ตาเฒ่าของฉัน
ล. วิลิศมาหรา
ฉันรู้สึกมีความสุข....
ฉันรู้สึกแบบนี้จริง ๆ ขณะกำลังยืนถือสายยางรดน้ำต้นไม้หน้าบ้านตอนเช้า ๆ อย่างนี้ ริมรั้วเหล็กดัดลวดลายเรขาคณิต ฉันปลูกผกากรองเอาไว้ เจ้าหล่อนออกดอกเป็นพุ่มเป็นพวงสลับสีสวยงาม อีกมุมของพื้นที่หน้าบ้าน ฉันปลูกต้นตีนเป็ด หรือมีอีกชื่ออันแสนไพเราะที่เขาเรียกกันว่าต้นพญาสัตบรรณ ต้นไม้รูปทรงตั้งตรงงดงามต้นนี้ผลิดอกสีขาวส่งกลิ่นเอียน ๆ ออกมา แต่ฉันคุ้นกลิ่นมันเสียแล้ว จึงไม่ได้รู้สึกอะไร ฉันชอบร่มเงาและรูปทรงกิ่งใบของมันมากกว่า
ซุ้มประตูหน้าบ้านทรงปั้นหยาเล็ก ๆ ฉันปลูกต้นกระเทียมเถาแล้วปล่อยให้มันเลื้อยจนคลุมเต็มหลังคาซุ้ม จากประตูซุ้มเรียงรายมาตามทางเดินที่ทอดยาวเพียงไม่กี่เมตร ไปจนถึงตัวตึกชั้นเดียวหลังกะทัดรัดนั่น ฉันปลูกต้นกุหลาบหลากหลายสีสัน พวกเธอกำลังแข่งกันบานอวดช่อดอกกันยกใหญ่ อย่างน่าชื่นใจแก่คนเฝ้ารดน้ำพรวนดินมานาน มีทั้งที่กำลังแรกแย้มเป็นสาวรุ่นดอกตูม ๆ บางดอกก็บานพอประมาณ เหมือนผู้หญิงที่ล่วงเข้าสู่วัยสาวใหญ่ บางดอกก็กลีบร่วงจนเกือบหมด หลุดห้อยรุ่งริ่งคาก้านใบ คล้าย ๆ กับผู้หญิงที่หมดวัยสาวไปแล้ว เหลือเพียงความเหี่ยวเฉาโรยรา...มองดูดอกไม้แล้วก็นึกเปรียบเทียบไปถึงสัจธรรมในชีวิตของคนเรา นึกดูแล้วฉันก็คลี่ยิ้มออก ขณะคิดไปถึงตาเฒ่าที่กำลังนอนเกาพุงดูโทรทัศน์อยู่ข้างในตัวบ้าน
ตาเฒ่าของฉัน...เขาไม่สนใจหรอกว่ารูปร่างหน้าตา ตลอดจนผิวพรรณของฉันมันจะเหี่ยวแห้งหย่อนยานปานใด ในวัยแปดสิบปีของเมียรัก ถ้านับจากปีที่แต่งงานกันมา ก็กว่าสี่สิบปีเข้านี่แล้ว เขาบอกว่ารู้ดีถึงสังขารของมนุษย์ที่ย่อมมีการเปลี่ยนแปลง
เราสองคนแต่งงานกันมานาน มีลูกเต้าด้วยกันหลายคน ซึ่งก็ล้วนเติบใหญ่ และต่างก็แยกย้ายไปมีครอบครัวของใครของมันกันหมดแล้ว ลูก ๆ แต่ละคนยังพากันอยู่ห่างไกล ซึ่งก็ไม่เป็นไร ชีวิตมันก็เป็นแบบนี้ พ้นจากวัยเด็กมา พวกเขาก็กลายเป็นผู้ใหญ่ เริ่มมีภาระหน้าที่ต้องรับผิดชอบมากมายหลายอย่าง ตามกาลเวลาที่เดินหน้าต่อไปไม่หยุดยั้ง เมื่อเป็นเด็กก็แค่รับผิดชอบต่อตัวเอง