สวัสดีครับ วันนี้ผมจะขอมารีวิวการไปเที่ยว 3 จังหวัด คือ อุดรธานี - บึงกาฬ - หนองคาย
จุดเริ่มต้นของทริป
ตอนแรกผมกับเพื่อนอีก 3 คนอยากจะไปปางอุ๋งที่แม่ฮ่องสอน แต่ด้วยวันลาของแต่ละคน และตารางเวลาเครื่องบินไม่แมตช์เลยหันมาดูที่อื่นแทน ก็ไปสะดุดตาในรีวิวหนองคายรูป sky walk ที่หนองคายดูน่าสนใจมากเลยค่อยๆหารายละเอียดที่เที่ยวอื่นๆมากขึ้น ก็เลยออกมาว่าในช่วงที่เราจะไปเที่ยวกัน 3 วันนี้น่าจะพอเดินทางไปได้ทั้ง 3 จังหวัดนี้ได้แล้วจึงค่อยๆใส่สถานที่เที่ยวที่น่าสนใจในแต่ละจังหวัดมาเลือกกัน
-อุดรธานี : จังหวัดนี้มีตัวเลือกมากมายให้เราลอก 555 เพราะทาง Pantip ก็เคยพาเพื่อนๆสมาชิกไปรีวิวแล้ว
-บึงกาฬ : ถ้ำนาคา(ภูลังกา) วัดภูทอก น้ำตกกินรี หินสามวาฬ(ภูสิงห์)
-หนองคาย : Skywalk(วัดผาตากเสื้อ) ถ้ำดินเพียง(วัดชัยมงคล)
ต้องออกตัวก่อนว่าสมาชิกทุกคนนั้นเรานับถือพุทธทุกคนแต่ไม่ชอบการเข้าวัด ไหว้พระ หรือเลื่อมใสสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆ แต่พวกเราชอบการท่องเที่ยวเปิดหูเปิดตา ไปชื่นชมความสวยงามทางธรรมชาติต่างๆ แล้วพวกเราก็วางแผนไว้อย่างหลวมๆ ว่าเช้าวันแรกบินมาลงอุดรแล้วเช่ารถขับแวะเที่ยวในเมืองก่อนค่อยออกไปหนองคายตอนบ่ายๆ ส่วนวันถัดมาก็ค่อยขับรถจากหนองคายมาเที่ยวหินสามวาฬที่บึงกาฬ ส่วนวันสุดท้ายก็ขึ้นถ้ำนาคาตอนเช้า แล้วลงมาตอนบ่ายขับรถเข้าไปพักคาเฟ่แถวสนามบินอุดรเป็นอันจบ เราจึงเลือกจองที่พักใกล้ๆสถานที่ปลายทางของแต่ละวัน คือ คืนแรกจองไว้ที่ little garden resort คืนที่สองจองไว้ที่ ครัวไข่มุกอันดา&ภูพิงค์โฮมสเตย์ จองเที่ยวบินได้เป็นไทยสไมล์เพราะราคากับเวลาเหมาะกับแผนเราที่สุด เหลือเพียงแค่จองคิวเข้าอุทยานภูลังกาด้วยแอพ QueQ ซึ่ง ณ วันนั้น(ช่วงเดือนต.ค.) อุทยานเปิดให้จองล่วงหน้าได้แค่ 15 วัน ฉะนั้นถ้าพวกเราอยากไปถ้ำนาคาวันที่ 19 ธ.ค. ก็ต้องลงทะเบียนจองวันที่ 2 ธ.ค.
จุดหักเหของทริป
หลังจากได้ข่าวว่าอุทยานภูลังกาจะเปลี่ยนเวลาให้จองล่วงหน้าได้ถึง 60 วัน ตั้งแต่วันที่ 22 พ.ย. พวกเราจึงต้องตั้งตารอเพื่อจองคิวในวันนี้แทน เพราะส่วนหนึ่งเริ่มเห็นใน FB, IG เพื่อนๆหรือดาราเริ่มไปถ้ำนาคากันเยอะและประกอบกับสมาชิกในกลุ่มก็เตือนว่าอย่าประมาทเพราะคิวถ้ำนาคาเต็มเร็วมากเปิดปุ๊บเต็มปั๊บ (เบื้องต้น ผมไม่เชื่อเพราะไม่คิดว่าจะมีนักท่องเที่ยววันละ 500 คนเต็มทุกวันได้หรอก) ปรากฏว่าเมื่อถึงเวลา 0:01 ของวันที่ 22 พ.ย. คิวการเข้าอุทยานภูลังกาวันที่ 19 ธ.ค. ตามแผนเราเต็มไปเรียบร้อย พวกเราทุกคนเสียดายมากๆเพราะเป็นที่ๆอยากไปที่สุดในทริปนี้แล้ว แต่ก็เหมือนมีปาฏิหาริย์โผล่มาเมื่อสมาชิกในกลุ่มอีกคนบอกว่าวันที่ 17 ธ.ค. ยังเหลือรอบ 12:00-13:00 น.อยู่ จึงกดจองไปอย่างไม่คิด แล้วพวกเราก็ต้องไปมาสลับแผนการเดินทางใหม่จากที่เคยวางไว้คร่าวๆแล้ว ทั้งนี้ต้องขอขอบคุณที่พักทั้งสองวันที่กรุณาให้เลื่อนวันเข้าพักได้
เริ่มเดินทาง
หลังจากมีการปรับเปลี่ยนแผนสลับตามวันที่จองถ้ำนาคา แล้วเราจึงได้ออกเดินทางกันวันที่ 17 ธ.ค. ตามนี้
Day -1
- บินจากสนามบินสุวรรณภูมิ กรุงเทพฯไปลงสนามบินอุดรฯ ทำเรื่องเช่ารถเสร็จตอนประมาณ 8:30 น. เนื่องจากระยะเวลาที่ค่อนข้างกระชั้นที่เราต้องไปถึงภูลังกาตอน 12:00-13:00 น. พวกเราจึงทานแค่อาหารว่างที่ได้จากไทยสไมล์และรีบขับรถจากสนามบินอุดรฯ ไปหาอาหารเที่ยงทานแถวๆอุทยานแห่งชาติภูลังกา (บึงกาฬ) ซึ่งใช้เดินทาง 3 ชั่วโมง
- พวกเราเลือกร้าน ฮิมนาคาเฟ่ ที่อยู่ใกล้ๆกับทางขึ้นอุทยาน ร้านนี้ตั้งอยู่กลางทุ่งนา ลมพัดเย็นสบายๆ เราสั่งอาหารจานเดียวทานกันเร็วๆง่ายๆ และสั่งยำ 4 ทัพ กับ ไก่ทอดมาเป็นจานกลาง รสชาดอาหารดีมาก ลมเย็นสบาย ไม่ร้อน
- จากนั้นเรามาถึงอุทยานแห่งชาติภูลังกา เวลา 12:30 น. แสดงหลักฐานการจอง (QueQ) และจ่ายค่าเข้าคนละ 20 บาทก็จะเข้าสู่ทางขึ้น ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่จัดหาไกด์อาสาเพื่อเป็นผู้ดูแลให้แต่ละคณะนักเดินท่องเที่ยว โดยไก์อาสาจะไม่มีเงินเดือน รายได้ของพวกเขาจะขึ้นอยู่กับสินน้ำใจของนทท. หลังจากนั้นกลุ่มเราได้แม่มุขมาเป็นไกด์ให้และรู้ว่าเราเป็นกลุ่มสุดท้ายที่จะขึ้นของวันนี้แล้ว (ซึ่งรอบนี้จะถือเป็นรอบที่ 2 ของวันแล้วของแม่มุขเพราะเมื่อเช้านี้แกพานทท.ขึ้นไปชมถ้ำนาคาเสร็จแล้ว 1 รอบ)
