“
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก! ราตรี! ก๊อก! ก๊อก! เฮ้ยยยย ราตรี! ราตรีได้ยินไหม ปังๆๆๆ ราตรี!!” ฉันสะดุ้งสุดตัว กระเด้งลุกพรวดขึ้นมานั่งด้วยความตกใจ มองไปที่ประตูที่ถูกระดมเคาะจนประตูสั่นคลอน ส่งเสียงดังสนั่นหวั่นไหว
“
เออๆ ได้ยินแล้ว!! เดี๋ยวออกไป!!” ฉันตะโกนตอบกลับไปทันที ด้วยความหงุดหงิด ที่ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมากะทันหัน
พอฉันลุกขึ้นยืน เพื่อที่จะออกไปนอกห้อง ก็ถึงกลับเซหน้ามืด จึงรีบยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาชันหัวเตียงเอาไว้ทันที เพื่อไม่ให้ตัวเองล้มลงไปนั่งกองอยู่กับพื้น ส่วนมืออีกข้างก็ยกขึ้นมานวดที่ขมับ ฉันรู้สึกมึนๆ อึนๆ ยังไงก็ไม่รู้ เหมือนร่างกายมันล้าไปหมด ทั้งๆ ที่ฉันเพิ่งตื่นนอนมาแท้ๆ ทำไมถึงเป็นแบบนี้
ฉันนั่งปรับอารมณ์และร่างกายของตัวเองให้เข้าที่อยู่สักพัก เมื่อสติกลับมาเต็มร้อยแล้ว ฉันก็ลุกขึ้นเดินออกไปจากห้องทันที
“
โอ้โห!!… กว่าจะออกมา กูก็รอตั้งนาน ทำไมวันนี้ตื่นสายจังวะ” เดินพ้นประตูออกมาได้ก้าวเดียว ไอ้ตะวันก็ร้องทักขึ้นมาทันที
“
ไม่รู้ว่ะ รู้สึกแปลกๆ เหมือนไม่ได้นอนเลย แล้วนี่ออกไปดูงานมาแล้วเหรอ ทำไมกลับมาเร็วจังวะ” ฉันพูด แล้วเดินไปทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ตะวันที่กำลังยืนแกะถุงแกงที่ซื้อมาอยู่
“
ไวห่าอะไร! นี่ก็ปาไปบ่ายสามแล้วนะแม่คุณ จะนอนไปถึงไหน”
“
ฮะ!! บ่ายสามแล้วอ้อ ทำไมกูนอนนานจังวะ กูก็นึกว่าเพิ่งเที่ยง” ฉันพูดออกมาด้วยความตกใจ ไม่คิดว่าตัวเองจะนอนตื่นสายขนาดนี้
“ก็เออไง กูปลุกตั้งนานกว่าจะตื่น อะ…เอาไปแกะด้วย เดี๋ยวกูไปตักข้าวก่อน” ตะวันดันถุงแกงมาให้ฉันแกะต่อ แล้วมันก็เดินไปตักข้าวมาวาง
“วันนี้ไปทำงานมาเป็นยังไงบ้างวะ” ฉันถามตะวันออกไป เมื่อเห็นตะวันที่เดินไปเปิดทีวี แล้วเดินกลับมานั่งช่วยกันแกะถุงกับข้าวที่เหลือต่อ
“ก็ดีนะ แต่ตอนขับรถออกไปจากบ้าน กูรู้สึกแปลกๆ ว่ะ”
“รู้สึกแปลกๆ ยังไง? ” ฉันถามขึ้นมาด้วยความสงสัย เมื่อเห็นไอ้ตะวันที่ช่วยกันแกะถุงกับข้าวจนเสร็จ มันหันมามองหน้าฉันด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป
“ก็เมื่อตอนเช้า กูเดินผ่านหน้าห้อง กูรู้สึกเสียวสันหลังแปลกๆ แบบอธิบายไม่ถูก พอกูหันไปมองที่หน้าประตู
กูก็ได้ยินเสียงขู่แว่วๆ ออกมา เสียงดังมากเลย เสียงเหมือนงูเลย แต่กูไม่แน่ใจ เลยลองเดินเข้าไปใกล้ๆ แล้วเอาหูแนบเข้าไปที่ประตูห้อง แต่ก็ไม่ได้ยินเสียงอะไร”
“งูเหรอ!! แน่ใจได้ยังไงว่าเป็นเสียงงู? ”
“แน่ใจดิ! ก็ได้ยินเต็มสองหู เสียงเหมือนงูเวลามันขู่แบบที่เราเคยดูในหนังเลย แต่กูอาจจะคิดไปเองก็ได้ เพราะกูได้ยินแค่ครั้งเดียว หูกูอาจจะแว่วไปเอง แต่ประเด็นมันไม่ได้อยู่ตรงนั้นอะดิ ที่ว่าแปลกๆ
มันอยู่ตรงที่ สิ่งที่กูเจอมาวันนี้มากกว่า พอกูขับรถออกไปนอกบ้าน วันนี้กูก็เจอแต่คนขับรถตัดหน้ารถกูตลอดเลย หงุดหงิดชะมัด”
