เคยมะ เวลาดูหนังที่เนื้อเรื่องมันเกี่ยวกับอาชีพของคุณ มันก็จะมีโมเม้นที่แบบ “เห้ยใช่มาก” หรือไม่ก็ “โห ไม่มีทางเกิดขึ้นในชิวิตจริง” ผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น วันนี้เลยจะมารีวิวหนังเชฟจากฮอลลีวูด(ที่ผมเคยดู) และเปรียบเทียบกับประสบการณ์ชีวิตช่วงที่ผมยังเป็นเชฟให้ฟัง
ผมมีโอกาสได้ไปทำงานในร้านอาหารระดับมิชลิน 2 ดาว ที่ฝรั่งเศส ช่วงปี 2007 ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่ทำให้เข้าใจถึงแก่นของความเป็นเชฟได้อย่างลึกซึ้ง วันนี้เลยจะเอาประสบการณ์สมัยนั้น มารีวิวหนังเชฟ 5 เรื่อง มาดูกันว่าคนทำหนังเค้าทำได้สมจริงแค่ไหน
เรามาเริ่มกันเลยดีกว่า เรียงตามลำดับความชอบส่วนตัวนะ
อันดับ 5 คือ No Reservation
เรื่องราวของหัวหน้าเชฟสาว กับผู้ช่วยเชฟหนุ่ม ที่สถานะการณ์ที่ไม่คาดคิดทำให้เขาทั้งสองต้องปรับชีวิตเข้าหากันจนกลายเป็นความรัก
ความสมจริงของเรื่องนี้อยู่ในนิสัยของนางเอกของเรื่อง ความที่งานทำอาหารเป็นงานที่มีรายละเอียดที่ต้องจัดการแก้ปัญหาตลอดเวลา เชฟจึงจะมีคาแรกเตอร์ที่ลงรายละเอียดสูง และเคร่งเรื่องระเบียบ หลายครั้งมันทำให้ดูเหมือนว่าทั้งชีวิตไม่มีอะไรนอกเหนือจากงานที่ทำ
แต่ฉากที่ผมว่ามันเกินจริงไปหน่อยคือตอนที่นางเอกเดินออกจากครัวเอาเนื้อดิบมาโยนใส่โต๊ะลูกค้าด้วยความโกรธ ในชีวิตจริง ถึงแม้ว่าเราจะอารมณ์เสียกับลูกค้าแค่ไหนเราก็จะไม่ออกไปแสดงออกให้ลูกค้าเห็น เราอาจจะแอบด่าอยู่ในครัว 555 แต่ถ้าต้องออกไปเจอลูกค้า ด้วยความเป็นมืออาชีพเราต้องดูแลลูกค้าให้ดีที่สุดเสมอ
อีกฉากที่ผมดูละขัดนิดนึง คือตอนที่คนครัวมารวมตัวกันทานข้าวในห้องอาหารก่อนที่จะเริ่มเสิร์ฟลูกค้าช่วงเย็น ตั้งแต่ผมทำงานในร้านอาหาร ไม่เคยมีร้านไหนที่ให้คนครัวนั่งทานอาหารในส่วนของที่นั่งลูกค้าเลย ส่วนใหญ่ถ้าไม่ทานกันในครัวก็หาที่ทานหลังร้าน แต่จุดนี้อาจจะขึ้นอยู่กับขนาดพื้นที่และประเภทของร้าน แต่ถ้าร้านอาหารที่ระดับสูงจะไม่ให้พนักงานใช้พื้นที่ของลูกค้าเด็ดขาด
โดยรวมหนังเรื่องนี้ก็เป็นหนังโรแมนติกที่ไม่ได้เน้นความสมจริงของชีวิตเชฟเท่าไหร่ แต่เน้นเล่าเรื่องชีวิตของคนสองคน ในแง่ความสมจริงผมให้ 2 ดาวเพราะรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้ยังสร้างภาพการเป็นเชฟในมุมที่มันสวยหรูเกินความจริงไปหน่อย ผมรู้สึกว่าด้วยนิสัยของทั้งสองคน พระเอกกับนางเอกในชีวิตจริงคงตีกันตายในครัว มากกว่าจะมารักกัน 555 แต่ก็เป็นหนังที่ไว้ดูแบบชิวๆ ก็สนุกดี
อันดับ 4 คือ Julie & Julia
เรื่องราวของจูลี่ โพเวล food blogger สาวที่สร้างชื่อเสียงด้วยการทำอาหารตามหนังสือของ จูเลีย ไซด์ ทั้ง 524 สูตร ในเวลาแค่ 365วัน! เนื้อหาของหนังจะเล่าสลับไปมาระหว่างชีวิตของจูลี่กับจูเลีย และปัญหาต่างๆ ที่แต่ละคนเจอในชีวิตประจำวัน