- การเดินทางจะมีป้ายแสดงจุด check point ต่างๆตั้งแต่ A ไปสิ้นสุดที่ L เส้นทางก็จะเป็นลักษณะไต่เขา ปีนบันไดบ้างบางจุด ควรจะเตรียมถุงมือและน้ำดื่มใส่เป้สะพายหลังไป การที่เราขึ้นไปรอบเที่ยงกว่าๆ มีข้อดีคือไม่ร้อนอย่างที่คิด เพราะมีต้นไม้บังแดดและลมพัดตลอดเวลา และจะไม่มีคนมาไล่หลังกดดันเรา แต่ข้อเสียก็คือเราจะไม่สามารถไปชมสถานที่ได้ครบทั้งหมดเพราะจะมืดเสียก่อน
- ระหว่างทางก็จะพบก้อนหินรูปร่างต่างๆ ทั้งหินเต่า หินรูปปลาวาฬชูคอขึ้นมาจากน้ำ หินลายเกล็ดพยานาค หินรูปเห็ด จนกระทั่งเราไปถึงบนสุดก็จะลอดทางลงไปถ้ำนาคาได้ เป็นมุมที่ทุกคนมาถ่ายกัน
- สรุปแล้วถ้ำนาคา สวยงามเกินความคาดหมายมาก คุ้มค่าเหนื่อยเลย ให้ 10/10 ไม่หักเลยครับ แนะนำว่าควรมาดูสักครั้ง (แม่มุขที่เป็นไกด์ให้พวกเรานั้นยังได้บอกว่า งวดที่แล้วมีนทท.มาสักการะปู่นาคาแล้วลงไปนั่งเรือที่บึงโขงหลงเพื่อไปขอหวยที่เกาะดอนโพธิ์ ถูกตรงๆ แต่พวกเราแกงค์คนบาปก็ไม่ได้นำพา 555)
- หลังจากนั้นจึงเข้าที่พัก ครัวไข่มุกอันดา&ภูพิงค์โฮมสเตย์ แถวบึงโขงหลง ใกล้ๆกับถ้ำนาคา และก็ทานข้าวเย็นที่นั่นเลย ราคาไม่แพง จุดเด่นของที่นี่คืออยู่ติดกับบึงขนาดใหญ่ มีลมพัดเย็นตลอดวัน เช้าๆสามารถตื่นมาดูพระอาทิตย์ขึ้นได้
Day-2
- เข้าสู่วันที่ 2 เราก็ออกจากที่พักมาทานโจ๊กที่ในตลาด แล้วก็ตั้งใจจะรีบไปวัดภูทอกในช่วงเช้า แล้วตั้งใจจะไปดูพระอาทิตย์ตกที่หินสามวาฬ แต่พอขับรถผ่านบึงโขงหลงแล้วเหลือบไปเห็นดอกบัวลอยอยู่เต็มไปหมดสวยงามมาก จึงต้องเปลี่ยนแผนย้อนกลับมาหาท่าเรือแถวนั้นเพื่อเช่าเรือไปดูดอกบัว
- พวกเราเลือกเช่าท่าเรือใกล้ๆแถวนั้น ค่าเช่า 500 บาท (ซึ่งทางท่าเรือก็จะเสนอขายชุดบายศรีฯปู่นาคา และให้ปล่อยปลาไหล แน่นอนว่าเราไม่ได้ซื้อ) หลังจากออกเรือมาดูทุ่งดอกบัวแดงแล้ว เรือก็จะแวะไปส่งขึ้นเกาะดอนโพธิ์ คิดค่าเข้าเกาะคนละ 20 บาท พวกเราเลือกที่จะเข้าไปซึมซับบรรยากาศที่ชาวบ้านมาบูชาปู่นาคาและขอหวย
- จากนั้นก็เดินทางมายังวัดภูทอก มองขึ้นไปก็สูงมากๆ มีทั้งหมด 7 ชั้น ทางขึ้นชั้น1-5 จะเป็นบันไดและระเบียงที่ทำจากไม้ (ค่อนข้างน่าหวาดเสียวพอสมควร ใครเป็นโรคกลัวความสูงไม่แนะนำครับ) ส่วนชั้น 6-7 จะไม่มีทางเดินที่เป็นระเบียงไม้แล้วแต่เป็นการเดินเข้าป่าไปยังจุดชมวิว ส่งใครไม่ได้ดูแผนที่มาให้ดีก็อาจจะมีเดินวนหลงๆบ้าง เหมือนพวกเรา 555
- โดยรวมแล้ว ผมชอบวัดภูทอกมากที่สุดของทริปแล้ว เพราะได้บรรยากาศการผจญภัยมาก โดยเฉพาะชั้น 6-7 ที่ไม่ค่อยมีป้ายบอกทาง ให้ 10/10 เหมือนกันครับที่นี่
