เรื่องเล่าในวงสนทนา ประสบการณ์ที่หาคำตอบไม่ได้นานกว่า 5 ปี การเรียนธรรมมะและฝึกสมาธิทางจิต

เรื่องเล่าในวงสนทนา การเรียนธรรมมะและฝึกสมาธิทางจิต
ผมชื่อวุธ วัยเด็กช่วงก่อนอนุบาล ผมมักจะฝันเห็นทะเลในความมืดที่กว้างใหญ่ หรือรู้สึกเหมือนถูกของหนักทับประมาณเหมือนหงอคงที่ถูกภูเขาห้านิ้วทับ สำหรับเด็กมันน่ากลัวมากครับ ผมมักจะตื่นขึ้นมาพร้อมน้ำตาตลอด จนผมอายุได้ 30 ปี ผมทำงานอยู่ที่กรุงเทพ มักจะเจอเรื่องราวแปลกๆ ไปไหนมาไหนมักจะได้ยินเสียงคนแซว ใจก็คิดว่าหูแว่ว หนักขึ้นก็ได้ยินเสียงคนด่าว่าขึ้นมาลอยๆ ว่าไอ้วุธนี่หว่า กวนตีนไอ้เนี้ย
ผมได้แต่สงใส เพราะไม่รู้ว่าเสียงมาจากใคร หันไปมองหาก็ไม่เจอคนที่รู้จัก ถามเพื่อนที่ไปด้วยก็มีแต่คนที่ทำหน้างง สงใส ผมทำได้แค่เพียงปล่อยผ่าน คิดว่าหูแว่ว และทุกครั้งที่ผมไปเที่ยวเถลไถลทำตัวไม่ดี เช่น ไปกินเหล้า ไม่กลับบ้าน จะถูกก่อกวนตลอด จะรู้สึกเหมือนมีคนมองหน้าเราแบบไม่ชอบหน้า เสียงคนด่าว่านินทา ทุกอย่างดูส่อไปทางกลุ่มวัยรุ่นพวกเด็กแว้นที่ไม่ชอบหน้าเรา แล้วเอาเราไปพูดกันปากต่อปากว่าเรากวนตีน ทุกครั้งผมได้แต่ก้มหน้าก้มตาทำไม่รู้ไม่ชี้ เพราะเพื่อนที่ไปด้วยหรืออยู่ด้วยก็ไม่ได้มีทีท่าจะเป็นเดือนเป็นร้อน หรือไม่รู้ไม่ชี้อะไรด้วยทังนั้น หลังจากกลับห้องทุกครั้งผมมักจะถามเพื่อนผมทุกครั้งว่ามีใครไม่ชอบผมรึเปล่าวะ มีไรบอกผมหน่อย เพื่อนทุกคนก็ได้แต่พูดตรงกันว่า ไม่เห็นมีอะไร คิดมาก เป็นแบบนี้โดยหาคำตอบอยู่ไม่ได้เป็นเวลาสามปี หลังๆหนักขึ้นถึงขั้นนั่งรถไฟฟ้ารถเมล์ จะรู้สึกมีคนมองหน้า นินทา เดินเข้าหอพักก็มีเสียงวัยรุ่นตะโกนแซว ผมได้แต่ทำเพียงแค่สงบสติ แกล้งไม่รู้ไม่ชี้ หนักหน่อยก็แกล้งพูดอะไรลอยๆ เพื่อโต้ตอบกลับไปบ้าง เรื่องแบบนี้ทำให้เวลาผมไปไหนต้องมีสติระวังตัว จับสังเกตคนรอบข้างตลอดเวลา