โตมาหน่อยก็รับผิดชอบต่อตัวเองกับพ่อแม่ ครั้นมีครอบครัวก็ต้องเพิ่มมารับผิดชอบต่อชีวิตคนอื่นเขาด้วย ทั้งกับลูกและทั้งกับคนที่มาเป็นผัวเป็นเมียกัน แต่พอแก่ตัวลงเหมือนฉันกับตาเฒ่า พวกเราก็ได้เวลาปลดปลงภาระรับผิดชอบลงหลายอย่าง เราเพียงประคับประคองตัวเองไม่ให้ตกเป็นภาระของลูกหลานและสังคมก็พอแล้ว
คิดแล้วฉันก็ยิ้มกับตัวเองอีก สามีฉันแก่กว่าไปเจ็ดปี สมัยหนุ่ม ๆ เขารูปหล่อปากหวาน แถมสำนวนเขียนจดหมายจีบสาวก็ใช่ย่อย เขาเขียนมาจีบจนเวลาอ่านฉันต้องบิดตัวไปมา ยิ้มเขินอยู่กับหน้ากระดาษจดหมายของเขา แต่ถ้าเป็นในสมัยนี้หนุ่มสาวอาจกระแนะกระแหนเอาได้ว่า สำนวนมันลิเก ชักช้าไม่ทันกิน ก็เพราะสมัยนี้เด็ก ๆ เขารวดเร็ว ปรู้ดปร้าดทันอกทันใจ ในยุคห้าจี. หกจี. แบบนี้ พอมองตาปุ๊บก็สามารถเข้าถึงเตียงนอนกันได้เลยทีเดียว ไม่เหมือนในยุคฉันที่ต้องมีขั้นตอนดูใจกันตั้งสี่ห้าขั้นตอน
เริ่มแรกก็คือลุ้นให้ใจตรงกันก่อน ซึ่งตาเฒ่าของฉันเขาต้องใช้ความพยายามอยู่เป็นปี กว่าจะกล้าสารภาพว่าชอบและทำให้ฉันยอมชอบตอบเขาได้ ขั้นต่อมาเมื่อรู้ว่าใจตรงกันแน่แล้ว ต่างคนก็ต้องพยายามทำตัวให้เป็นคนสำคัญของกันและกัน ต่อเมื่อสนิทสนมจนรู้ใจกันดี รู้กระทั่งว่าแต่ละคนมีข้อดีข้อเสียอะไรบ้างแล้วนั่นแหละ พวกเราถึงค่อยแต่งงาน และเราสองคนก็อยู่ด้วยกันมาจนถึงทุกวันนี้
ฉันรดน้ำต้นไม้เสร็จพอดี ยามที่รถซูเปอร์มาเก็ตเคลื่อนที่ขับขี่เข้ามาจอดเทียบตรงหน้าประตูรั้วบ้าน ที่ฉันเรียกรถจักรยานยนต์ดัดแปลงพ่วงข้างแบบนี้ ก็เพราะว่าเจ้าของรถเขาเป็นแม่ค้าที่ไปซื้อหาของกินมาจากในตลาดสด เขาเอาพวกของสดของคาว หรือขนมหวานมากมายหลายอย่างใส่ถุงพลาสติก แล้วห้อยระโยงระยางมาในกระบะพ่วงข้างซึ่งติดหลังคาคลุมตัวรถกันแดดฝน ที่ไหนห้อยได้เขาก็ห้อยจนแทบมองไม่เห็นตัวรถ มีแม่ค้าแบบนี้ก็นับว่าอำนวยความสะดวกให้กับคนแก่อย่างฉันได้มากทีเดียว เพราะได้อาศัยซื้อของกินจากเธอมาตลอดหลายปี ไม่ต้องลำบากยักแย่ยักยันไปจ่ายตลาดเองที่ไหนไกล ๆ
"วันนี้จะเอาอะไรมั่งล่ะคุณยาย" แม่ค้าถามเมื่อเห็นฉันปิดน้ำ วางสายยางแล้วเดินมาหา