- ต่อมาจึงไปแวะพักที่คาเฟ่ชื่อ Supparose ซึ่งแต่งเป็นสไตล์สวนอังกฤษสวยๆ มีมุมให้ถ่ายรูปมากมาย ทั้งโซนสวน สวนซุ้มฟาง บันไดสีขาว คาวบอย มุมให้อาหารแพะ
- แล้วก็ไปต่อกันที่ภูสิงห์ เพื่อขึ้นไปชมหินสามวาฬ เสียค่ารถ 500 บาท จะมีเจ้าหน้าที่ขับรถกระบะขึ้นไปส่งและช่วยดูแลนทท. (ขึ้นกับ Service mind ของเจ้าหน้าที่แต่ละคน) พวกเราเตรียม Drone เพื่อมาบินที่นี่โดยเฉพาะแต่ปรากฏว่าวันนี้ลมแรงมาก เจ้าหน้าที่บอกว่าแล้วแต่ช่วง บางสัปดาห์ก็ไม่มีลมแรง แล้วบนยอดเขาจะลมจะแรงกว่าด้านล่าง 3 เท่า ซึ่งไม่จริงเลย เพราะขึ้นไปแล้วลมแรงมากๆๆๆๆ เดินอยู่ก็มีเซๆได้เลย แถมหมวกผมปลิวลอยตกไปเลยด้วย T T
- มาถึงยอดก็เดินไปจนถึงหินสามวาฬ โดยส่วนที่เดินไปได้ก็จะมีหินพ่อวาฬ และหินแม่วาฬ บนพื้นจะมีสติ๊กเกอร์สีเหลืองติดไว้เป็นระยะปลอดภัย ไม่ควรก้าวเกินออกไปหลังเส้นนี้แล้ว เพราะจะตกเขาได้ ตอนถ่ายรูปตรงจุดนี้ก็เสียวมากเพราะลมแรงมากจริงๆ จากที่เคยคิดว่าจะดูพระอาทิตย์ตกบนนี้ก็ต้องรีบลงเลย
- แต่ขาลงเจ้าหน้าที่ขับรถจอดแวะให้พวกเราลงไปถ่ายรูปที่ช่องประตูสวรรค์ ซึ่งเหนือความคาดหมายมาก จุดนี้ถ่ายตอนพระอาทิตย์ตกสวยสุดๆ ถือว่าคุ้มเลยครับ ให้ 9/10 หักเพราะวันนี้ลมแรงมาก บินโดรนไม่ได้ 5555
- จากนั้นก็กลับออกมา ขับรถเข้าที่พัก ซึ่งใกล้ๆก็มีตลาด มีไรให้กินเยอะ
Day 3
- วันนี้พวกเราต้องตื่นเช้าหน่อยเพราะต้องขับรถจากบึงกาฬไปหนองคายใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง จึงตัดสินใจไปทาน Brunch ระหว่างทางซึ่งพวกเราเลือกร้าน ระเบียงริมโขง ซึ่งอาหารอร่อย แต่ราคาก็แอบแพง
- จากนั้นก็ไปชม Sky Walk ที่วัดผาตากเสื้อ มีค่าถุงคลุมรองเท้าคนละ 20 บาท หรือจะเตรียมมาเองก็ได้ ซึ่งความรู้สึกส่วนตัวคือวิวสวยมาก แต่ตัว sky walk ดูธรรมดามาก ให้ 7/10
- แล้วก็ไปต่อกันที่ถ้ำดินเพียง ซึ่งมีค่าบริจาคธูปบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก่อนเข้าถ้ำตามกำลังศรัทธา ค่าไฟ 100 บาท/คณะ และค่าไกด์ตามกำลังศรัทธา การเข้าไปข้างใน โหดมาก ต้องมีมุด หมอบ คลาน ก้มต่ำ ไม่ควรพกของเข้าไปเยอะและผู้สูงอายุหรือร่างกายไม่แข็งแรงไม่ควรเข้าไป โดยรวมให้ 7/10
- ออกมาจากถ้ำดินเพียงตอน 14:00 น. เหลือเวลาไปสนามบินแค่ 3 ชั่วโมง แต่เหมือนสวรรค์ลงโทษแกงค์คนบาป google พาไปทางลัดแต่เข้าไปในป่ายางและรถติดหล่ม เดชะบุญที่พวกเราเดินออกไปเจอน้องคนพื้นที่ขับมอเตอร์ไซด์ผ่านมาพอดี จึงขอความช่วยเหลือ น้องเขาหายไปพักนึงแล้วกลับมาพร้อมรถขุด เพื่อมาช่วยขุดเตรียมทางและลากรถเราออกมาได้