จนหลังๆไปพักโรงแรมหรือห้องเพื่อนที่ไหนผมมักจะรู้สึกว่าถูกอะไรจิ้มที่หลังหรือตามแขนตามขา แล้วจะรู้สึกเคลิ้มๆเหมือนจะหลับ ผมรู้สึกแปลกใจ อาการมันส่อให้คิดไปในทางที่ว่าเราถูกวางยารึเปล่า หรือคนที่ไม่ชอบหน้าเราตามแกล้งเรา ผมได้แต่ตั้งสติแกล้งหลับคอยจับสังเกตุสิ่งรอบข้าง และทุกครั้งที่แกล้งหลับก็จะได้ยินเสียงเคลื่อนไหวอยู่ในห้องที่ผมพักอยู่ พอซักพักก็จะได้ยินเสียงข้างห้องเคาะนั่นเคาะนี่ให้เราตกใจสะดุ้งตลอดใจผมได้แต่คิดว่าคงมีแก๊งวางยากำลังเช็คว่าเราหลับหรือยังแน่ๆ ( เรื่องนี้ถือเป็นการฝึกสมาธิไปในตัวครับ สงบนิ่งจดจ่อกับสิ่งเคลื่อนไหวรอบข้าง และทำใจให้ว่างไม่สะดุ้งกับสิ่งกระตุ้นที่ดังขึ้นครับ)  เป็นแบบนี้ทุกครั้งที่ไปนอนต่างสถานที่ แต่ไม่เคยหาคำตอบอะไรได้เลย ผมได้แต่เซิทหาในกูเกิ้ลว่ายาหรืออาการที่ผมเจอคืออะไร แต่ก็ไม่เคยได้คำตอบอีกเช่นกัน
หลังๆ สิ่งที่ผมเจอมักส่อไปในทางเร้นลับ คือนอนๆอยู่ในห้องลืมตาขึ้นมาก็เห็นเงาคนสี่ห้าคนยืนมองผมอยู่บ้าง บางคืนก็เหมือนได้ยินเสียงคนเดินอยู่ในห้องบ้าง ผมก็ทำได้แค่นอนหลับต่อคับ ไม่ได้สนใจเพราะคิดแต่ว่าตาฝาดบ้าง เสียงข้างห้องบ้าง บางคืนเสียงนกเสียงจิ้งจก ก็ดูเหมือนจะเจตนาร้องก่อกวนผมไปหมด
จนกระทั่งเมื่อปี 61 ผมทำงานอยู่กับบริษัทอาที่อำเภอสามพราน เสียงวัยรุ่นแก๊งเดิมก็เริ่มตามรังควานหนักขึ้น เดินตลาดก็ได้ยินเสียงผู้หญิงบอกไอ้วุธนี่หว่า ไปไหนมาไหน รู้สึกเหมือนมีรถขับตามตลอด ผมได้แต่ก้มหน้าก้มตาเดินไม่สนใจ เพราะทุกครั้งที่ผ่านมาผมไม่เคยหาคำตอบได้ว่าคนพวกนั้นไม่ชอบหน้าผมเพราะอะไร บางครั้งผมก็แกล้งขับรถวนเล่นรอบวัดไร่ขิงเพื่อพิสูจน์ว่ามีรถคอยตามผมจริงรึเปล่า ซึ่งก็เป็นแบบที่คิดตลอด บางคืนก็ได้ยินเสียงกลุ่มผู้ชายเดินขึ้นมาที่หน้าห้องพักผมแล้วคุยกันว่าไอ้วุธอยู่ห้องไหนวะ ผมได้แต่เงี่ยหูฟัง ตั้งสติ ตั้งรับสถานการณ์ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่ทุกอย่างก็เงียบหายไป จนวันหนึ่งเสียงแก๊งวัยรุ่นกลุ่มนั้นก็ดังขึ้นที่ใต้หอพักผม ตะโกนด่าตะโกนว่าท้าตีท้าต่อย ผมอดรนทนไม่ได้ลงไปใต้หอพักตะโกนด่าว่ากับแก๊งวัยรุ่นกลุ่มนั้นอยู่พักใหญ่ แต่ก็ไม่เห็นใคร ใจผมก็คิดแต่ว่าคนพวกนั้นคงแอบอยู่ห้องใดห้องหนึ่งที่หอพักผม เรื่องนี้ส่งผลกระทบต่อผมถึงขั้นที่ทุกคนในหอพักและคนรอบข้างผมคิดว่าผมมีอาการทางประสาทเพราะหอพักนั้นเป็นหอพักที่คนทำงานพักเป็นส่วนใหญ่ และผมก็ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าคนงานคุมฝ่ายผลิต ผมต้องลาออกจากงาน ลาออกไปอยู่บ้านเป็นเวลาเกือบ 1 ปี เรื่องพวกนี้เงียบหายไปตลอด 1 ปี จนกลางปี 63ผมได้งานทำที่จังหวัดนนทบุรี ทำได้ถึงเมษายน ปี 64 อาการได้ยินเสียงคนด่าว่านินทาก็ไม่มีให้ระแวงเหมือนก่อน แบบนี้ดูเป็นอาการทางประสาทหรือเปล่าครับ จนสงกรานต์เป็นวันหยุดยาวช่วงโควิทด้วย
ผมไปนอนที่ห้องเพื่อน ผมก็เริ่มรู้สึกได้ยินเสียงคนนินทา ข้างห้องชั้นบนชั้นล่างดูผิดสังเกตุน่าหวาดระแวงไปหมด ดึกดื่นทำไมได้ยินเสียงคนผิดปรกติ ผมเดินไปนอนอีกห้องแอร์ก็ดันเปิดไม่ติด ทุกอย่างดูประจวบเหมาะไปหมด ต้องกลับมานอนที่ห้องเดิม จะแชทโทรศัพท์ ก็เหมือนได้ยินเสียงข้างห้องอ่าน ใจก็คิดว่าคงเผลอไปกดแชร์ภาพหน้าจอให้ไปขึ้นทีวีข้างห้องแน่ๆ พิมพ์รหัสเน็ตแบงค์ในโทรศัพท์ก็เหมือนได้ยินเสียงคนพูดรหัสตาม ทำให้ผมต้องเปลี่ยนรหัสทุกอย่างหมด
หลังสงกรานต์อาการที่ผมได้ยินเสียงคนเริ่มผิดวิสัยกลายเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติ ผมเริ่มได้ยินเสียงคนคุยกันใจก็คิดว่าคงมีใครแกล้งเอาอะไรมาติดตั้งในรถและคอมพิวเตอร์ที่ผมทำงาน จากได้ยิน แอบฟัง เริ่มตอบโต้กลับทางการพิมพ์ไปที่คอม แต่ก็ได้ยินเสียงตอบโต้กลับมาเป็นแบบนี้อยู่เกือบอาทิตย์ ได้แต่เก็บเงียบไม่กล้าเล่าให้ใครฟัง จนคืนหนึ่งเสียงนั้นดังอยู่ในหัวผมผมเริ่มสื่อสารด้วยการคิด ใจหนึ่งก็ตื่นเต้นสนุก คุยไปคุยมาจนตีหนึ่งตีสองเสียงนั้นถามว่าอยากเห็นท่านรึเปล่าผมก็บอกว่าอยากเห็น ท่านบอกให้อธิฐานซิ จากคนยุคใหม่ที่ไม่เคยเชื่อเรื่องพวกนี้ก็ได้แต่ไหลไปตามน้ำครับ ลองดู ก็อธิฐานตามที่เสียงนั้นบอก สรุปเสียงที่ผมคุยด้วยก็คือ แก๊งปู่ศรีสุทโธ ย่าศรีปทุมมา ปู่อือลือ เทวดานางฟ้าที่ทำหน้าที่ยมพบาล มัจจุราชครับ เรื่องนี้จริงๆแล้วมีอีกหลายเรื่องที่ทำให้ผมเครียดกังวลมากและน่ากลัวครับ ท่านมาในลักษณะของคนที่หาเรื่องถามผมตลอดว่าจำกูได้เหรอ ถามกวนประสาทอยู่นั่นแหละว่าไม่รู้ซะแล้วว่ากูเป็นใคร ก่อกวนให้คิดทั้งวันแต่ไม่ให้คำตอบ ผมก็ได้แต่คิดว่าเป็นพวกทรงเจ้าหรือแก๊งมาเฟียที่ไหนมาแอบติดตั้งอุปกรณ์สื่อสารในรถผมครับ
