ถ้าพูดถึงจังหวัดในภาคอีสาน 'นครพนม' อาจจะไม่ใช่ชื่อแรกที่เรานึกถึง
แต่ในการเดินทางของทริปนี้ เราปักหมุดไว้ที่จังหวัดนครพนม ที่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองความสุขริมฝั่งโขง
ที่มีคนถามเรามาเยอะมากว่า ทำไมถึงเลือกมาที่นี่… นครพนมมีอะไร เราเองก็ตอบไม่ได้
เพราะเรารู้จักนครพนมน้อยมากๆ หรือจะเรียกว่าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับนครพนมเลยก็ว่าได้
ก็นั่นแหละค่ะ ที่ทำให้เราต้องออกเดินทางมา และอยากทำความรู้จักกับ “นครพนม”
***ไม่อนุญาตให้นำภาพ ทุกภาพ ในกระทู้นี้ไปใช้ หรือเผยแพร่โดยไม่ได้รับอนุญาตอย่างเด็ดขาด***
DAY 1 : Back to Travel ... ได้เวลาเที่ยวแล้ว - สวัสดีนครพนม
09/12/64 เช้าวันที่ต้องเริ่มต้นการเดินทางมุ่งหน้าสู่นครพนม ปลายทางของเราในวันนี้คือเมืองที่มีความงดงามชวนให้หลงใหลไปกับธรรมชาติริมแม่น้ำโขง ที่กั้นกลางระหว่างพรมแดนไทย-ลาว และเมืองที่ขึ้นชื่อว่า มีความสุขที่สุดในประเทศไทย
เราเดินทางมาด้วยเครื่องบิน แต่ต้องบอกว่าไฟล์ทบินน้อยมากๆ เราบินไปกับแอร์เอเชียรอบเช้า และต่อรถตู้เข้าเมืองคนละ 100 บาท รถตู้จะมาส่งเราที่หน้าโรงแรมเลย หรือจะลงตรงไหนในเมืองก็บอกพี่คนขับได้เลย
เมื่อมาถึงนครพนม เราจัดการฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรมก่อนเพราะยังไม่ถึงเวลาเช็คอิน และเช่าจักรยานปั่นไปเรื่อยๆ แบบไม่ได้เช็คGoogle map เลยว่า มันใช่ทางที่เราจะไปหรือเปล่า ปั่นไปแบบมั่วมากๆ รู้ตัวอีกที.. เส้นทางที่เราไปมันสวนทางกับริมฝั่งแม่น้ำโขง 55555
เพราะความหิวนิดหน่อยบวกกับความร้อน เลยตัดสินใจแวะนั่งพักสักครู่ และนั่นก็ทำให้เราได้พบกับคุณป้าร้านน้ำ และร้านลูกชิ้นทอด ที่หลังโรงเรียนแห่งหนึ่ง
เรานั่งคุยกับคุณป้าสักพัก ได้ข้อมูลมาหลายอย่าง แนะนำสถานที่ต่างๆ ในนครพนมให้เรา
หลังจากนั้นเราก็ปั่นย้อนกลับไปตามเส้นทางเลียบริมโขง ท่ามกลางแดดอุ่นๆ (อุ่นกว่าไฟนรกนิดเดียว 555)
สายลมเอื่อยๆ พัดโชยมา บวกกับทิวทัศน์ที่เห็นตรงหน้า สวยงามจนไม่สามารถเอ่ยถ้อยคำใดมาบรรยายได้จริงๆ เรารู้ตัวเลยว่าพูดคำว่า “สวย” กับวิวตรงหน้าได้เปลืองมากจริงๆ
อุปกรณ์ในการบันทึกความทรงจำที่พร้อมสู้แบบทุลักทุเลไปด้วยกัน
ตรงนี้คือ วัดนักบุญอันนา หนองแสง เป็นโบสถ์คริสต์ที่มีความเก่าแก่สวยงามแห่งหนึ่งในจังหวัดนครพนม
