สวัสดีพี่น้องชาวห้องสินธรทุกที่เข้ามาอ่านทุกท่านครับ
สืบเนื่องจากกระทู้
https://ppantip.com/topic/40411680 ทุกวันที่ 27 ธันวาคมผมตั้งใจว่าจะมาทบทวนแนวทางและผลการลงทุนของปีที่ผ่านมา วันนี้ฤกษ์งามยามดีมาถึงเลยจะมาอัพเดทพอร์ตการลงทุนซะหน่อย
ปีที่ผ่านมานี้ต้องเรียกว่าใครที่ลงทุนในหุ้นสหรัฐฯก็คงได้หน้าบานไปถึงท้ายซอย กลายเป็นมาดาม เป็นเสี่ยไปตามระเบียบกันถ้วนหน้านะครับ ผมไม่อาจอวดอุตริฯว่ามีประสบการณ์มากยังกล้าพูดเลยว่าปีแบบ 2564 ไม่ได้มีบ่อยๆ (จะมีสักกี่ครั้งที่เราจะมาเจอคนแบบ Jay Powell ที่อัดฉีดเงินสดแบบทุ่มไม่อั้น ซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯกลับด้วยเม็ดเงินมากถึง $120 billion ต่อเดือน เป็นเวลาร่วม 2 ปี จนได้รับฉายาว่าเป็น Wall Street’s Head of State นโยบายเฮียแกทำให้หุ้นมันขึ้นแบบ ‘ต้องร้องขอชีวิต’ รวมถึงเงินเฟ้อแบบเกือบๆจะ runaway ด้วย) แต่แน่นอนครับในโลกแห่งความเป็นจริงไม่มี ‘พี่คนนี้นั้นมีแต่ให้’ อย่างคุณเอกชัย ศรีวิชัยบอก เพราะ Fed เริ่มทยอยเลิกซื้อ bonds และจะ hike interest rate ถึง 3 ครั้งในปี 65 O.o
นอกเรื่องมานานขอเข้าเรื่องดีกว่า ผมมีพอร์ตลงทุนหลักๆอยู่สองพอร์ต พอร์ตแรกผมใส่เงินแบบ DCA มาตั้งแต่ปี 2561 (แรกๆไม่ได้สม่ำเสมอเท่าไหร่ เริ่มมาลงทุนแบบ DCA อย่างมีวินัยตั้งแต่ช่วงกลางปี 2562) แต่ผมมีเหตุจำเป็นต้องเลิก DCA พอร์ตนี้ไป โดย DCA ครั้งสุดท้ายเมื่อเดือนมีนาคม 2564 และไป DCA อีกพอร์ตแทน (Portfolio B) ที่ไม่สามารถ DCA ทั้งสองพอร์ตพร้อมๆกันได้เป็นเพราะข้อกำหนดทางกฎหมายเกี่ยวกับ capital gains tax ในประเทศที่ผมมาเรียนอยู่ครับ รักพี่เสียดายน้องพอสมควร
เพื่อไม่ให้เสียเวลา มาดูพอร์ตแรกกันดีกว่า
Portfolio A
จะเห็นว่ามีกองทุนหุ้น USA กับหุ้นจีนอยู่ เห็นได้ชัดว่าผลตอบแทนแตกต่างกันมากแม้จะเริ่มต้น DCA พร้อมๆกัน แต่ทั้งคู่ต้องถือว่าเป็น underperformer นะครับ ปีนี้กองทุนหุ้น growth อย่าง Baillie Gifford หรือ ARK โดนหมด โดยเฉพาะหุ้นจีน…พูดแล้วเศร้าครับ
ส่วนพอร์ตที่สองของผมนั้นก็เริ่มมา DCA กองทุน ETF NASDAQ-100 ตั้งแต่เดือนเมษา 2564 ผลตอบแทนดีมากตามแบบฉบับตลาดกระทิง on steroids
Portfolio B
สรุปผลการลงทุน
มูลค่าพอร์ตรวมวันที่ 27 ธ.ค. 2562 = 365,590 บาท
มูลค่าพอร์ตรวมวันที่ 27 ธ.ค. 2563 = 1,108,118 บาท
มูลค่าพอร์ตรวมวันที่ 27 ธ.ค. 2564 = 1,853,308 บาท
YoY Growth ปี 63-64 = 67.2% (growth นี้มาจากทั้งเงินเติมและ capital gain)
จะเห็นได้ว่าถ้าเทียบ percentage growth ปีนี้ผมสู้ปี่ที่แล้วไม่ได้เลยนะครับ
แนวทางการลงทุนปี 2565
ปีหน้าเป็นที่สำคัญสำหรับผมเพราะผมจะเรียนจบและเริ่มทำงาน full-time เป็นปีแรก และถือเป็นการเริ่มต้นก่อร่างสร้างตัว ดังนั้นผมจะทำเหมือนเดิมแต่เพิ่มปริมาณการ DCA กองทุน ETF NASDAQ-100 จากเดิม 23,000 บาท/เดือน มาเป็น ~80,000 บาท/เดือน ซึ่งถือว่าเหมาะเจาะมากเนื่องจากผมว่าตลาดหุ้นคงย่อลงมาบ้างและน่าจะมีหลายช่วงที่ผมจะได้ซื้อของราคาถูก
ยังไงก็ตามในอีกหนึ่งปีข้างหน้าผมจะมาอัพเดทพอร์ตใหม่ ใครมีอะไรมาแชร์ ตำหนิติชม เชิญ comment ได้เลยครับ
“The big money is not in the buying and selling, but in the waiting.”