"เออ...อยากได้ลูกชิ้นหมูสักถุง ยายจะเอาไปต้มเหยาะน้ำปลาใส่ให้ตาเฒ่าของยายกินเป็นมื้อเที่ยง"
ฉันนึกไปถึงมื้อเที่ยง หลังจากที่เช้านี้นั่งดื่มกาแฟไปคนละถ้วย กับจิ้มปาท่องโก๋ในนมข้นหวานกินกันสองคนกับตาเฒ่า แม่ค้าลงจากอานรถมาเลือกดูของ เมื่อเจอก็ปลดมันออกยื่นให้
"ตาไปไหนแล้วล่ะยาย"
เธอรับเงินที่ฉันล้วงจากในกระเป๋าเสื้อคลุมอาบน้ำจ่ายให้ เสื้อคลุมตัวนี้ฉันชอบมาก ตาเฒ่าของฉันซื้อมาฝากตั้งแต่ตอนที่เราแต่งงานกันใหม่ ๆ ผ่านไปหลายสิบปีมันก็ยังสวมใส่สบาย และฉันมักใส่มันลงมารดน้ำต้นไม้ทุกวัน เธอทอนตังค์พลางถามถึงตาเฒ่าของฉัน
"นอนดูข่าวเช้าในทีวี เขาไม่ค่อยอยากเดิน เห็นบ่นว่าปวดเข่า เป็นมานานแล้วล่ะ แต่แกดื้อมาก ไม่ยอมไปหามดหาหมอที่ไหน บอกว่ากินยาเดี๋ยวก็หาย นี่ก็หลายวันแล้ว ไม่เห็นหายสักที"
"อืม...ไม่หายก็พากันไปหาหมอซะเถอะนะยายนะ อยู่กันแค่สองตายาย เป็นอะไรมากไปเดี๋ยวจะลำบาก"
เธอบอกฉันสั้น ๆ แต่แววตาที่มองมามีคำพูดมากกว่านั้น ไม่เป็นไรหรอกน่า ฉันยิ้มให้ นึกชื่นชมในสายตาห่วงใยของแม่ค้าซูเปอร์มาเก็ตคนยาก
"ดอกต้นนี่เหม็นจังนะยาย"
เด็กสาวข้างบ้านเดินบ่นมากับแม่ เด็กปากเปราะบ่นถึงเรื่องกลิ่นดอกตีนเป็ดของฉันอีกแล้ว บ่นพลางเอามืออุดจมูก ทำท่าผะอืดผะอม
"มันกลิ่นแรงตอนกลางคืนเท่านั้นหรอก ถึงตอนนั้นก็หลับกันหมดแล้วล่ะน่า ยายเอาไว้ให้เป็นร่มเงา จะตัดก็เสียดาย"
ฉันก็ยังตอบเหมือนเดิมทุกครั้งที่โดนบ่น ฉันไม่มีทางตัดต้นไม้ที่ตัวเองปลูกแน่ ๆ
"ยายกินข้าวเช้ารึยังน่ะ เอาข้าวต้มไหม เช้านี้ฉันทำข้าวต้มหมูหม้อใหญ่ ยังมีอีกตั้งค่อนหม้อ" แต่คนเป็นแม่เขาเข้าใจคนแก่ เห็นจุ๊ปากเตือนลูกสาว แล้วหันมาถามฉันอย่างมีน้ำใจ
"ขอบใจจ้ะ แต่เช้า ๆ แบบนี้ ตากับยายไม่ค่อยหิวข้าวหรอก พากันกินกาแฟกับปาท่องโก๋จิ้มนมเรียบร้อยแล้วล่ะ" บอกเธอยิ้ม ๆ ซึ่งเธอก็พยักหน้า
"ตาไปไหนแล้วล่ะยาย ไม่เห็นออกมาหน้าบ้านหลายวันแล้ว"
"เขาปวดเข่า เดินไม่ค่อยไหวเลยไม่อยากลุกไปไหน กินกาแฟกินยาแล้วก็นอนดูทีวีอยู่ในบ้านนั่นแหละ"
(มีต่อ)
ตาเฒ่าของฉัน
ล. วิลิศมาหรา
ฉันรู้สึกมีความสุข....