“ตัดหน้ารถเหรอ? เขาขับรถประมาทรึเปล่า อาจจะไม่ใช่อย่างที่คิดก็ได้นะ เดี๋ยวนี้คนขับรถใจร้อนกันจะตาย”
“ไม่ๆ มันแปลกๆ จริงๆ มันมากเกินไปที่จะเจอภายในวันเดียว นี่กูโดนไปตั้งสามสี่รอบเลยนะเว้ย คิดดู
วันนี้กูเอาเก๋งออกไปทำงาน ตอนที่กูขับมันออกไปจากบ้านได้สักพัก มองไกลๆ กูก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่ง ขี่รถจักรยานออกมาจากบ้าน กูขับตามหลังไป เห็นเขาปั่นอยู่ข้างหน้ารถกูอยู่ดีๆ พอกูจะขับผ่านไปเท่านั้นแหละ ก็ล้มแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยเซหักเข้ามาตัดหน้ารถกูเลย ดีนะที่กูขับชะลอมาอยู่แล้วเลยเบรกทัน ไม่งั้นกูเหยียบแน่นอน ยังไม่พอนะ
ตอนกูกำลังจะเลี้ยวรถออกไปจากซอย อยู่ดีๆ ก็มีรถคันหนึ่งวิ่งพุ่งเข้ามาตัดหน้ารถกูอีก!! ดีนะที่กูขับรถไม่เร็ว ไม่งั้นคงเบรกไม่ทัน ได้เสยหน้ากันไปข้างหนึ่งแน่นอน ยัง ยังไม่จบนะ
พอรถติดไฟแดง ก็มีรถวิ่งฝ่าไฟแดง จะเข้ามาชนรถกู!! ดีที่กูอยู่ริมสุด เลยหักหลบได้ทัน ไม่งั้นได้ประสานงานกันไปเต็มๆ แน่ คิดว่าความซวยของกูคงจะหมดแล้วใช่ไหม ยังจ้าาา ยังไม่หมด ยังจะปิดท้ายให้กูก่อนเข้างานอีก
กูผู้ซึ่งหัวใจจะวายตายหลายรอบ กำลังจะเลี้ยวรถเข้าไปที่ทำงาน ก็มีรถขับพุ่งข้ามเกาะกลางถนนจากอีกฝั่งหนึ่งเข้ามาหากู เหมือนเดิมคือกูรอดมาได้!! เป็นไงล่ะทีนี้ คิดว่ายังไงจ๊ะพี่สาววว แปลกพอไหม”
“เออออ...มันก็แปลกจริงๆ นั่นแหละ ยังไงก็ระวังตัวด้วยล่ะ กูว่ามันไม่น่าจะใช่แค่ตัดหน้ารถธรรมดาแล้ว แต่เหมือนมันจะมาเอาชีวิตเลย วันนี้กูก็ฝันแปลกๆ เหมือนกัน ไม่รู้ว่าทำไม ตื่นขึ้นมากูก็รู้สึกปวดเมื่อยไปหมดทั้งตัว เหมือนกูโดนอะไรสักอย่างทับอยู่ตลอดเวลา แถมยังรู้สึกเหมือนกูไม่ได้นอนเลยว่ะ ตอนมาปลุกกู กูก็ตกใจหัวใจแทบจะวาย เล่นปลุกกูซะเสียงดังลั่น”
“ปลุกเบาแล้วจะตื่นไหม รู้ตัวรึเปล่า ว่ากูปลุกตั้งนาน แต่ก็ไม่ยอมตื่น จนกูคิดว่าเป็นอะไรไปรึเปล่าวะ ถ้ายังไม่ตอบกูอีกห้านาที นี่กูจะเรียกปอเต็กตึ้งแล้วนะ”
“แต่ตอนนั้น กูไม่ได้ยินเสียงปลุกเลยนะเว้ยยย กูมาได้ยินหลังจากที่กูฝันว่ากูเปิดประตูเข้าไปที่ไหนสักแห่ง และสักพักกูก็ได้ยินเสียงเคาะประตูห้องนี่แหละ เสียงดังชะมัด”
“
แล้วฝันว่าอะไร? ” หลังจากที่ตะวันถามจบ ฉันก็เล่าความฝันของฉันให้มันฟังตั้งแต่ต้นจนจบทันที
เมื่อตะวันได้ฟังเรื่องราวความฝันของฉันจบ มันก็ขมวดคิ้วและจ้องมองมาที่ฉันเหมือนมันจะสงสัยอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรออกมา ได้แต่ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แล้วจ้องมองไปที่ทีวี ที่ตอนนี้กำลังรายงานข่าวตรงหน้า ก่อนที่มันจะตักข้าวเข้าปาก ทำเหมือนเมื่อกี้ไม่ได้ฟังเรื่องราวอะไร
“
ตะวัน! ไม่คิดว่ามันแปลกๆ เหรอ”