เรื่องนี้น่าสนใจตรงที่ว่ามันได้แรงบันดาลใจมาจากเรื่องจริงของทั้งสองคน บวกกับการแสดงของนักแสดงชั้นนำอย่าง เอมมี่ อดัมส์ ในบทจูลี่ และ แมร์เริล สตรีปพ์ ในบท จูเลีย ไชด์ ทำให้หนังเรื่องนี้เป็นเหมือนหน้าต่างเข้าไปในช่วงชีวิตในสองยุคที่แตกต่าง แต่เชื่อมกันได้ด้วยความรักในการทำอาหาร
ถึงแม้ว่าหนังเรื่องนี้จะไม่ได้เกี่ยวกับเชฟสักเท่าไหร่ แต่ผมว่าเค้าถ่ายทอดเรื่องราวของคนทำอาหารได้ดี โดยเฉพาะการเล่าถึงความล้มเหลวเวลาทำอาหาร ซึ่งมันเป็นความทรงจำที่คนทำอาหารทุกคนต้องมี และเป็นส่วนที่สำคัญในการเรียนรู้การทำอาหาร
การเล่าเรื่องให้เห็นถึงชีวิตของผู้หญิงสองคน กับการใช้ชีวิตในยุคที่ต่างกันเป็นอะไรที่ผมว่าน่าสนใจมาก เช่นช่วงของ จูเลีย ไชด์ ตอนที่ไปเรียนเป็นเชฟที่ฝรั่งเศสในยุคที่การเป็นเชฟเป็นโลกของผู้ชายล้วน เรื่องราวของชีวิตเธอเป็นไฮไลท์ที่ทำให้หนังเรี่องนี้ไม่ธรรมดา
โดยรวมหนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ดูสนุก ยิ่งถ้าคุณเป็นคนชอบทำอาหาร มันจะทำให้อยากไปหยิบตำราอาหารที่นั่งนิ่งบนชั้นหนังสือมานาน ให้กลายเป็นเมนูที่มีเรื่องราว สิ่งที่เรื่องนี้ทำได้ดีคือการร้อยเรื่องราวของผู้หญิงสองคนที่ใช้ชีวิตกันคนละยุค บวกกับรายละเอียดการทำอาหารที่คนชอบทำอาหารดูแล้วต้องแอบยิ้มตาม
อันดับ 3 คือ Chef
เรื่องราวของหัวหน้าเชฟในร้านอาหารชื่อดังที่ไประเบิดอารมณ์กับนักรีวิวจนโดนไล่ออก ทำให้เค้าต้องกลับมาเริ่มต้นใหม่ เพื่อตามหาแนวทางอาหารที่จะปลุกไฟของความเป็นเชฟขึ้นมาอีกครั้ง
ผมชอบการเล่าเรื่องอาหารผ่านความสัมพันธ์ของพ่อลูกในหนังเรื่องนี้ ส่วนตัวผมคิดว่าอาหารที่ดีมันอาจจะไม่ใช้อาหารที่หรูหรา แต่เป็นสิ่งที่เรามีความทรงจำดีๆ ที่เราแชร์ให้คนที่เรารักและห่วงใยในชีวิต
หนังเรื่องนี้ให้ความสำคัญกับรายละเอียดที่มาจากชีวิตจริง เช่นร้านอาหารที่ตัวละครไปแวะระหว่างเดินทาง หรือการหาวัตถุดิบจากร้านชื่อดังที่มีอยู่จริง และให้เจ้าของร้านจริงแสดงในฉากนั้น
ผมได้ดูสัมภาษณ์ของ จอน ฟาว์โรล ซึ้งเป็นทั้งนักแสดงนำและผู้กำกับ เค้าเป็นคนที่ชอบทำอาหาร และใช้เวลาเทรนเป็นเชฟก่อนที่จะมาแสดง เวลาผมดูหนังทำอาหาร ผมจะบอกได้เสมอว่านักแสดงคนนั้นทำอาหารเป็นจริงหรือไม่ มันดูได้จากวิธีการใช้มีด หรือแม่แต่การโรยเกลือ ผมต้องยอมรับว่าฉากทำอาหารของ จอน ฟาว์โรล ทำให้เห็นถึงวิญญาณของคนทำอาหารที่แท้จริงได้อย่างไม่มีที่ติ