ประทับใจความีน้ำใจของน้องคนนี้มากๆช่วยเหลือโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน
- เสียเวลาไปประมาณ 1 ชั่วโมง จากนั้นก็ตรงไปสนามบินทันเวลาพอดี แล้วก็บินกลับกรุงเทพฯอย่างปลอดภัย
สรุปส่งท้าย
- โดยรวมทริปนี้สนุกมาก มีหลายๆที่ ที่ไปแล้วเหนือความคาดหมายมากๆ สวยงามเกินบรรยาย ได้ประสบการณ์ดีๆเยอะ ประทับใจในอัธยาศัยของชาวบ้านในพื้นที่มากๆ แนะนำให้ลองมาสัมผัสด้วยตัวเองครับ
[CR] ทริป คนบาปตามหาปู่นาคา...ไม่เชื่อแต่ก็ไม่ลบหลู่ 3 วัน 2 คืน อุดร-บึงกาฬ-หนองคาย
จุดเริ่มต้นของทริป
ตอนแรกผมกับเพื่อนอีก 3 คนอยากจะไปปางอุ๋งที่แม่ฮ่องสอน แต่ด้วยวันลาของแต่ละคน และตารางเวลาเครื่องบินไม่แมตช์เลยหันมาดูที่อื่นแทน ก็ไปสะดุดตาในรีวิวหนองคายรูป sky walk ที่หนองคายดูน่าสนใจมากเลยค่อยๆหารายละเอียดที่เที่ยวอื่นๆมากขึ้น ก็เลยออกมาว่าในช่วงที่เราจะไปเที่ยวกัน 3 วันนี้น่าจะพอเดินทางไปได้ทั้ง 3 จังหวัดนี้ได้แล้วจึงค่อยๆใส่สถานที่เที่ยวที่น่าสนใจในแต่ละจังหวัดมาเลือกกัน
-อุดรธานี : จังหวัดนี้มีตัวเลือกมากมายให้เราลอก 555 เพราะทาง Pantip ก็เคยพาเพื่อนๆสมาชิกไปรีวิวแล้ว
-บึงกาฬ : ถ้ำนาคา(ภูลังกา) วัดภูทอก น้ำตกกินรี หินสามวาฬ(ภูสิงห์)
-หนองคาย : Skywalk(วัดผาตากเสื้อ) ถ้ำดินเพียง(วัดชัยมงคล)
ต้องออกตัวก่อนว่าสมาชิกทุกคนนั้นเรานับถือพุทธทุกคนแต่ไม่ชอบการเข้าวัด ไหว้พระ หรือเลื่อมใสสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆ แต่พวกเราชอบการท่องเที่ยวเปิดหูเปิดตา ไปชื่นชมความสวยงามทางธรรมชาติต่างๆ แล้วพวกเราก็วางแผนไว้อย่างหลวมๆ ว่าเช้าวันแรกบินมาลงอุดรแล้วเช่ารถขับแวะเที่ยวในเมืองก่อนค่อยออกไปหนองคายตอนบ่ายๆ ส่วนวันถัดมาก็ค่อยขับรถจากหนองคายมาเที่ยวหินสามวาฬที่บึงกาฬ ส่วนวันสุดท้ายก็ขึ้นถ้ำนาคาตอนเช้า แล้วลงมาตอนบ่ายขับรถเข้าไปพักคาเฟ่แถวสนามบินอุดรเป็นอันจบ เราจึงเลือกจองที่พักใกล้ๆสถานที่ปลายทางของแต่ละวัน คือ คืนแรกจองไว้ที่ little garden resort คืนที่สองจองไว้ที่ ครัวไข่มุกอันดา&ภูพิงค์โฮมสเตย์ จองเที่ยวบินได้เป็นไทยสไมล์เพราะราคากับเวลาเหมาะกับแผนเราที่สุด เหลือเพียงแค่จองคิวเข้าอุทยานภูลังกาด้วยแอพ QueQ ซึ่ง ณ วันนั้น(ช่วงเดือนต.ค.) อุทยานเปิดให้จองล่วงหน้าได้แค่ 15 วัน ฉะนั้นถ้าพวกเราอยากไปถ้ำนาคาวันที่ 19 ธ.ค. ก็ต้องลงทะเบียนจองวันที่ 2 ธ.ค.