“แปลกแล้วยังไง? จะบอกว่าเสียงที่กูได้ยินเมื่อเช้า เป็นเสียงของพญานาคว่างั้น แล้วถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ พญานาคจะมาอยู่ในห้องของได้ยังไงวะราตรี! คิดสิคิด กูว่าเขาเข้ามาไม่ได้หรอก ที่เห็นตอนที่นั่งสมาธิรึในความฝันของ กูก็พอจะเข้าใจได้อยู่หรอกนะ แต่ถ้าจะบอกว่าเขามาอยู่ในห้องของ กูว่ามันเป็นไปไม่ได้”
“ถ้าไม่ใช่ งั้นเสียงเมื่อเช้าที่ได้ยิน มันคือเสียงอะไร ไหนบอกกูหน่อยดิตะวัน! แล้วอย่าลืมนะ ว่าอะไรมันก็เกิดขึ้นได้ มันไม่มีอะไรแน่นอนหรอก ก็รู้นี่”
“มันก็ใช่ แต่เมื่อเช้า กูอาจจะหูแว่วไปเองก็ได้”
“
ไม่คิดว่ามันจะบังเอิญไปหน่อยเหรอวะตะวัน ที่จะได้ยินเสียงงูขู่ ตอนที่กูกำลังฝันถึงพญานาคอยู่พอดี เชื่อกูไหม ว่ามันไม่มีคำว่าบังเอิญอยู่จริงในตอนนั้น”
“มันก็ไม่แน่ อาจจะเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ ก็ไ… นะ นั่นนน มัน เคร้งงงง”
ไม่รู้มันเป็นอะไรอยู่ดีๆ ไอ้ตะวันที่กำลังพูดอยู่ ก็พูดติดอ่างขึ้นมาทันที ตาที่จับจ้องไปที่หน้าจอทีวี ก็เบิกกว้างขึ้นมาด้วยความตกใจ มือที่กำลังถือช้อนอยู่นั้น ก็สั่นระริกจนช้อนนั้นหลุดร่วงไปจากมือ หล่นลงไปกระทบกับจาน
“
ตอนนี้ทางตำรวจได้ทราบแล้วนะครับ ว่าโครงกระดูกปริศนาที่ทุกคนได้ให้ความสนใจกันเป็นอย่างมากนั้น เป็นโครงกระดูกของใคร ถ้าทุกคนจำได้ว่าก่อนหน้านี้ มีคนไปพบโครงกระดูกปริศนาที่ถูกทิ้งไว้ในป่าลึกบนเขา สามศพ ซึ่งตอนนี้กองพิสูจน์หลักฐาน ได้ชันสูตรผลออกมาแล้วว่า เป็นบุคคลดังต่อไปนี้”
ฉันที่ยังไม่เข้าใจว่าไอ้ตะวันมันเป็นอะไร ก็หันไปมองที่หน้าจอทีวีตาม เห็นผู้ชายคนหนึ่งกำลังรายงานข่าวอยู่ เขาได้พูดถึงการพบโครงกระดูกของศพ ที่ข้างๆ หน้าจอนั้น ขึ้นเป็นรูปและชื่อของผู้เสียชีวิตทั้งสามคนไว้ แจ้งให้ทราบว่าเป็นใครบ้าง
“
ราตรี!! คนที่อยู่ในรูป…สามคนนั้น มันคือสามคนที่กูเคยฝันเห็นเลย” ตะวันชี้นิ้วไปที่หน้าจอทีวี แล้วพูดขึ้นมาเสียงสั่นๆ “
ป่าก็เหมือนกันด้วย”
“ตะวันจำผิดคนรึเปล่า อาจจะแค่คนหน้าเหมือนก็ได้นะ” ตะวันที่ได้ยินก็รีบส่ายหน้าปฏิเสธทันที
“
ไม่ผิด สามคนนี้แหละ ในฝันก็ขึ้นรูปนี้เลย กูจำได้ ทำไมพวกเขาถึงได้ตายวะ คราวนี้พวกเราจะเอายังไงกันต่อดีราตรี!! พวกเขาตายกันไปแล้วจริงๆ แล้วพวกเราล่ะ จะตายไหม”
“ไม่ตายหรอก ยังไงก็ไม่ตาย เชื่อกูดิ ไม่เป็นอะไรหรอก แต่ต้องระวังตัวเอาไว้มากๆ ในเมื่อวันนั้นเรายังรอดกันมาได้ ยังไงถ้าเกิดอะไรขึ้นอีก เราก็ต้องรอดไปได้อีกเหมือนกัน เชื่อกู!” ตะวันที่ได้ยินก็นิ่งไป แต่ตายังคงจับจ้องมองไปที่หน้าจอทีวีนั้น
“กูก็ขอให้เป็นแบบนั้น แต่จากวันนี้ที่กูโดน กูก็เริ่มไม่แน่ใจแล้วว่ะ”
“เอาน่า ยังไงมันก็ต้องมีทางแก้ เชื่อกูดิ กินข้าวๆ ยังไงช่วงนี้ก็อย่าเพิ่งออกไปไหนบ่อยก็แล้วกัน” ตะวันที่ได้ยินก็พยักหน้ารับ
