หนูต้องบอกก่อนนะคะว่าครอบครัวฝ่ายพ่อและฝ่ายแม่ของหนูไม่ถูกกันเลย คุณย่าจึ่งไม่ค่อยปลื้มหนูนิดหนึ่ง แต่ตอนที่คุณพ่อเสียชีวิตตอนที่หนูยังเด็กมาก ท่านได้ขอคุณย่าเอาไว้ว่าขอฝากหนูให้คุณย่าดูแลเรื่องให้หนูเรียนจนจบแล้วค่อยปล่อยให้โบยบินเอง ก่อนหน้านี้แม่เป็นผู้สนับสนุนในเรื่องของการเรียนของชั้นประถมจนจบมัธยมปลาย แต่ตอนนี้ผู้สนับสนุนให้เรียนต่อคือคุณย่า (เนื่องจากแม่มีกำลังไม่ถึงให้เรียนต่อ)
ในการเลือกสายเรียน ส่วนตัวหนูรู้ตัวเองตั้งแต่ไหนแล้วว่าเป็นคนชอบแต่งหน้าให้คนอื่น เวลาทำให้คนอื่นดูดีขึ้นแล้วมีความสุข ชอบทำผมเสริมสวยมาตั้งแต่ไหน ถึงขั้นเคยแต่งหน้าถ่ายพรีเวดดิ้งให้ญาติฝั่งแม่ เวลามีงานต่างๆไม่ว่าจะเป็นญาติเพื่อนพี่จะให้หนูแต่งหน้าหรือทำผมให้ตลอด แต่พอหนูต้องมาเลือกสายเรียน หนูได้ตัดสินใจเลือกเรียนมหาลัย และคุณย่ามีเงื่อนไขให้คือต้องเรียนให้ได้เกรดเฉลี่ยนไม่ต่ำว่า 3.5 ทุกเทอม ถ้าต่ำกว่าจะไม่ให้เรียนต่อและต้องหางาน part time ทำ หนูจึ่งตกลงกับเงื่อนไขนั้นและเลือก สาขาบริหารธุรกิจระหว่างประเทศและสาขาการจัดการ (หลักสูตร 2 ปริญญา) เพราะหนูเห็นว่าโอกาสมีแค่ครั้งเดียว จึ่งอยากเลือกให้ดีที่สุดเพราะหลังจากจบแล้วหนูต้องพึ่งตัวเองและไปต่อยอดสร้างชีวิตด้วยตัวเอง และคิดว่าการมีใบปริญญาจะมีงานที่รับรองมากกว่า ในช่วงระหว่างเรียน หนูไม่ได้รู้สึกเกลียดหรือรู้สึกรักกับสาขาที่หนูเลือก มันเหมือนอยู่กึ่งๆกลาง รู้สึกเฉยๆ พอถูๆไถๆไปได้ แต่ก็ต้องกดอันและเครียดมากพอสมควรเนื่องจากต้องปั่นเกรดให้ดีเพราะกลัวจะไม่ได้เรียนต่อ พอตอนนี้หนูพึ่งเรียนจบปี 1 เทอม 1 ใน มหาลัยแห่งหนึ่งในกรุงเทพ ได้เกรด 3.59 หนูส่งให้ย่าท่านดู และท่านคิดว่าควรทำได้ดีกว่านี้ และท่านได้ถามว่า ยังอยากเรียนต่อมั้ยหรืออยากทำอย่างอื่น? ทำอย่างอื่น ณ ที่นี้ คือการเลือกเรียนสายอาชีพแทน ซึ่งเมื่อหนูได้ยินคำถามนี้และหลายๆอย่างรวมกันที่ได้เกิดขึ้นผ่านมา หนูเริ่มรู้สึกลังเลและสับสนว่าจะเปลี่ยนไปเลือกสายอาชีพแทนดีมั้ยโดยเลือกเรียนสถาบันสอนแต่งหน้าและทำผมแห่งไหนสักที่ที่คืดว่าดี หลังจากจบก็ไปทำงานที่ร้านคนอื่น หรือรับจ็อบแต่งหน้า หรือทำงาน AE ขายเครื่องสำอาง เพื่อเก็บประสบการณ์และเก็งเงิบเปิดร้านเอง แต่หนูก็ยังลังเลและไม่แน่ใจว่าในอนาคตสายอาชีพนี้จะเติมโตได้มั้ยเนื่องจากสถานการณ์โควิดแบบนี้และยุคของการลงทุนธุรกิจที่เปลี่ยนไป งานช่างแต่งหน้างานมันค่อนข้างเจาะจงและแคบ หนูจึ่งกลัวว่าถ้าไปไม่รอดจะไม่มีแผนสำรอง ขอรบกวนพี่ๆช่วยออกความคิดเห็นหน่อยนะคะว่าหนูควรทำยังไงดี ควรเลือกเรียนยังไงต่อดี