- Charlie Munger -
สรุปผลการลงทุนของผม ประจำปี 2564
สืบเนื่องจากกระทู้ https://ppantip.com/topic/40411680 ทุกวันที่ 27 ธันวาคมผมตั้งใจว่าจะมาทบทวนแนวทางและผลการลงทุนของปีที่ผ่านมา วันนี้ฤกษ์งามยามดีมาถึงเลยจะมาอัพเดทพอร์ตการลงทุนซะหน่อย
ปีที่ผ่านมานี้ต้องเรียกว่าใครที่ลงทุนในหุ้นสหรัฐฯก็คงได้หน้าบานไปถึงท้ายซอย กลายเป็นมาดาม เป็นเสี่ยไปตามระเบียบกันถ้วนหน้านะครับ ผมไม่อาจอวดอุตริฯว่ามีประสบการณ์มากยังกล้าพูดเลยว่าปีแบบ 2564 ไม่ได้มีบ่อยๆ (จะมีสักกี่ครั้งที่เราจะมาเจอคนแบบ Jay Powell ที่อัดฉีดเงินสดแบบทุ่มไม่อั้น ซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯกลับด้วยเม็ดเงินมากถึง $120 billion ต่อเดือน เป็นเวลาร่วม 2 ปี จนได้รับฉายาว่าเป็น Wall Street’s Head of State นโยบายเฮียแกทำให้หุ้นมันขึ้นแบบ ‘ต้องร้องขอชีวิต’ รวมถึงเงินเฟ้อแบบเกือบๆจะ runaway ด้วย) แต่แน่นอนครับในโลกแห่งความเป็นจริงไม่มี ‘พี่คนนี้นั้นมีแต่ให้’ อย่างคุณเอกชัย ศรีวิชัยบอก เพราะ Fed เริ่มทยอยเลิกซื้อ bonds และจะ hike interest rate ถึง 3 ครั้งในปี 65 O.o
นอกเรื่องมานานขอเข้าเรื่องดีกว่า ผมมีพอร์ตลงทุนหลักๆอยู่สองพอร์ต พอร์ตแรกผมใส่เงินแบบ DCA มาตั้งแต่ปี 2561 (แรกๆไม่ได้สม่ำเสมอเท่าไหร่ เริ่มมาลงทุนแบบ DCA อย่างมีวินัยตั้งแต่ช่วงกลางปี 2562) แต่ผมมีเหตุจำเป็นต้องเลิก DCA พอร์ตนี้ไป โดย DCA ครั้งสุดท้ายเมื่อเดือนมีนาคม 2564 และไป DCA อีกพอร์ตแทน (Portfolio B) ที่ไม่สามารถ DCA ทั้งสองพอร์ตพร้อมๆกันได้เป็นเพราะข้อกำหนดทางกฎหมายเกี่ยวกับ capital gains tax ในประเทศที่ผมมาเรียนอยู่ครับ รักพี่เสียดายน้องพอสมควร
เพื่อไม่ให้เสียเวลา มาดูพอร์ตแรกกันดีกว่า
Portfolio A
จะเห็นว่ามีกองทุนหุ้น USA กับหุ้นจีนอยู่ เห็นได้ชัดว่าผลตอบแทนแตกต่างกันมากแม้จะเริ่มต้น DCA พร้อมๆกัน แต่ทั้งคู่ต้องถือว่าเป็น underperformer นะครับ ปีนี้กองทุนหุ้น growth อย่าง Baillie Gifford หรือ ARK โดนหมด โดยเฉพาะหุ้นจีน…พูดแล้วเศร้าครับ
ส่วนพอร์ตที่สองของผมนั้นก็เริ่มมา DCA กองทุน ETF NASDAQ-100 ตั้งแต่เดือนเมษา 2564 ผลตอบแทนดีมากตามแบบฉบับตลาดกระทิง on steroids
Portfolio B
สรุปผลการลงทุน
มูลค่าพอร์ตรวมวันที่ 27 ธ.ค. 2562 = 365,590 บาท
มูลค่าพอร์ตรวมวันที่ 27 ธ.ค. 2563 = 1,108,118 บาท
มูลค่าพอร์ตรวมวันที่ 27 ธ.ค. 2564 = 1,853,308 บาท
YoY Growth ปี 63-64 = 67.2% (growth นี้มาจากทั้งเงินเติมและ capital gain)
จะเห็นได้ว่าถ้าเทียบ percentage growth ปีนี้ผมสู้ปี่ที่แล้วไม่ได้เลยนะครับ
แนวทางการลงทุนปี 2565
ปีหน้าเป็นที่สำคัญสำหรับผมเพราะผมจะเรียนจบและเริ่มทำงาน full-time เป็นปีแรก และถือเป็นการเริ่มต้นก่อร่างสร้างตัว ดังนั้นผมจะทำเหมือนเดิมแต่เพิ่มปริมาณการ DCA กองทุน ETF NASDAQ-100 จากเดิม 23,000 บาท/เดือน มาเป็น ~80,000 บาท/เดือน ซึ่งถือว่าเหมาะเจาะมากเนื่องจากผมว่าตลาดหุ้นคงย่อลงมาบ้างและน่าจะมีหลายช่วงที่ผมจะได้ซื้อของราคาถูก
ยังไงก็ตามในอีกหนึ่งปีข้างหน้าผมจะมาอัพเดทพอร์ตใหม่ ใครมีอะไรมาแชร์ ตำหนิติชม เชิญ comment ได้เลยครับ