พวกเราทั้งคู่พากันนั่งดูข่าวและกินข้าวกันไปเงียบๆ ไม่มีใครพูดอะไร พวกเรานั่งจมอยู่กับความคิดของตัวเอง ฉันก็ไม่รู้หรอกว่าน้องของฉันกำลังคิดอะไรอยู่ ฉันก็ได้แต่คิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมา ขอให้มันไม่เลวร้ายมากจนเกินไป ยังไงฉันก็ต้องหาวิธีแก้ไขเรื่องราวเหล่านี้ให้ได้ แต่ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ
ต้องรู้ให้ได้ก่อนว่า…ทำไม เรื่องราวพวกนี้ ถึงได้วิ่งเข้ามาหาพวกเราถี่ขนาดนี้
หลังจากวันนั้นมาจนถึงวันนี้ ฉันก็ฝันถึงเรื่องราวแปลกๆ มากมาย
ส่วนมากก็จะฝันเห็นงูแปลกๆ รึไม่ก็พญานาคเข้ามาบ้างประปราย แต่ส่วนใหญ่ก็จะฝันเห็นว่าตัวเอง ได้ไปอยู่ในสถานที่แปลกๆ ที่ไม่เคยไปมาก่อน เจอเรื่องราวแปลกๆ ที่บางครั้งก็เห็นชายชุดดำปริศนาคนนั้น อยู่ในนั้นด้วย
ซึ่งฉันก็ไม่เข้าใจ ว่าสิ่งที่ฝันเห็นนั้น มันคืออะไร และต้องการจะสื่ออะไร รู้แค่เพียงว่าทุกครั้งที่ฝันเห็น
ฉันก็มักจะเข้าไปยืนอยู่ในสถานที่ต่างๆ ในเวลากลางคืน ที่มืดสนิท จนมองแทบไม่เห็นอะไร แต่ที่พอจะมองเห็นได้ ก็คงมีแต่พระจันทร์ดวงโตสีแดงสดดวงใหญ่ ที่ดูน่ากลัว มันแดงจนเหมือนสีของเลือด และสาดส่องแสงลงมาจากฟ้า
ช่างเป็นเวลากลางคืนที่ดูน่าหวาดกลัวเหลือเกิน เพราะบรรยากาศรอบด้านนั้นเย็นยะเยือกไปหมด ผู้คนต่างพากันกรีดร้องวิ่งหนี และล้มตายกันมากมาย บางคนก็ถูกเหยียบตาย บางคนก็ถูกฆ่าตาย บางคนก็ถูกสิ่งก่อสร้างต่างๆ ทับตาย ฉันยืนมองภาพเหล่านั้นอยู่ในความมืดด้วยความหดหู่ โดยที่ฉันไม่สามารถช่วยเหลืออะไรพวกเขาได้เลย
ทุกครั้งที่ฉันตื่นขึ้นมาจากความฝันเหล่านั้น ฉันก็มักจะรู้สึกเหนื่อยล้าและไม่มีแรง เหมือนแรงของฉันนั้น มันถูกดูดเอาไปใช้จนหมด ตั้งแต่อยู่ในความฝันแล้ว จะมีก็แค่บางวันเท่านั้น ที่ฉันจะได้พักผ่อนจริงๆ นั่นก็คือวันที่ฉันไม่ต้องฝันถึงเรื่องราวเหล่านั้น และฉันก็หวังเอาไว้มากว่าตัวเองจะฝันถึงเรื่องราวเหล่านั้นน้อยลง แต่เหมือนโชคชะตา จะไม่ค่อยเข้าข้างฉันสักเท่าไหร่ เพราะฉันฝันเห็นเรื่องราวเหล่านั้นแทบทุกวัน จนฉันรู้สึกหลอนบวกกับรู้สึกเหมือนตัวเองพักผ่อนไม่เพียงพอ จนเริ่มจะไม่ไหว จนฉันต้องระบายออกมา
“
ขอล่ะ ไม่ไหวแล้ว ถ้ายังเป็นแบบนี้อยู่ หนูต้องตายก่อนแน่ๆ ถ้าจะมาบอกอะไร ก็มาบอกกันตรงๆ เลยสิ อย่าทำแบบนี้ หนูมันโง่ หนูไม่รู้หรอก ว่าท่านต้องการจะสื่อสารอะไร และก็ไม่เข้าใจด้วยกับวิธีที่ท่านทำกับหนูอยู่ หนูเหนื่อยและก็หลอนมาก จนทนแทบจะทนไม่ไหวแล้ว” ฉันพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เหนื่อยล้าและสั่นเครือ กับสิ่งที่ตนต้องเจอแทบทุกคืน ก่อนที่จะทิ้งตัวลงไปนอนอย่างอ่อนแรง แล้วค่อยๆ ปิดเปลือกตาที่หนักอึ้งลงช้าๆ ช้าๆ เพื่อเข้าสู่ห้วงนิทรา
ขณะที่ฉันกำลังจะก้าวเข้าสู่ห้วงนิทรา ฉันก็รู้สึกเหมือนมีลมขนาดใหญ่พัดผ่านร่างของฉันไป แล้วมีเสียงลมหายใจรวยรินรดอยู่ที่ข้างใบหูของฉัน แต่ฉันก็ไม่สามารถที่จะขยับตัวหรือลืมตาขึ้นมามองได้
“