จุดหักเหของทริป
หลังจากได้ข่าวว่าอุทยานภูลังกาจะเปลี่ยนเวลาให้จองล่วงหน้าได้ถึง 60 วัน ตั้งแต่วันที่ 22 พ.ย. พวกเราจึงต้องตั้งตารอเพื่อจองคิวในวันนี้แทน เพราะส่วนหนึ่งเริ่มเห็นใน FB, IG เพื่อนๆหรือดาราเริ่มไปถ้ำนาคากันเยอะและประกอบกับสมาชิกในกลุ่มก็เตือนว่าอย่าประมาทเพราะคิวถ้ำนาคาเต็มเร็วมากเปิดปุ๊บเต็มปั๊บ (เบื้องต้น ผมไม่เชื่อเพราะไม่คิดว่าจะมีนักท่องเที่ยววันละ 500 คนเต็มทุกวันได้หรอก) ปรากฏว่าเมื่อถึงเวลา 0:01 ของวันที่ 22 พ.ย. คิวการเข้าอุทยานภูลังกาวันที่ 19 ธ.ค. ตามแผนเราเต็มไปเรียบร้อย พวกเราทุกคนเสียดายมากๆเพราะเป็นที่ๆอยากไปที่สุดในทริปนี้แล้ว แต่ก็เหมือนมีปาฏิหาริย์โผล่มาเมื่อสมาชิกในกลุ่มอีกคนบอกว่าวันที่ 17 ธ.ค. ยังเหลือรอบ 12:00-13:00 น.อยู่ จึงกดจองไปอย่างไม่คิด แล้วพวกเราก็ต้องไปมาสลับแผนการเดินทางใหม่จากที่เคยวางไว้คร่าวๆแล้ว ทั้งนี้ต้องขอขอบคุณที่พักทั้งสองวันที่กรุณาให้เลื่อนวันเข้าพักได้
เริ่มเดินทาง
หลังจากมีการปรับเปลี่ยนแผนสลับตามวันที่จองถ้ำนาคา แล้วเราจึงได้ออกเดินทางกันวันที่ 17 ธ.ค. ตามนี้
Day -1
- บินจากสนามบินสุวรรณภูมิ กรุงเทพฯไปลงสนามบินอุดรฯ ทำเรื่องเช่ารถเสร็จตอนประมาณ 8:30 น. เนื่องจากระยะเวลาที่ค่อนข้างกระชั้นที่เราต้องไปถึงภูลังกาตอน 12:00-13:00 น. พวกเราจึงทานแค่อาหารว่างที่ได้จากไทยสไมล์และรีบขับรถจากสนามบินอุดรฯ ไปหาอาหารเที่ยงทานแถวๆอุทยานแห่งชาติภูลังกา (บึงกาฬ) ซึ่งใช้เดินทาง 3 ชั่วโมง
- พวกเราเลือกร้าน ฮิมนาคาเฟ่ ที่อยู่ใกล้ๆกับทางขึ้นอุทยาน ร้านนี้ตั้งอยู่กลางทุ่งนา ลมพัดเย็นสบายๆ เราสั่งอาหารจานเดียวทานกันเร็วๆง่ายๆ และสั่งยำ 4 ทัพ กับ ไก่ทอดมาเป็นจานกลาง รสชาดอาหารดีมาก ลมเย็นสบาย ไม่ร้อน
- จากนั้นเรามาถึงอุทยานแห่งชาติภูลังกา เวลา 12:30 น. แสดงหลักฐานการจอง (QueQ) และจ่ายค่าเข้าคนละ 20 บาทก็จะเข้าสู่ทางขึ้น ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่จัดหาไกด์อาสาเพื่อเป็นผู้ดูแลให้แต่ละคณะนักเดินท่องเที่ยว โดยไก์อาสาจะไม่มีเงินเดือน รายได้ของพวกเขาจะขึ้นอยู่กับสินน้ำใจของนทท. หลังจากนั้นกลุ่มเราได้แม่มุขมาเป็นไกด์ให้และรู้ว่าเราเป็นกลุ่มสุดท้ายที่จะขึ้นของวันนี้แล้ว (ซึ่งรอบนี้จะถือเป็นรอบที่ 2 ของวันแล้วของแม่มุขเพราะเมื่อเช้านี้แกพานทท.ขึ้นไปชมถ้ำนาคาเสร็จแล้ว 1 รอบ)
- การเดินทางจะมีป้ายแสดงจุด check point ต่างๆตั้งแต่ A ไปสิ้นสุดที่ L เส้นทางก็จะเป็นลักษณะไต่เขา ปีนบันไดบ้างบางจุด ควรจะเตรียมถุงมือและน้ำดื่มใส่เป้สะพายหลังไป การที่เราขึ้นไปรอบเที่ยงกว่าๆ มีข้อดีคือไม่ร้อนอย่างที่คิด เพราะมีต้นไม้บังแดดและลมพัดตลอดเวลา และจะไม่มีคนมาไล่หลังกดดันเรา แต่ข้อเสียก็คือเราจะไม่สามารถไปชมสถานที่ได้ครบทั้งหมดเพราะจะมืดเสียก่อน