ฉันรู้สึกแบบนี้จริง ๆ ขณะกำลังยืนถือสายยางรดน้ำต้นไม้หน้าบ้านตอนเช้า ๆ อย่างนี้ ริมรั้วเหล็กดัดลวดลายเรขาคณิต ฉันปลูกผกากรองเอาไว้ เจ้าหล่อนออกดอกเป็นพุ่มเป็นพวงสลับสีสวยงาม อีกมุมของพื้นที่หน้าบ้าน ฉันปลูกต้นตีนเป็ด หรือมีอีกชื่ออันแสนไพเราะที่เขาเรียกกันว่าต้นพญาสัตบรรณ ต้นไม้รูปทรงตั้งตรงงดงามต้นนี้ผลิดอกสีขาวส่งกลิ่นเอียน ๆ ออกมา แต่ฉันคุ้นกลิ่นมันเสียแล้ว จึงไม่ได้รู้สึกอะไร ฉันชอบร่มเงาและรูปทรงกิ่งใบของมันมากกว่า
ซุ้มประตูหน้าบ้านทรงปั้นหยาเล็ก ๆ ฉันปลูกต้นกระเทียมเถาแล้วปล่อยให้มันเลื้อยจนคลุมเต็มหลังคาซุ้ม จากประตูซุ้มเรียงรายมาตามทางเดินที่ทอดยาวเพียงไม่กี่เมตร ไปจนถึงตัวตึกชั้นเดียวหลังกะทัดรัดนั่น ฉันปลูกต้นกุหลาบหลากหลายสีสัน พวกเธอกำลังแข่งกันบานอวดช่อดอกกันยกใหญ่ อย่างน่าชื่นใจแก่คนเฝ้ารดน้ำพรวนดินมานาน มีทั้งที่กำลังแรกแย้มเป็นสาวรุ่นดอกตูม ๆ บางดอกก็บานพอประมาณ เหมือนผู้หญิงที่ล่วงเข้าสู่วัยสาวใหญ่ บางดอกก็กลีบร่วงจนเกือบหมด หลุดห้อยรุ่งริ่งคาก้านใบ คล้าย ๆ กับผู้หญิงที่หมดวัยสาวไปแล้ว เหลือเพียงความเหี่ยวเฉาโรยรา...มองดูดอกไม้แล้วก็นึกเปรียบเทียบไปถึงสัจธรรมในชีวิตของคนเรา นึกดูแล้วฉันก็คลี่ยิ้มออก ขณะคิดไปถึงตาเฒ่าที่กำลังนอนเกาพุงดูโทรทัศน์อยู่ข้างในตัวบ้าน
ตาเฒ่าของฉัน...เขาไม่สนใจหรอกว่ารูปร่างหน้าตา ตลอดจนผิวพรรณของฉันมันจะเหี่ยวแห้งหย่อนยานปานใด ในวัยแปดสิบปีของเมียรัก ถ้านับจากปีที่แต่งงานกันมา ก็กว่าสี่สิบปีเข้านี่แล้ว เขาบอกว่ารู้ดีถึงสังขารของมนุษย์ที่ย่อมมีการเปลี่ยนแปลง
เราสองคนแต่งงานกันมานาน มีลูกเต้าด้วยกันหลายคน ซึ่งก็ล้วนเติบใหญ่ และต่างก็แยกย้ายไปมีครอบครัวของใครของมันกันหมดแล้ว ลูก ๆ แต่ละคนยังพากันอยู่ห่างไกล ซึ่งก็ไม่เป็นไร ชีวิตมันก็เป็นแบบนี้ พ้นจากวัยเด็กมา พวกเขาก็กลายเป็นผู้ใหญ่ เริ่มมีภาระหน้าที่ต้องรับผิดชอบมากมายหลายอย่าง ตามกาลเวลาที่เดินหน้าต่อไปไม่หยุดยั้ง เมื่อเป็นเด็กก็แค่รับผิดชอบต่อตัวเอง โตมาหน่อยก็รับผิดชอบต่อตัวเองกับพ่อแม่ ครั้นมีครอบครัวก็ต้องเพิ่มมารับผิดชอบต่อชีวิตคนอื่นเขาด้วย ทั้งกับลูกและทั้งกับคนที่มาเป็นผัวเป็นเมียกัน แต่พอแก่ตัวลงเหมือนฉันกับตาเฒ่า พวกเราก็ได้เวลาปลดปลงภาระรับผิดชอบลงหลายอย่าง เราเพียงประคับประคองตัวเองไม่ให้ตกเป็นภาระของลูกหลานและสังคมก็พอแล้ว
คิดแล้วฉันก็ยิ้มกับตัวเองอีก สามีฉันแก่กว่าไปเจ็ดปี สมัยหนุ่ม ๆ เขารูปหล่อปากหวาน แถมสำนวนเขียนจดหมายจีบสาวก็ใช่ย่อย เขาเขียนมาจีบจนเวลาอ่านฉันต้องบิดตัวไปมา ยิ้มเขินอยู่กับหน้ากระดาษจดหมายของเขา แต่ถ้าเป็นในสมัยนี้หนุ่มสาวอาจกระแนะกระแหนเอาได้ว่า สำนวนมันลิเก ชักช้าไม่ทันกิน ก็เพราะสมัยนี้เด็ก ๆ เขารวดเร็ว ปรู้ดปร้าดทันอกทันใจ ในยุคห้าจี. หกจี. แบบนี้ พอมองตาปุ๊บก็สามารถเข้าถึงเตียงนอนกันได้เลยทีเดียว ไม่เหมือนในยุคฉันที่ต้องมีขั้นตอนดูใจกันตั้งสี่ห้าขั้นตอน
เริ่มแรกก็คือลุ้นให้ใจตรงกันก่อน ซึ่งตาเฒ่าของฉันเขาต้องใช้ความพยายามอยู่เป็นปี กว่าจะกล้าสารภาพว่าชอบและทำให้ฉันยอมชอบตอบเขาได้ ขั้นต่อมาเมื่อรู้ว่าใจตรงกันแน่แล้ว ต่างคนก็ต้องพยายามทำตัวให้เป็นคนสำคัญของกันและกัน ต่อเมื่อสนิทสนมจนรู้ใจกันดี รู้กระทั่งว่าแต่ละคนมีข้อดีข้อเสียอะไรบ้างแล้วนั่นแหละ พวกเราถึงค่อยแต่งงาน และเราสองคนก็อยู่ด้วยกันมาจนถึงทุกวันนี้
ฉันรดน้ำต้นไม้เสร็จพอดี ยามที่รถซูเปอร์มาเก็ตเคลื่อนที่ขับขี่เข้ามาจอดเทียบตรงหน้าประตูรั้วบ้าน ที่ฉันเรียกรถจักรยานยนต์ดัดแปลงพ่วงข้างแบบนี้ ก็เพราะว่าเจ้าของรถเขาเป็นแม่ค้าที่ไปซื้อหาของกินมาจากในตลาดสด เขาเอาพวกของสดของคาว หรือขนมหวานมากมายหลายอย่างใส่ถุงพลาสติก แล้วห้อยระโยงระยางมาในกระบะพ่วงข้างซึ่งติดหลังคาคลุมตัวรถกันแดดฝน ที่ไหนห้อยได้เขาก็ห้อยจนแทบมองไม่เห็นตัวรถ มีแม่ค้าแบบนี้ก็นับว่าอำนวยความสะดวกให้กับคนแก่อย่างฉันได้มากทีเดียว เพราะได้อาศัยซื้อของกินจากเธอมาตลอดหลายปี ไม่ต้องลำบากยักแย่ยักยันไปจ่ายตลาดเองที่ไหนไกล ๆ
"วันนี้จะเอาอะไรมั่งล่ะคุณยาย" แม่ค้าถามเมื่อเห็นฉันปิดน้ำ วางสายยางแล้วเดินมาหา