จงหลับให้สบาย แล้วข้าจะให้ตามที่เจ้าขอ” เมื่อเสียงนั้นพูดจบลง สติที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดของฉันก็ค่อยๆ ดับไป
มหาภัยพิบัติ 7 วันล้างโลก 📍ตอนที่ ๕ ความบังเอิญที่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ📍
“เออๆ ได้ยินแล้ว!! เดี๋ยวออกไป!!” ฉันตะโกนตอบกลับไปทันที ด้วยความหงุดหงิด ที่ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมากะทันหัน
พอฉันลุกขึ้นยืน เพื่อที่จะออกไปนอกห้อง ก็ถึงกลับเซหน้ามืด จึงรีบยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาชันหัวเตียงเอาไว้ทันที เพื่อไม่ให้ตัวเองล้มลงไปนั่งกองอยู่กับพื้น ส่วนมืออีกข้างก็ยกขึ้นมานวดที่ขมับ ฉันรู้สึกมึนๆ อึนๆ ยังไงก็ไม่รู้ เหมือนร่างกายมันล้าไปหมด ทั้งๆ ที่ฉันเพิ่งตื่นนอนมาแท้ๆ ทำไมถึงเป็นแบบนี้
ฉันนั่งปรับอารมณ์และร่างกายของตัวเองให้เข้าที่อยู่สักพัก เมื่อสติกลับมาเต็มร้อยแล้ว ฉันก็ลุกขึ้นเดินออกไปจากห้องทันที
“โอ้โห!!… กว่าจะออกมา กูก็รอตั้งนาน ทำไมวันนี้ตื่นสายจังวะ” เดินพ้นประตูออกมาได้ก้าวเดียว ไอ้ตะวันก็ร้องทักขึ้นมาทันที
“ไม่รู้ว่ะ รู้สึกแปลกๆ เหมือนไม่ได้นอนเลย แล้วนี่ออกไปดูงานมาแล้วเหรอ ทำไมกลับมาเร็วจังวะ” ฉันพูด แล้วเดินไปทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ตะวันที่กำลังยืนแกะถุงแกงที่ซื้อมาอยู่
“ไวห่าอะไร! นี่ก็ปาไปบ่ายสามแล้วนะแม่คุณ จะนอนไปถึงไหน”
“ฮะ!! บ่ายสามแล้วอ้อ ทำไมกูนอนนานจังวะ กูก็นึกว่าเพิ่งเที่ยง” ฉันพูดออกมาด้วยความตกใจ ไม่คิดว่าตัวเองจะนอนตื่นสายขนาดนี้
“ก็เออไง กูปลุกตั้งนานกว่าจะตื่น อะ…เอาไปแกะด้วย เดี๋ยวกูไปตักข้าวก่อน” ตะวันดันถุงแกงมาให้ฉันแกะต่อ แล้วมันก็เดินไปตักข้าวมาวาง
“วันนี้ไปทำงานมาเป็นยังไงบ้างวะ” ฉันถามตะวันออกไป เมื่อเห็นตะวันที่เดินไปเปิดทีวี แล้วเดินกลับมานั่งช่วยกันแกะถุงกับข้าวที่เหลือต่อ
“ก็ดีนะ แต่ตอนขับรถออกไปจากบ้าน กูรู้สึกแปลกๆ ว่ะ”
“รู้สึกแปลกๆ ยังไง? ” ฉันถามขึ้นมาด้วยความสงสัย เมื่อเห็นไอ้ตะวันที่ช่วยกันแกะถุงกับข้าวจนเสร็จ มันหันมามองหน้าฉันด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป
“ก็เมื่อตอนเช้า กูเดินผ่านหน้าห้อง กูรู้สึกเสียวสันหลังแปลกๆ แบบอธิบายไม่ถูก พอกูหันไปมองที่หน้าประตู กูก็ได้ยินเสียงขู่แว่วๆ ออกมา เสียงดังมากเลย เสียงเหมือนงูเลย แต่กูไม่แน่ใจ เลยลองเดินเข้าไปใกล้ๆ แล้วเอาหูแนบเข้าไปที่ประตูห้อง แต่ก็ไม่ได้ยินเสียงอะไร”
“งูเหรอ!! แน่ใจได้ยังไงว่าเป็นเสียงงู? ”
“แน่ใจดิ! ก็ได้ยินเต็มสองหู เสียงเหมือนงูเวลามันขู่แบบที่เราเคยดูในหนังเลย แต่กูอาจจะคิดไปเองก็ได้ เพราะกูได้ยินแค่ครั้งเดียว หูกูอาจจะแว่วไปเอง แต่ประเด็นมันไม่ได้อยู่ตรงนั้นอะดิ ที่ว่าแปลกๆ มันอยู่ตรงที่ สิ่งที่กูเจอมาวันนี้มากกว่า พอกูขับรถออกไปนอกบ้าน วันนี้กูก็เจอแต่คนขับรถตัดหน้ารถกูตลอดเลย หงุดหงิดชะมัด”