- ระหว่างทางก็จะพบก้อนหินรูปร่างต่างๆ ทั้งหินเต่า หินรูปปลาวาฬชูคอขึ้นมาจากน้ำ หินลายเกล็ดพยานาค หินรูปเห็ด จนกระทั่งเราไปถึงบนสุดก็จะลอดทางลงไปถ้ำนาคาได้ เป็นมุมที่ทุกคนมาถ่ายกัน
- สรุปแล้วถ้ำนาคา สวยงามเกินความคาดหมายมาก คุ้มค่าเหนื่อยเลย ให้ 10/10 ไม่หักเลยครับ แนะนำว่าควรมาดูสักครั้ง (แม่มุขที่เป็นไกด์ให้พวกเรานั้นยังได้บอกว่า งวดที่แล้วมีนทท.มาสักการะปู่นาคาแล้วลงไปนั่งเรือที่บึงโขงหลงเพื่อไปขอหวยที่เกาะดอนโพธิ์ ถูกตรงๆ แต่พวกเราแกงค์คนบาปก็ไม่ได้นำพา 555)
- หลังจากนั้นจึงเข้าที่พัก ครัวไข่มุกอันดา&ภูพิงค์โฮมสเตย์ แถวบึงโขงหลง ใกล้ๆกับถ้ำนาคา และก็ทานข้าวเย็นที่นั่นเลย ราคาไม่แพง จุดเด่นของที่นี่คืออยู่ติดกับบึงขนาดใหญ่ มีลมพัดเย็นตลอดวัน เช้าๆสามารถตื่นมาดูพระอาทิตย์ขึ้นได้
Day-2
- เข้าสู่วันที่ 2 เราก็ออกจากที่พักมาทานโจ๊กที่ในตลาด แล้วก็ตั้งใจจะรีบไปวัดภูทอกในช่วงเช้า แล้วตั้งใจจะไปดูพระอาทิตย์ตกที่หินสามวาฬ แต่พอขับรถผ่านบึงโขงหลงแล้วเหลือบไปเห็นดอกบัวลอยอยู่เต็มไปหมดสวยงามมาก จึงต้องเปลี่ยนแผนย้อนกลับมาหาท่าเรือแถวนั้นเพื่อเช่าเรือไปดูดอกบัว
- พวกเราเลือกเช่าท่าเรือใกล้ๆแถวนั้น ค่าเช่า 500 บาท (ซึ่งทางท่าเรือก็จะเสนอขายชุดบายศรีฯปู่นาคา และให้ปล่อยปลาไหล แน่นอนว่าเราไม่ได้ซื้อ) หลังจากออกเรือมาดูทุ่งดอกบัวแดงแล้ว เรือก็จะแวะไปส่งขึ้นเกาะดอนโพธิ์ คิดค่าเข้าเกาะคนละ 20 บาท พวกเราเลือกที่จะเข้าไปซึมซับบรรยากาศที่ชาวบ้านมาบูชาปู่นาคาและขอหวย
- จากนั้นก็เดินทางมายังวัดภูทอก มองขึ้นไปก็สูงมากๆ มีทั้งหมด 7 ชั้น ทางขึ้นชั้น1-5 จะเป็นบันไดและระเบียงที่ทำจากไม้ (ค่อนข้างน่าหวาดเสียวพอสมควร ใครเป็นโรคกลัวความสูงไม่แนะนำครับ) ส่วนชั้น 6-7 จะไม่มีทางเดินที่เป็นระเบียงไม้แล้วแต่เป็นการเดินเข้าป่าไปยังจุดชมวิว ส่งใครไม่ได้ดูแผนที่มาให้ดีก็อาจจะมีเดินวนหลงๆบ้าง เหมือนพวกเรา 555
- โดยรวมแล้ว ผมชอบวัดภูทอกมากที่สุดของทริปแล้ว เพราะได้บรรยากาศการผจญภัยมาก โดยเฉพาะชั้น 6-7 ที่ไม่ค่อยมีป้ายบอกทาง ให้ 10/10 เหมือนกันครับที่นี่
- ต่อมาจึงไปแวะพักที่คาเฟ่ชื่อ Supparose ซึ่งแต่งเป็นสไตล์สวนอังกฤษสวยๆ มีมุมให้ถ่ายรูปมากมาย ทั้งโซนสวน สวนซุ้มฟาง บันไดสีขาว คาวบอย มุมให้อาหารแพะ