ถึงแม้แดดจะร้อนมาก ก็ยังมีลมเย็นๆ ของฤดูหนาวพัดมาให้รู้สึกดีขึ้นบ้าง แต่ความสวยงามที่มีวิวทิวทัศน์ตรงหน้านั้นก็ไม่สามารถเอาชนะแดดร้อนๆ ได้เลยจริงๆ ขอยอมซูฮกให้แดดประเทศไทยย
พักสักแป๊บบบบ ให้พอได้หายหัวเปียกเหงื่อ
หลังจากนั้น รู้สึกว่าเริ่มหมดแรงลูกชิ้นทอด ปั่นกลับมาที่ร้านเตี๋ยวเต็มโต๊ะ (อยู่แถวๆ หอนาฬิกาเวียดนามอนุสรณ์) ที่ตกแต่งแนววินเทจย้อนยุค
สำหรับเมืองริมโขงที่มีตำนานเกี่ยวกับพญานาคมากมาย ก็ต้องไม่พลาดที่จะมาไหว้ขอพร ที่
ลานพญาศรีสัตนาคราช ตามคำบอกเล่าจากคุณป้าร้านน้ำ แกบอกว่าเคยมีคนมาไหว้แล้วซื้อหวยกลับไป ถูกรางวัลที่ 1 …อ่า แต่เรามันคนไม่ชอบเสี่ยงดวง เลยไม่ได้เลขไหนติดมือกลับมา
แค่ได้ไหว้ขอพรธรรมดาๆ ก็พอใจแล้ว
และ ใกล้ๆกันนั้น มีหอนาฬิกาเวียดนามอนุสรณ์ เป็นหอนาฬิกาที่ชาวเวียดนามได้สร้างไว้เป็นอนุสรณ์แก่ชาวนครพนมเมื่อครั้งอดีต
ปัจจุบันเป็นแลนด์มาร์กที่นักท่องเที่ยวมักจะแวะเวียนมาถ่ายรูป และเป็นความคลาสสิกแห่งกาลเวลาที่ยังหลงเหลืออยู่
เรามาบริเวณท้ายเมือง ไม่ไกลจากตัวเมืองมากนัก มีเส้นทางปั่นจักรยานยาวๆ มีทั้งผู้คนที่มาวิ่งออกกำลังกาย บรรยากาศดีมากๆๆๆๆๆๆ ทัศนียภาพแตกต่างไปจากมุมมองที่เห็นในเมืองนิดหน่อย แต่ยังคงความสวยงามและเงียบสงบเช่นเคย
เจ้าน้อนนนน สวัสดีฮะะะ
วิวมันส๊วยยยยยยยย สวยยยยย
***ไม่อนุญาตให้นำภาพ ทุกภาพ ในกระทู้นี้ไปใช้ หรือเผยแพร่โดยไม่ได้รับอนุญาตอย่างเด็ดขาด***
วัดฝั่งลาว ที่มองเห็นจากฝั่งไทย
มาถึงตรงนี้เราจะเห็นแม่น้ำโขงแห้งเป็นสันดอนทราย ให้ความรู้สึกที่แปลกใหม่สำหรับผู้มาเยือนอย่างเราไม่น้อย
เราเดินมาถ่ายรูปด้านล่าง ที่เป็นพื้นดิน ถ่ายไปถ่ายมา เดินหามุมตรงนี้นิด ตรงนี้หน่อย กลายเป็นว่าเราไปยืนอยู่ตรงกลางแม่น้ำโขงแบบไม่รู้ตัว คิดไปคิดมานี่เราออกนอกประเทศหรือยังนะ 555555
คนน้อยมากกกกก ถ่ายไปยังไงก็ไม่ติดคนอื่น จะตั้งกล้องโพสต์ท่าถ่ายนานแค่ไหนก็ไม่มีคนมาให้หลบกันวุ่นวาย
เราใช้เวลาอยู่ที่นี่สักพักจวนถึงเวลาที่จะต้องกลับไปที่ท่าเรือ บริเวณลานพญานาคจะมีจุดลงเรือ เพื่อ
ล่องเรือชมวิวแม่น้ำโขง โดยใน 1 วันจะมีแค่ 1 รอบ และจะต้องมารอที่ท่าเรือประมาณ 4 โมงครึ่ง
ค่าบริการเพียงคนละ 50 บาทเท่านั้น
การได้นั่งชมวิวธรรมชาติริมฝั่งโขง เป็นอะไรที่พิเศษสำหรับเรามากๆ ได้เห็นนครพนมผ่านมุมมองจากแม่น้ำโขงที่ไหลกั้นพรมแดนไทย ลาว และชมพระอาทิตย์ตกในยามเย็น ณ สถานที่ที่แปลกตา
ระหว่างกินลมชมวิว พร้อมกับถ่ายรูปไปพลาง ก็มีประโยคคลาสสิกจากคนแปลกหน้าบนเรือพูดกับเราว่า “รบกวนถ่ายรูปให้หน่อยได้ไหมคะ” แน่นอนว่าเราตกปากรับคำทันที และเขาก็ถ่ายรูปให้เราด้วยเช่นกัน