“ตัดหน้ารถเหรอ? เขาขับรถประมาทรึเปล่า อาจจะไม่ใช่อย่างที่คิดก็ได้นะ เดี๋ยวนี้คนขับรถใจร้อนกันจะตาย”
“ไม่ๆ มันแปลกๆ จริงๆ มันมากเกินไปที่จะเจอภายในวันเดียว นี่กูโดนไปตั้งสามสี่รอบเลยนะเว้ย คิดดู วันนี้กูเอาเก๋งออกไปทำงาน ตอนที่กูขับมันออกไปจากบ้านได้สักพัก มองไกลๆ กูก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่ง ขี่รถจักรยานออกมาจากบ้าน กูขับตามหลังไป เห็นเขาปั่นอยู่ข้างหน้ารถกูอยู่ดีๆ พอกูจะขับผ่านไปเท่านั้นแหละ ก็ล้มแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยเซหักเข้ามาตัดหน้ารถกูเลย ดีนะที่กูขับชะลอมาอยู่แล้วเลยเบรกทัน ไม่งั้นกูเหยียบแน่นอน ยังไม่พอนะ
ตอนกูกำลังจะเลี้ยวรถออกไปจากซอย อยู่ดีๆ ก็มีรถคันหนึ่งวิ่งพุ่งเข้ามาตัดหน้ารถกูอีก!! ดีนะที่กูขับรถไม่เร็ว ไม่งั้นคงเบรกไม่ทัน ได้เสยหน้ากันไปข้างหนึ่งแน่นอน ยัง ยังไม่จบนะ
พอรถติดไฟแดง ก็มีรถวิ่งฝ่าไฟแดง จะเข้ามาชนรถกู!! ดีที่กูอยู่ริมสุด เลยหักหลบได้ทัน ไม่งั้นได้ประสานงานกันไปเต็มๆ แน่ คิดว่าความซวยของกูคงจะหมดแล้วใช่ไหม ยังจ้าาา ยังไม่หมด ยังจะปิดท้ายให้กูก่อนเข้างานอีก
กูผู้ซึ่งหัวใจจะวายตายหลายรอบ กำลังจะเลี้ยวรถเข้าไปที่ทำงาน ก็มีรถขับพุ่งข้ามเกาะกลางถนนจากอีกฝั่งหนึ่งเข้ามาหากู เหมือนเดิมคือกูรอดมาได้!! เป็นไงล่ะทีนี้ คิดว่ายังไงจ๊ะพี่สาววว แปลกพอไหม”
“เออออ...มันก็แปลกจริงๆ นั่นแหละ ยังไงก็ระวังตัวด้วยล่ะ กูว่ามันไม่น่าจะใช่แค่ตัดหน้ารถธรรมดาแล้ว แต่เหมือนมันจะมาเอาชีวิตเลย วันนี้กูก็ฝันแปลกๆ เหมือนกัน ไม่รู้ว่าทำไม ตื่นขึ้นมากูก็รู้สึกปวดเมื่อยไปหมดทั้งตัว เหมือนกูโดนอะไรสักอย่างทับอยู่ตลอดเวลา แถมยังรู้สึกเหมือนกูไม่ได้นอนเลยว่ะ ตอนมาปลุกกู กูก็ตกใจหัวใจแทบจะวาย เล่นปลุกกูซะเสียงดังลั่น”
“ปลุกเบาแล้วจะตื่นไหม รู้ตัวรึเปล่า ว่ากูปลุกตั้งนาน แต่ก็ไม่ยอมตื่น จนกูคิดว่าเป็นอะไรไปรึเปล่าวะ ถ้ายังไม่ตอบกูอีกห้านาที นี่กูจะเรียกปอเต็กตึ้งแล้วนะ”
“แต่ตอนนั้น กูไม่ได้ยินเสียงปลุกเลยนะเว้ยยย กูมาได้ยินหลังจากที่กูฝันว่ากูเปิดประตูเข้าไปที่ไหนสักแห่ง และสักพักกูก็ได้ยินเสียงเคาะประตูห้องนี่แหละ เสียงดังชะมัด”
“แล้วฝันว่าอะไร? ” หลังจากที่ตะวันถามจบ ฉันก็เล่าความฝันของฉันให้มันฟังตั้งแต่ต้นจนจบทันที
เมื่อตะวันได้ฟังเรื่องราวความฝันของฉันจบ มันก็ขมวดคิ้วและจ้องมองมาที่ฉันเหมือนมันจะสงสัยอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรออกมา ได้แต่ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แล้วจ้องมองไปที่ทีวี ที่ตอนนี้กำลังรายงานข่าวตรงหน้า ก่อนที่มันจะตักข้าวเข้าปาก ทำเหมือนเมื่อกี้ไม่ได้ฟังเรื่องราวอะไร
“ตะวัน! ไม่คิดว่ามันแปลกๆ เหรอ”