"เออ...อยากได้ลูกชิ้นหมูสักถุง ยายจะเอาไปต้มเหยาะน้ำปลาใส่ให้ตาเฒ่าของยายกินเป็นมื้อเที่ยง"
ฉันนึกไปถึงมื้อเที่ยง หลังจากที่เช้านี้นั่งดื่มกาแฟไปคนละถ้วย กับจิ้มปาท่องโก๋ในนมข้นหวานกินกันสองคนกับตาเฒ่า แม่ค้าลงจากอานรถมาเลือกดูของ เมื่อเจอก็ปลดมันออกยื่นให้
"ตาไปไหนแล้วล่ะยาย"
เธอรับเงินที่ฉันล้วงจากในกระเป๋าเสื้อคลุมอาบน้ำจ่ายให้ เสื้อคลุมตัวนี้ฉันชอบมาก ตาเฒ่าของฉันซื้อมาฝากตั้งแต่ตอนที่เราแต่งงานกันใหม่ ๆ ผ่านไปหลายสิบปีมันก็ยังสวมใส่สบาย และฉันมักใส่มันลงมารดน้ำต้นไม้ทุกวัน เธอทอนตังค์พลางถามถึงตาเฒ่าของฉัน
"นอนดูข่าวเช้าในทีวี เขาไม่ค่อยอยากเดิน เห็นบ่นว่าปวดเข่า เป็นมานานแล้วล่ะ แต่แกดื้อมาก ไม่ยอมไปหามดหาหมอที่ไหน บอกว่ากินยาเดี๋ยวก็หาย นี่ก็หลายวันแล้ว ไม่เห็นหายสักที"
"อืม...ไม่หายก็พากันไปหาหมอซะเถอะนะยายนะ อยู่กันแค่สองตายาย เป็นอะไรมากไปเดี๋ยวจะลำบาก"
เธอบอกฉันสั้น ๆ แต่แววตาที่มองมามีคำพูดมากกว่านั้น ไม่เป็นไรหรอกน่า ฉันยิ้มให้ นึกชื่นชมในสายตาห่วงใยของแม่ค้าซูเปอร์มาเก็ตคนยาก
"ดอกต้นนี่เหม็นจังนะยาย"
เด็กสาวข้างบ้านเดินบ่นมากับแม่ เด็กปากเปราะบ่นถึงเรื่องกลิ่นดอกตีนเป็ดของฉันอีกแล้ว บ่นพลางเอามืออุดจมูก ทำท่าผะอืดผะอม
"มันกลิ่นแรงตอนกลางคืนเท่านั้นหรอก ถึงตอนนั้นก็หลับกันหมดแล้วล่ะน่า ยายเอาไว้ให้เป็นร่มเงา จะตัดก็เสียดาย"
ฉันก็ยังตอบเหมือนเดิมทุกครั้งที่โดนบ่น ฉันไม่มีทางตัดต้นไม้ที่ตัวเองปลูกแน่ ๆ
"ยายกินข้าวเช้ารึยังน่ะ เอาข้าวต้มไหม เช้านี้ฉันทำข้าวต้มหมูหม้อใหญ่ ยังมีอีกตั้งค่อนหม้อ" แต่คนเป็นแม่เขาเข้าใจคนแก่ เห็นจุ๊ปากเตือนลูกสาว แล้วหันมาถามฉันอย่างมีน้ำใจ
"ขอบใจจ้ะ แต่เช้า ๆ แบบนี้ ตากับยายไม่ค่อยหิวข้าวหรอก พากันกินกาแฟกับปาท่องโก๋จิ้มนมเรียบร้อยแล้วล่ะ" บอกเธอยิ้ม ๆ ซึ่งเธอก็พยักหน้า
"ตาไปไหนแล้วล่ะยาย ไม่เห็นออกมาหน้าบ้านหลายวันแล้ว"
"เขาปวดเข่า เดินไม่ค่อยไหวเลยไม่อยากลุกไปไหน กินกาแฟกินยาแล้วก็นอนดูทีวีอยู่ในบ้านนั่นแหละ"
(มีต่อ)