คืนนั้นท่านมาในรูปแบบเจ้ากรรมนายเวร มาในฐานะยมบาลครับ สร้างเรื่องสร้างราวหลอกให้ผมกลัวเกี่ยวกับเวรกรรมที่เคยทำในอดีตชาติเช้ามาก็ให้ผมไปทำบุญถวายสังฆทาน ผมได้รับรู้ว่าไอ้ความรู้สึกขนลุกขนชันทันทีที่ถึงวัน ทันที่ที่กรวดน้ำ ผมกรวดน้ำทั้งน้ำตาครับ ทั้งกลัวทั้งกังวล เพราะคืนนั้นมีเรื่องราวน่ากลัวมากมายประดังประเดเข้ามาในหัวผมจนไม่ได้นอนครับ หลังทำบุญเสร็จก็ไปทำงานครับแต่กลับทำงานไม่ได้ครับ เพราะมีเสียงคนด่าว่าผมดังตลอด เสียงนั้นทั้งมาจากภายนอกและมาจากในหัวผม ผมต้องขับรถกลับบ้านครับ ทรมานมากได้ยินทั้งวันทั้งคืนไม่ได้หลับไม่ได้นอน ท่านใส่ความคิดในหัวผม ด่าไปหมดสาปแช่งพ่อแม่ปู่ย่าตายาย ด่ายันบุพการีของพระพุทธเจ้า หลวงพ่อดังๆ พระพุทธชินราช ในหลวง พระพรม พระพิฆเนศ ด่าหมด สิ่งศักดิ์ในสากลโลกด่าไปหมด ทั้งวันทั้งคืน ตอนนั้นผมแยกไม่ออกครับ เพราะท่านทำได้ทุกรูปแบบให้เราคิดว่าเป็นความคิดของตัวเราเอง ต่อต้านจนตัวสั่นไปหมดแน่ ในใจได้แต่พูดขึ้นมาว่าไม่ใช่เสียงผม มันไม่ใช่ผม ผมไม่ใช่มัน  ท่านก็แกล้งบอกว่า เป็นเรื่องแล้วไง ปู่ย่าตายายตกนรกแน่ เรื่องนี้ทุกคนคงมองว่าเป็นเรื่องไม่สมควรและคาดไม่ถึงใช่ไหมครับ ครุท่านสอนว่า คิดให้ตายคนที่คุณลบหลู่ดูหมิ่นก็ไม่ได้ยิน ท่านไม่ได้ทุกข์ด้วยคนที่ทุกข์ก็คือคุณ คนที่ยึดมั่นเลือกยืนเลือกเชื่อในจุดที่มีความทุกข์ก็คือคุณคนที่ไม่ยอมปล่อยวาง แม้แต่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเองยังยอมสละตนให้คนลบหลู่ดูหมิ่นได้อย่างไม่ถือโทษ กรรมนั้นเกิดจากการกระทำจากความคิดความเข้าใจไปเอง ไม่มีผู้ได้ยิน ไม่มีผู้ถูกกระทำ กรรมจึงไม่เกิด แต่คนที่ทุกข์ใจก็คือคุณที่หลงเข้าใจไปเองทั้งนั้นครับ  ดังนั้นให้เชื่อในสติปัญญาของตัวท่านเอง ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างเป็นเหตุเป็นผล แต่ไม่ใช่ว่าคุณจะนึกลบหลู่ดูหมิ่นใครก็ได้นะครับ ของผมครูท่านเป็นคนเคลียร์ให้ผมเอาเป็นว่าท่านรู้กันแล้วครับว่าเป็นการเรียนการสอนการลงโทษ และอย่านึกนะครับ ว่าคุณจะแกล้งไม่สนใจ หรือทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ได้ ท่านสามารถทำให้คุณปวดหัว กังวลได้ อย่างที่คุณคาดไม่ถึง ใช่ว่าการทำสมาธิ มีสติตั้งรับเวรกรรมจะลดความทุกข์ของเวรกรรมได้ คุณจะเข้าใจได้ทันทีถึงคำว่าจมปรักอยู่กับความทุกข์ ต่างต้องการโหยหาหนทางแห่งความหลุดพ้นหรืออิสระครับ
เช้ามาท่านแกล้งบอกว่าชะตาขาด ท่านบอกให้ผมกลับไปขออโหสิกรรมพ่อแม่ที่เพชรบูรณ์ครับ ใจผมคิดว่าไปแล้วเรื่องจะจบ เลยรีบขับรถกลับบ้านทันทีทั้งที่อดหลับอดนอนครับ แต่ท่านก็ตามคุยตามแหย่เล่นด้วยตลอดทางครับ มีผ่อนหนักผ่อนเบาครับ กลับบ้านก็นั่นแหละครับ เริ่มจับสังเกตได้ว่าไม่ใช่ความคิดเรา ทันทีที่ความคิดที่ครูท่านใส่หัวเราเริ่มดังขึ้นผมก็จะนับเลขควบคู่กันไปเพื่อให้ตัวเองสบายใจและให้ครุท่านเชื่อว่าความคิดนั้นไม่ใช่ความคิดของผมครับ เป็นอุบายที่แยบยลเพื่อให้ผมฝึกสมาธิ เป็นครั้งแรกที่ผมต้องนับเลขในใจทั้งวันทั้งคืนครับ

นั่นแหละครับ ผมฝึกแบบนั้น คุยกับครู อดหลับอดนอนอยู่อยู่เป็นเดือน ทำให้ผมเข้าเรื่องการชักนำหรือดลจิตดลใจมากขึ้น ท่านจะนำให้วุธพูดประโยคขอบคุณครับปู่ที่เมตตาผมเป็นบุญของผมครับ ทุกครั้ง บ่อยๆ หลังจบประโยคสนทนา เพื่อเป็นการหยุดคิดฟุ้งซ่านสงบจิตสงบใจไม่ให้คิดต่อหรือไม่ให้เถียง
พอเราท่องท่านจะเปลี่ยนคำพูดเราเป็นคำพูดอื่นทันทีโดยที่เรารู้สึกว่าเหมือนความคิดของเรามากคับ
ไม่ต้องสงใสนะคับว่าทำไมผมถึงบอกว่าท่านสื่อสารกับผมทั้งวันทั้งคืน เทวดานางฟ้านั้นท่านมีกายทิพย์ ไม่ต้องพึ่งกายสังขาร ดังนั้นจึงไม่เหน็ดไม่เหนื่อยครับ
มีประโยคของพระพุทธเจ้าสนับสนุนความเชื่อนี้ว่า
เธออยู่ด้วยสิ่งที่เธอรู้ แต่อย่าได้ยอมรับหรือปฏิเสธว่า
มันจะต้องเป็นหรือไม่เป็นไปตามนั้น
และเพื่อ “อิสรภาพ” อย่าลืมปลดปล่อยสิ่งที่เธอรู้ทิ้ง
เสียให้หมดด้วย

ไม่มีตัวตน ไม่ต้องพึงพิงสิ่งใด เมื่อเธอไม่ต้องพึงพิงสิ่งใด
เมื่อเธอไร้ตัวตน ก็ไม่จำต้องพึ่งทฤษฎีใดๆ