“แปลกแล้วยังไง? จะบอกว่าเสียงที่กูได้ยินเมื่อเช้า เป็นเสียงของพญานาคว่างั้น แล้วถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ พญานาคจะมาอยู่ในห้องของได้ยังไงวะราตรี! คิดสิคิด กูว่าเขาเข้ามาไม่ได้หรอก ที่เห็นตอนที่นั่งสมาธิรึในความฝันของ กูก็พอจะเข้าใจได้อยู่หรอกนะ แต่ถ้าจะบอกว่าเขามาอยู่ในห้องของ กูว่ามันเป็นไปไม่ได้”
“ถ้าไม่ใช่ งั้นเสียงเมื่อเช้าที่ได้ยิน มันคือเสียงอะไร ไหนบอกกูหน่อยดิตะวัน! แล้วอย่าลืมนะ ว่าอะไรมันก็เกิดขึ้นได้ มันไม่มีอะไรแน่นอนหรอก ก็รู้นี่”
“มันก็ใช่ แต่เมื่อเช้า กูอาจจะหูแว่วไปเองก็ได้”
“ไม่คิดว่ามันจะบังเอิญไปหน่อยเหรอวะตะวัน ที่จะได้ยินเสียงงูขู่ ตอนที่กูกำลังฝันถึงพญานาคอยู่พอดี เชื่อกูไหม ว่ามันไม่มีคำว่าบังเอิญอยู่จริงในตอนนั้น”
“มันก็ไม่แน่ อาจจะเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ ก็ไ… นะ นั่นนน มัน เคร้งงงง”
ไม่รู้มันเป็นอะไรอยู่ดีๆ ไอ้ตะวันที่กำลังพูดอยู่ ก็พูดติดอ่างขึ้นมาทันที ตาที่จับจ้องไปที่หน้าจอทีวี ก็เบิกกว้างขึ้นมาด้วยความตกใจ มือที่กำลังถือช้อนอยู่นั้น ก็สั่นระริกจนช้อนนั้นหลุดร่วงไปจากมือ หล่นลงไปกระทบกับจาน
“ตอนนี้ทางตำรวจได้ทราบแล้วนะครับ ว่าโครงกระดูกปริศนาที่ทุกคนได้ให้ความสนใจกันเป็นอย่างมากนั้น เป็นโครงกระดูกของใคร ถ้าทุกคนจำได้ว่าก่อนหน้านี้ มีคนไปพบโครงกระดูกปริศนาที่ถูกทิ้งไว้ในป่าลึกบนเขา สามศพ ซึ่งตอนนี้กองพิสูจน์หลักฐาน ได้ชันสูตรผลออกมาแล้วว่า เป็นบุคคลดังต่อไปนี้”
ฉันที่ยังไม่เข้าใจว่าไอ้ตะวันมันเป็นอะไร ก็หันไปมองที่หน้าจอทีวีตาม เห็นผู้ชายคนหนึ่งกำลังรายงานข่าวอยู่ เขาได้พูดถึงการพบโครงกระดูกของศพ ที่ข้างๆ หน้าจอนั้น ขึ้นเป็นรูปและชื่อของผู้เสียชีวิตทั้งสามคนไว้ แจ้งให้ทราบว่าเป็นใครบ้าง
“ราตรี!! คนที่อยู่ในรูป…สามคนนั้น มันคือสามคนที่กูเคยฝันเห็นเลย” ตะวันชี้นิ้วไปที่หน้าจอทีวี แล้วพูดขึ้นมาเสียงสั่นๆ “ป่าก็เหมือนกันด้วย”
“ตะวันจำผิดคนรึเปล่า อาจจะแค่คนหน้าเหมือนก็ได้นะ” ตะวันที่ได้ยินก็รีบส่ายหน้าปฏิเสธทันที
“ไม่ผิด สามคนนี้แหละ ในฝันก็ขึ้นรูปนี้เลย กูจำได้ ทำไมพวกเขาถึงได้ตายวะ คราวนี้พวกเราจะเอายังไงกันต่อดีราตรี!! พวกเขาตายกันไปแล้วจริงๆ แล้วพวกเราล่ะ จะตายไหม”
“ไม่ตายหรอก ยังไงก็ไม่ตาย เชื่อกูดิ ไม่เป็นอะไรหรอก แต่ต้องระวังตัวเอาไว้มากๆ ในเมื่อวันนั้นเรายังรอดกันมาได้ ยังไงถ้าเกิดอะไรขึ้นอีก เราก็ต้องรอดไปได้อีกเหมือนกัน เชื่อกู!” ตะวันที่ได้ยินก็นิ่งไป แต่ตายังคงจับจ้องมองไปที่หน้าจอทีวีนั้น
“กูก็ขอให้เป็นแบบนั้น แต่จากวันนี้ที่กูโดน กูก็เริ่มไม่แน่ใจแล้วว่ะ”
“เอาน่า ยังไงมันก็ต้องมีทางแก้ เชื่อกูดิ กินข้าวๆ ยังไงช่วงนี้ก็อย่าเพิ่งออกไปไหนบ่อยก็แล้วกัน” ตะวันที่ได้ยินก็พยักหน้ารับ