ควรเลือกเรียนสายอาชีพช่างแต่งหน้า หรือ มหาลัย
ในการเลือกสายเรียน ส่วนตัวหนูรู้ตัวเองตั้งแต่ไหนแล้วว่าเป็นคนชอบแต่งหน้าให้คนอื่น เวลาทำให้คนอื่นดูดีขึ้นแล้วมีความสุข ชอบทำผมเสริมสวยมาตั้งแต่ไหน ถึงขั้นเคยแต่งหน้าถ่ายพรีเวดดิ้งให้ญาติฝั่งแม่ เวลามีงานต่างๆไม่ว่าจะเป็นญาติเพื่อนพี่จะให้หนูแต่งหน้าหรือทำผมให้ตลอด แต่พอหนูต้องมาเลือกสายเรียน หนูได้ตัดสินใจเลือกเรียนมหาลัย และคุณย่ามีเงื่อนไขให้คือต้องเรียนให้ได้เกรดเฉลี่ยนไม่ต่ำว่า 3.5 ทุกเทอม ถ้าต่ำกว่าจะไม่ให้เรียนต่อและต้องหางาน part time ทำ หนูจึ่งตกลงกับเงื่อนไขนั้นและเลือก สาขาบริหารธุรกิจระหว่างประเทศและสาขาการจัดการ (หลักสูตร 2 ปริญญา) เพราะหนูเห็นว่าโอกาสมีแค่ครั้งเดียว จึ่งอยากเลือกให้ดีที่สุดเพราะหลังจากจบแล้วหนูต้องพึ่งตัวเองและไปต่อยอดสร้างชีวิตด้วยตัวเอง และคิดว่าการมีใบปริญญาจะมีงานที่รับรองมากกว่า ในช่วงระหว่างเรียน หนูไม่ได้รู้สึกเกลียดหรือรู้สึกรักกับสาขาที่หนูเลือก มันเหมือนอยู่กึ่งๆกลาง รู้สึกเฉยๆ พอถูๆไถๆไปได้ แต่ก็ต้องกดอันและเครียดมากพอสมควรเนื่องจากต้องปั่นเกรดให้ดีเพราะกลัวจะไม่ได้เรียนต่อ พอตอนนี้หนูพึ่งเรียนจบปี 1 เทอม 1 ใน มหาลัยแห่งหนึ่งในกรุงเทพ ได้เกรด 3.59 หนูส่งให้ย่าท่านดู และท่านคิดว่าควรทำได้ดีกว่านี้ และท่านได้ถามว่า ยังอยากเรียนต่อมั้ยหรืออยากทำอย่างอื่น? ทำอย่างอื่น ณ ที่นี้ คือการเลือกเรียนสายอาชีพแทน ซึ่งเมื่อหนูได้ยินคำถามนี้และหลายๆอย่างรวมกันที่ได้เกิดขึ้นผ่านมา หนูเริ่มรู้สึกลังเลและสับสนว่าจะเปลี่ยนไปเลือกสายอาชีพแทนดีมั้ยโดยเลือกเรียนสถาบันสอนแต่งหน้าและทำผมแห่งไหนสักที่ที่คืดว่าดี หลังจากจบก็ไปทำงานที่ร้านคนอื่น หรือรับจ็อบแต่งหน้า หรือทำงาน AE ขายเครื่องสำอาง เพื่อเก็บประสบการณ์และเก็งเงิบเปิดร้านเอง แต่หนูก็ยังลังเลและไม่แน่ใจว่าในอนาคตสายอาชีพนี้จะเติมโตได้มั้ยเนื่องจากสถานการณ์โควิดแบบนี้และยุคของการลงทุนธุรกิจที่เปลี่ยนไป งานช่างแต่งหน้างานมันค่อนข้างเจาะจงและแคบ หนูจึ่งกลัวว่าถ้าไปไม่รอดจะไม่มีแผนสำรอง ขอรบกวนพี่ๆช่วยออกความคิดเห็นหน่อยนะคะว่าหนูควรทำยังไงดี ควรเลือกเรียนยังไงต่อดี