ยามมีตัวตน เธอต้องยอมรับความมีตัวตน
ยามไม่มีตัวตน จงอย่าให้สิ่งใดเหนี่ยวรั้งเธอเอาไว้ได้
จงสลัดทิ้งเสียให้หมดเพื่อหนทางแห่งความเป็นอิสระ
หมายถึงสิ่งปาฏิหาริย์หรือความอัศจรรย์นั้นไม่สามารถหาทฤษฏีใดๆมาอ้างอิงความเป็นเหตุเป็นผลได้ซึ่งยืนยังความเชื่อเรื่องที่ว่าเทวดานางฟ้านั้นท่านบันดาลทุกอย่างได้สมใจปรารถนาครับ

ตอนมาใหม่ๆท่านสร้างเรื่องหลอกให้ผมกลัวสารพัด เพื่อเป็นการชดใช้เวรกรรม ไม่ว่าบอกว่าชะตาขาดให้ผมกลับไปขออโหสิกรรมพ่อแม่ที่เพชรบูรณ์ครับ ใจผมคิดว่าไปแล้วเรื่องจะจบ เลยรีบขับรถกลับบ้านทันทีทั้งที่อดหลับอดนอนครับ แต่ท่านก็ตามคุยตามแหย่เล่นด้วยตลอดทางครับ มีผ่อนหนักผ่อนเบาครับ ท่านให้ผมนึกสิ่งใดเป็นภาพนิมิต คือเห็นภาพไปด้วยและทำกิจวัตรประจำวันได้ด้วยครับ ฟังดูเข้าใจยากใช่ไหมคือ คือเห็นเป็นภาพ และเข้าใจ แต่ไม่ได้ชัดเจนเป็นภาพสีนะคับ
ท่านบังคับ ให้ผมกำหนดจิตทำสมาธิสำหรับผมคนรุ่นใหม่ไม่เคยสนใจเรื่องการฝึกสมาธิแถมอยู่ดีๆใครก็ไม่รู้มาขู่เข็ญให้จำยอมโดยไม่มีเหตุผล ใครจะไปยอมคับ ช่วงนั้นทรหดมากครับ ไม่ยอมนอนท่านก็แกล้งให้เจ็บตรงนั้นปวดตรงนี้ ไม่นอนท่าที่ท่านบอกก็ทำให้หายใจไม่ออก
ทั้งดุทั้งข่มขู่ ทำทั้งน้ำตาครับ โทรมมาก บางครั้งท่านก็แหย่เล่นให้อารมณ์ดี คับ เรื่องตลก ติ๊งต๊อง สัปดลท่านคุยท่านแหย่เล่นเป็นเรื่องสนุกปาก เพราะท่านต้องการให้ผมปรับตัวให้อยู่ร่วมกันให้เคยชิน ท่านยกคำสอนของพระพุทธเจ้าขึ้นสอนว่า ยามมีตัวตน เธอต้องยอมรับความมีตัวตน
ยามไม่มีตัวตน จงอย่าให้สิ่งใดเหนี่ยวรั้งเธอเอาไว้ได้จงสลัดทิ้งเสียให้หมดเพื่อหนทางแห่งความเป็นอิสระ ก็คือให้เขาใจสภาวะความรู้สึกนึกคิดของตัวเราของตัวเราเองว่าเป็นเรื่องธรรมดา อารมณ์ ความรู้สึกนึกคิดนั้นห้ามกันไม่ได้ ดังนั้นไม่ว่าอารมณ์ความต้องการทางเพศ หรือการมองเพศตรงข้ามแล้วพิจารณาตรงนั้นตรงนี้ดูดีว่าสวยว่าหล่อเป็นเรื่องธรรมดา
แสดงความคิดเห็น
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ  เรื่องสั้น เรื่องเล่าสยองขวัญ แต่งเรื่องสั้น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่