พวกเราทั้งคู่พากันนั่งดูข่าวและกินข้าวกันไปเงียบๆ ไม่มีใครพูดอะไร พวกเรานั่งจมอยู่กับความคิดของตัวเอง ฉันก็ไม่รู้หรอกว่าน้องของฉันกำลังคิดอะไรอยู่ ฉันก็ได้แต่คิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมา ขอให้มันไม่เลวร้ายมากจนเกินไป ยังไงฉันก็ต้องหาวิธีแก้ไขเรื่องราวเหล่านี้ให้ได้ แต่ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ต้องรู้ให้ได้ก่อนว่า…ทำไม เรื่องราวพวกนี้ ถึงได้วิ่งเข้ามาหาพวกเราถี่ขนาดนี้
หลังจากวันนั้นมาจนถึงวันนี้ ฉันก็ฝันถึงเรื่องราวแปลกๆ มากมาย ส่วนมากก็จะฝันเห็นงูแปลกๆ รึไม่ก็พญานาคเข้ามาบ้างประปราย แต่ส่วนใหญ่ก็จะฝันเห็นว่าตัวเอง ได้ไปอยู่ในสถานที่แปลกๆ ที่ไม่เคยไปมาก่อน เจอเรื่องราวแปลกๆ ที่บางครั้งก็เห็นชายชุดดำปริศนาคนนั้น อยู่ในนั้นด้วย
ซึ่งฉันก็ไม่เข้าใจ ว่าสิ่งที่ฝันเห็นนั้น มันคืออะไร และต้องการจะสื่ออะไร รู้แค่เพียงว่าทุกครั้งที่ฝันเห็น ฉันก็มักจะเข้าไปยืนอยู่ในสถานที่ต่างๆ ในเวลากลางคืน ที่มืดสนิท จนมองแทบไม่เห็นอะไร แต่ที่พอจะมองเห็นได้ ก็คงมีแต่พระจันทร์ดวงโตสีแดงสดดวงใหญ่ ที่ดูน่ากลัว มันแดงจนเหมือนสีของเลือด และสาดส่องแสงลงมาจากฟ้า
ช่างเป็นเวลากลางคืนที่ดูน่าหวาดกลัวเหลือเกิน เพราะบรรยากาศรอบด้านนั้นเย็นยะเยือกไปหมด ผู้คนต่างพากันกรีดร้องวิ่งหนี และล้มตายกันมากมาย บางคนก็ถูกเหยียบตาย บางคนก็ถูกฆ่าตาย บางคนก็ถูกสิ่งก่อสร้างต่างๆ ทับตาย ฉันยืนมองภาพเหล่านั้นอยู่ในความมืดด้วยความหดหู่ โดยที่ฉันไม่สามารถช่วยเหลืออะไรพวกเขาได้เลย
ทุกครั้งที่ฉันตื่นขึ้นมาจากความฝันเหล่านั้น ฉันก็มักจะรู้สึกเหนื่อยล้าและไม่มีแรง เหมือนแรงของฉันนั้น มันถูกดูดเอาไปใช้จนหมด ตั้งแต่อยู่ในความฝันแล้ว จะมีก็แค่บางวันเท่านั้น ที่ฉันจะได้พักผ่อนจริงๆ นั่นก็คือวันที่ฉันไม่ต้องฝันถึงเรื่องราวเหล่านั้น และฉันก็หวังเอาไว้มากว่าตัวเองจะฝันถึงเรื่องราวเหล่านั้นน้อยลง แต่เหมือนโชคชะตา จะไม่ค่อยเข้าข้างฉันสักเท่าไหร่ เพราะฉันฝันเห็นเรื่องราวเหล่านั้นแทบทุกวัน จนฉันรู้สึกหลอนบวกกับรู้สึกเหมือนตัวเองพักผ่อนไม่เพียงพอ จนเริ่มจะไม่ไหว จนฉันต้องระบายออกมา
“ขอล่ะ ไม่ไหวแล้ว ถ้ายังเป็นแบบนี้อยู่ หนูต้องตายก่อนแน่ๆ ถ้าจะมาบอกอะไร ก็มาบอกกันตรงๆ เลยสิ อย่าทำแบบนี้ หนูมันโง่ หนูไม่รู้หรอก ว่าท่านต้องการจะสื่อสารอะไร และก็ไม่เข้าใจด้วยกับวิธีที่ท่านทำกับหนูอยู่ หนูเหนื่อยและก็หลอนมาก จนทนแทบจะทนไม่ไหวแล้ว” ฉันพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เหนื่อยล้าและสั่นเครือ กับสิ่งที่ตนต้องเจอแทบทุกคืน ก่อนที่จะทิ้งตัวลงไปนอนอย่างอ่อนแรง แล้วค่อยๆ ปิดเปลือกตาที่หนักอึ้งลงช้าๆ ช้าๆ เพื่อเข้าสู่ห้วงนิทรา
ขณะที่ฉันกำลังจะก้าวเข้าสู่ห้วงนิทรา ฉันก็รู้สึกเหมือนมีลมขนาดใหญ่พัดผ่านร่างของฉันไป แล้วมีเสียงลมหายใจรวยรินรดอยู่ที่ข้างใบหูของฉัน แต่ฉันก็ไม่สามารถที่จะขยับตัวหรือลืมตาขึ้นมามองได้
“จงหลับให้สบาย แล้วข้าจะให้ตามที่เจ้าขอ” เมื่อเสียงนั้นพูดจบลง สติที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดของฉันก็ค่อยๆ ดับไป