวครั้งแรกตั้งแต่ปี 2019 เพื่อให้แต่ละสมาชิกได้ใช้เวลาอยู่กับครอบครัวได้อย่างเต็มที่ และไปหาแรงบันดาลใจเพื่ออัลบั้มใหม่ในปีหน้า แต่ในเวลาเดียวกันทางวงก็สร้างเซอร์ไพรส์ที่เหล่า ARMY รอมานาน หลังแต่ละสมาชิกได้เปิดแอ็กเคานต์ Instagram เป็นของตัวเอง ซึ่งภายในไม่กี่ชั่วโมงหนุ่มวีก็สร้างสถิติ Guiness World of Records ใหม่กับการมียอดผู้ติดตามแตะเลข 1 ล้านและ 10 ล้านที่เร็วสุดในประวัติศาสตร์ เอาชนะแชมป์เก่าอย่าง Angelina Jolie ได้สำเร็จ และภาพที่เขาโพสต์ยังมีคนกดไลก์ถึง 1 ล้านครั้งภายใน 4 นาที ทำลายสถิติเก่าของ Billie Eilish ได้สำเร็จเช่นกัน

การที่ทางค่าย Big Hit Music ยอมให้แต่ละสมาชิกของ BTS เปิดแอ็กเคานต์เป็นของตัวเองก็ถือว่าช่วยสร้างความสัมพันธ์ระหว่างทางวงกับ ARMY ให้แน่นแฟ้นขึ้นไปอีก เพราะเราจะได้เห็นมุมไลฟ์สไตล์ส่วนตัวของแต่ละสมาชิกที่เป็นกันเองมากขึ้น บวกกับเห็นสไตล์ความคิดสร้างสรรค์การทำคอนเทนต์ของแต่ละคนที่ไม่ต้องผ่านเพจออฟฟิเชียลแล้ว

นอกเหนือจากนี้ หากดูในมุมธุรกิจ การที่แต่ละสมาชิกมีแอ็กเคานต์เป็นของตัวเองก็ถือว่าเป็นเรื่องยกระดับโปรไฟล์อีกขั้น โดยเฉพาะในการต่อรองเรื่องการเป็นพรีเซนเตอร์และแบรนด์แอมบาสเดอร์ของบรรดาสินค้าต่างๆ ซึ่งต่อไปเราก็เชื่อว่าจะได้เห็นโพสต์ไม่มากก็น้อยที่แต่ละสมาชิกลงพร้อมการกำกับว่า ‘Paid Partnership’ ด้านบนอย่างแน่นอน

     หลังลุ้นกันอยู่นานว่าแบรนด์แฟชั่นเจ้าไหนจะทุ่มเงินคว้าตัว BTS มาเป็น Global Brand Ambassador เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมาทางแบรนด์ลักชัวรีอันดับ 1 ของโลกอย่าง Louis Vuitton ก็ได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่าทางวงจะมาร่วมงานด้วย โดยตลอดปีก็มีโปรเจกต์มากมาย ทั้งการใส่เสื้อผ้าที่ Virgil Abloh ดีไซน์ออกงานสำคัญ มีการดีไซน์หนึ่งในหีบของแบรนด์เพื่อฉลองครบรอบอายุ 200 ปี ของ Louis Vuitton และที่เป็นไฮไลต์ก็คือการเป็นส่วนหนึ่งของวิดีโอแฟชั่น Spin-Off คอลเล็กชัน Fall/Winter 2021 ที่ถ่ายทำ ณ กรุงโซล

     เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาทาง BTS ก็ได้สร้างประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญด้วยการเป็นศิลปิน K-Pop วงแรกที่ชนะเสาขาใหญ่สุดอย่าง Artist of the Year ที่งาน American Music Awards ซึ่งพวกเขาก็ชนะคู่แข่ง ทั้ง Drake, Ariana Grande, The Weeknd, Olivia Rodrigo และ Taylor Swift บวกกับยังชนะรางวัลสาขา Favorite Duo or Group-Pop และ Favorite Song-Pop