หลังจากเรือกลับมาเทียบฝั่ง ก็มีหนุ่มน้อยนักพิณที่ทำให้เราหยุดฟังเพลงพิณได้หลายชั่วขณะ อดไม่ได้ที่หยิบเงินจ่ายค่าความสุขที่ได้ฟังในเวลาสั้นๆ
บรรยากาศเริ่มเย็นขึ้น บวกกับเสียงเพลงขับกล่อมในค่ำวันนี้ช่างเป็นอะไรที่เยียวยาจิตใจนักเดินทางอย่างเราได้มากเลยทีเดียว
น้องเล่นเก่งมากจนอยากไปซื้อพิณมาเล่นบ้างเลย
นี่เป็นเพียงความประทับใจในวันแรกของการมาเยือน ที่ได้สัมผัสดินแดนแห่งนี้ ก็รู้สึกได้เลยว่าตกหลุมรักนครพนมไปแล้ว
วันนี้ขอตัวไปนอนก่อน.. แล้วจะมาต่อ DAY 2 นะคะ
อ้อออ มื้อเย็นวันนี้จบที่หมูจุ่มหน้าปากซอยโรงแรม แต่หิวมาก กินด้วยความเร็วแสงไม่ได้ถ่ายรูปเก็บไว้เลย แต่อร่อยมากๆๆๆๆๆ
***ไม่อนุญาตให้นำภาพ ทุกภาพ ในกระทู้นี้ไปใช้ หรือเผยแพร่โดยไม่ได้รับอนุญาตอย่างเด็ดขาด***
รีวิวเที่ยว "นครพนม" เมืองความสุขริมฝั่งโขง
เราเดินทางมาด้วยเครื่องบิน แต่ต้องบอกว่าไฟล์ทบินน้อยมากๆ เราบินไปกับแอร์เอเชียรอบเช้า และต่อรถตู้เข้าเมืองคนละ 100 บาท รถตู้จะมาส่งเราที่หน้าโรงแรมเลย หรือจะลงตรงไหนในเมืองก็บอกพี่คนขับได้เลย
เมื่อมาถึงนครพนม เราจัดการฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรมก่อนเพราะยังไม่ถึงเวลาเช็คอิน และเช่าจักรยานปั่นไปเรื่อยๆ แบบไม่ได้เช็คGoogle map เลยว่า มันใช่ทางที่เราจะไปหรือเปล่า ปั่นไปแบบมั่วมากๆ รู้ตัวอีกที.. เส้นทางที่เราไปมันสวนทางกับริมฝั่งแม่น้ำโขง 55555
เพราะความหิวนิดหน่อยบวกกับความร้อน เลยตัดสินใจแวะนั่งพักสักครู่ และนั่นก็ทำให้เราได้พบกับคุณป้าร้านน้ำ และร้านลูกชิ้นทอด ที่หลังโรงเรียนแห่งหนึ่ง
เรานั่งคุยกับคุณป้าสักพัก ได้ข้อมูลมาหลายอย่าง แนะนำสถานที่ต่างๆ ในนครพนมให้เรา
หลังจากนั้นเราก็ปั่นย้อนกลับไปตามเส้นทางเลียบริมโขง ท่ามกลางแดดอุ่นๆ (อุ่นกว่าไฟนรกนิดเดียว 555)
สายลมเอื่อยๆ พัดโชยมา บวกกับทิวทัศน์ที่เห็นตรงหน้า สวยงามจนไม่สามารถเอ่ยถ้อยคำใดมาบรรยายได้จริงๆ เรารู้ตัวเลยว่าพูดคำว่า “สวย” กับวิวตรงหน้าได้เปลืองมากจริงๆ
เราเดินมาถ่ายรูปด้านล่าง ที่เป็นพื้นดิน ถ่ายไปถ่ายมา เดินหามุมตรงนี้นิด ตรงนี้หน่อย กลายเป็นว่าเราไปยืนอยู่ตรงกลางแม่น้ำโขงแบบไม่รู้ตัว คิดไปคิดมานี่เราออกนอกประเทศหรือยังนะ 555555
บรรยากาศเริ่มเย็นขึ้น บวกกับเสียงเพลงขับกล่อมในค่ำวันนี้ช่างเป็นอะไรที่เยียวยาจิตใจนักเดินทางอย่างเราได้มากเลยทีเดียว