- แล้วก็ไปต่อกันที่ภูสิงห์ เพื่อขึ้นไปชมหินสามวาฬ เสียค่ารถ 500 บาท จะมีเจ้าหน้าที่ขับรถกระบะขึ้นไปส่งและช่วยดูแลนทท. (ขึ้นกับ Service mind ของเจ้าหน้าที่แต่ละคน) พวกเราเตรียม Drone เพื่อมาบินที่นี่โดยเฉพาะแต่ปรากฏว่าวันนี้ลมแรงมาก เจ้าหน้าที่บอกว่าแล้วแต่ช่วง บางสัปดาห์ก็ไม่มีลมแรง แล้วบนยอดเขาจะลมจะแรงกว่าด้านล่าง 3 เท่า ซึ่งไม่จริงเลย เพราะขึ้นไปแล้วลมแรงมากๆๆๆๆ เดินอยู่ก็มีเซๆได้เลย แถมหมวกผมปลิวลอยตกไปเลยด้วย T T
- มาถึงยอดก็เดินไปจนถึงหินสามวาฬ โดยส่วนที่เดินไปได้ก็จะมีหินพ่อวาฬ และหินแม่วาฬ บนพื้นจะมีสติ๊กเกอร์สีเหลืองติดไว้เป็นระยะปลอดภัย ไม่ควรก้าวเกินออกไปหลังเส้นนี้แล้ว เพราะจะตกเขาได้ ตอนถ่ายรูปตรงจุดนี้ก็เสียวมากเพราะลมแรงมากจริงๆ จากที่เคยคิดว่าจะดูพระอาทิตย์ตกบนนี้ก็ต้องรีบลงเลย
- แต่ขาลงเจ้าหน้าที่ขับรถจอดแวะให้พวกเราลงไปถ่ายรูปที่ช่องประตูสวรรค์ ซึ่งเหนือความคาดหมายมาก จุดนี้ถ่ายตอนพระอาทิตย์ตกสวยสุดๆ ถือว่าคุ้มเลยครับ ให้ 9/10 หักเพราะวันนี้ลมแรงมาก บินโดรนไม่ได้ 5555
- จากนั้นก็กลับออกมา ขับรถเข้าที่พัก ซึ่งใกล้ๆก็มีตลาด มีไรให้กินเยอะ
Day 3
- วันนี้พวกเราต้องตื่นเช้าหน่อยเพราะต้องขับรถจากบึงกาฬไปหนองคายใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง จึงตัดสินใจไปทาน Brunch ระหว่างทางซึ่งพวกเราเลือกร้าน ระเบียงริมโขง ซึ่งอาหารอร่อย แต่ราคาก็แอบแพง
- จากนั้นก็ไปชม Sky Walk ที่วัดผาตากเสื้อ มีค่าถุงคลุมรองเท้าคนละ 20 บาท หรือจะเตรียมมาเองก็ได้ ซึ่งความรู้สึกส่วนตัวคือวิวสวยมาก แต่ตัว sky walk ดูธรรมดามาก ให้ 7/10
- แล้วก็ไปต่อกันที่ถ้ำดินเพียง ซึ่งมีค่าบริจาคธูปบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก่อนเข้าถ้ำตามกำลังศรัทธา ค่าไฟ 100 บาท/คณะ และค่าไกด์ตามกำลังศรัทธา การเข้าไปข้างใน โหดมาก ต้องมีมุด หมอบ คลาน ก้มต่ำ ไม่ควรพกของเข้าไปเยอะและผู้สูงอายุหรือร่างกายไม่แข็งแรงไม่ควรเข้าไป โดยรวมให้ 7/10
- ออกมาจากถ้ำดินเพียงตอน 14:00 น. เหลือเวลาไปสนามบินแค่ 3 ชั่วโมง แต่เหมือนสวรรค์ลงโทษแกงค์คนบาป google พาไปทางลัดแต่เข้าไปในป่ายางและรถติดหล่ม เดชะบุญที่พวกเราเดินออกไปเจอน้องคนพื้นที่ขับมอเตอร์ไซด์ผ่านมาพอดี จึงขอความช่วยเหลือ น้องเขาหายไปพักนึงแล้วกลับมาพร้อมรถขุด เพื่อมาช่วยขุดเตรียมทางและลากรถเราออกมาได้ ประทับใจความีน้ำใจของน้องคนนี้มากๆช่วยเหลือโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน
- เสียเวลาไปประมาณ 1 ชั่วโมง จากนั้นก็ตรงไปสนามบินทันเวลาพอดี แล้วก็บินกลับกรุงเทพฯอย่างปลอดภัย
สรุปส่งท้าย
- โดยรวมทริปนี้สนุกมาก มีหลายๆที่ ที่ไปแล้วเหนือความคาดหมายมากๆ สวยงามเกินบรรยาย ได้ประสบการณ์ดีๆเยอะ ประทับใจในอัธยาศัยของชาวบ้านในพื้นที่มากๆ แนะนำให้ลองมาสัมผัสด้วยตัวเองครับ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้