     หลังความสำเร็จแบบถล่มทลายกับเพลงภาษาอังกฤษเพลงแรกอย่าง Dynamite เมื่อปี 2020 มาในปี 2021 ทาง BTS ก็ได้ฤกษ์ปล่อยเพลงภาษาอังกฤษล้วนเพลงที่สองอย่าง Butter ออกมา ซึ่งก็ดังแบบฉุดไม่อยู่ยิ่งกว่าเดิมอีก โดยสามารถขึ้นอันดับ 1 บนชาร์ต Billboard Hot 100 ในอเมริกาได้ 10 สัปดาห์ มีการทำเวอร์ชันรีมิกซ์กับแรปเปอร์แห่งยุค Megan Thee Stallion ตัวมิวสิกวิดีโอสร้างสถิติด้วยการทำยอดวิว 108.2 ล้านใน 24 ชั่วโมงแรก ซึ่งมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของ YouTube และยังได้ชิง Grammy Awards 2022 อีกด้วยในสาขา Best Pop Duo/Group Performance

     เมื่อปลายเดือนพฤศจิกายนและต้นเดือนธันวาคม ทาง BTS ก็ปิดท้ายปีอย่างยิ่งใหญ่ด้วยการจัดคอนเสิร์ตใหญ่ 4 คืน ณ SoFi Stadium ในแคลิฟอร์เนีย ซึ่งทางเว็บไซต์ Billboard ก็รายงานว่าสามารถขายตั๋วรวมกัน 214,000 ใบ พร้อมทำเงินไปกว่า 33.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งถือว่าเป็นยอดที่สูงสุดที่หนึ่งศิลปินสามารถทำได้สำหรับสถานที่จัดคอนเสิร์ตหนึ่งที่ตั้งแต่ปี 2012 Roger Waters ทำยอดไป 38 ล้านดอลลาร์สหรัฐที่สนามกีฬา Estadio River Plate ในประเทศอาร์เจนตินา ซึ่งตอนนั้นเล่นไป 9 โชว์

     การเป็นที่ยอมรับของศิลปินเพื่อนร่วมวงการดนตรีระดับโลกของ BTS ก็ได้ก้าวกระโดดสูงขึ้นเมื่อเดือนกันยายน หลังพวกเขาได้ออกเพลง My Universe ที่ทำร่วมกับ Coldplay ซึ่งก็ได้โปรดิวเซอร์ป๊อปอันดับหนึ่งของวงการอย่าง Max Martin จากประเทศสวีเดนมาทำให้ โดยเพลงนี้ก็เปิดตัวอันดับ 1 บนชาร์ต Billboard Hot 100 และชาร์ต Hot Rock & Alternative Songs ของ Billboard ซึ่งนับว่าเป็นครั้งแรกที่วง BTS มีเพลงอยู่ในชาร์ตหมวดเพลงร็อกและอัลเทอร์เนทีฟอีกด้วย

     ไม่เพียงแต่ BTS จะประสบความสำเร็จด้านผลงานเพลงอย่างเดียว แต่พวกเขาก็ได้ตอกย้ำความเป็นกระบอกเสียงสำคัญของเยาวชนและสังคมอยู่หลายครั้งจนนับไม่ถ้วน โดยในลิสต์ #OnlyOnTwitter ประจำปี 2021 ของ Twitter ที่รวบรวมสถิติต่างๆของแพลตฟอร์ม ตัวโพสต์ที่ทางวงได้ใช้แฮชแท็ก #StopAsianHate เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา กลายเป็นโพสต์ที่ถูกรีทวีตมากสุด ซึ่ง ณ เวลานี้โพสต์นี้ก็มีคนรีทวีตเกิน 1 ล้านครั้งแล้ว พร้อมได้ 2.5 ล้านไลก์

สำหรับแฮชแท็ก #StopAsianHate ถูกใช้เมื่อคนเชื้อสายเอเชียในอเมริกาเริ่มถูกเหยียดเชื้อชาติและถูกทำร้ายร่างกาย จนเกิดเป็นการเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องให้คนในอเมริกา รวมถึงทั้งโลกหยุดสร้างความเกลียดชังต่อคนเอเชีย โดยในตอนนั้นทางวงก็ได้โพสต์ข้อความด้วยว่า 

Source: THE STANDARD POP

เรื่อง: คริสตอฟเฟอร์ สเวนซัน

ภาพ: Getty Images / Big Hit Entertainment / Louis Vuitton

ภาพประกอบ: นิสากร ฤทธาภัย