โดยรวมหนังเรื่องนี้เป็นหนังที่สนุกและให้ข้อคิดดีๆ ได้หลายอย่างเกี่ยวกับการทำอาหารและความสัมพันธ์ของคน ฉากทำอาหารของหนังเรื่องนี้จะทำให้คุณน้ำลายไหลได้ง่ายๆ เลยทีเดียว เป็นหนังที่รู้สึกได้ว่าสร้างด้วยคนที่เข้าใจวัฒนธรรมของการทำอาหารจริงๆ
อันดับ 2 Ratatouille
เรื่องราวของเจ้าหนูที่มีความฝันอยากจะเป็นเชฟ กับเด็กหนุ่มตกงานที่ไร้ความสามารถในการปรุงอาหาร เค้าต้องร่วมมือกันโดยที่ไม่ให้ใครรู้ เพื่อที่จะสร้างเมนูที่จะทำให้นักวิจารณ์ชื่อดังต้องยอมรับในฝีมือ
เรื่องนี้เป็นการ์ตูนชื่อดังที่หลายคนต้องรู้จัก และถึงแม้ว่ามันจะเป็นแค่การ์ตูนสำหรับเด็ก แต่มันแฝงไปด้วยรายละเอียดที่แสดงให้เห็นว่าคนเขียนได้ทำการบ้านมาอย่างดีเกี่ยวกับชีวิตของการเป็นเชฟ
สิ่งหนึ่งที่หนังทำได้ดีคือฉากที่พูดถึงการทำงานที่ต้องมีระเบียบและสะอาด ทุกการเคลื่อนไหวของการทำงานต้องแม่นยำและรวดเร็ว จุดนี้คือหัวใจของการเป็นเชฟ ทุกวันนี้เวลาผมทำอาหารทานเองทุกครั้งก็ยังมีระเบียบและความสะอาดอยู่เสมอ
อีกส่วนที่ผมชอบคือตอนที่ เชฟโคเล็ต แนะนำที่มาของพ่อครัวแต่ละคน ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่งานครัวมักจะเป็นที่รวมของคนที่มาจากงานแปลกๆ ที่มักจะไม่เกี่ยวกับอาหารเลย บวกกับความ “เถื่อน” ที่คนครัวเท่านั้นจะเข้าใจ 55
โดยรวมผมว่า Ratatouile เป็นหนังที่สนุกและแฝงไปด้วยข้อคิดดีๆ เกี่ยวกับการทำอาหาร สำหรับการ์ตูนที่มักจะเน้นจินตนาการมากกว่าความสมจริง ผมว่าเรื่องนี้ถ่ายทอดความรู้สึกของการเป็นเชฟได้ดี ผมให้ 3 ดาวเพราะยังไงมันก็เป็นการ์ตูน ความสมจริงอาจจะไม่ใช่ประเด็น แต่ก็เป็นหนังทำอาหารที่หลายคนชื่นชอบ และมันก็ถ่ายทอดโลกของเชฟให้คนดูได้อย่างน่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่
อันดับ 1 Burnt
เรื่องราวของเชฟที่ต้องการจะกลับเข้ามาในวงการอีกครั้ง และเค้าต้องการที่จะไปอยู่จุดสูงสุดของการเป็นเชฟ นั้นคือการได้รับดาวมิชลิน 3 ดาว
ในฐานะที่ผมเองเคยทำงานในร้านที่เคยอยู่ระดับดาวมิชลินสูงสุดที่สามดาว หนังเรื่องนี้เล่าเรื่องได้ใกล้กับชีวิตจริงมาก มันมากจนถ้าคนที่ไม่รู้จักชีวิตในครัวจะคิดว่านี้มันคือการแสดงเกินจริง แต่ไม่เลย ความบ้าคลั่งเพื่อที่จะได้มาซึ่งดาวมิชลินเป็นอะไรที่เชฟระดับท๊อปเท่านั้นจะเข้าใจ ความกดดันในการทำงานที่เกินกว่าที่คนปกติจะทนไหว หนังเรื่องนี้ทำการบ้านมาดีมาก เก็บได้ทุกรายละเอียดจนน่าตกใจ
การแสดงของ แบรดลี่ คูปเปอร์ ในหนังเรื่องนี้เป็นการแสดงที่ดีไม่แพ้หนังที่ได้รางวัลเรื่องอื่นของเค้า ผมเพิ่งมารู้ที่หลังว่าเค้าพูดภาษาฝรั่งเศสได้ดีอยู่แล้ว ซึ่งมันยิ่งทำให้คาแรกเตอร์เชฟในหนังน่าเชื่อถือเข้าไปอีกระดับ เพราะสมัยที่ผมทำงานที่ฝรั่งเศส ไม่ว่าคุณจะมาจากชาติไหนคุณก็ต้องพูดภาษาฝรั่งเศสให้ได้ระดับที่สื่อสารได้ เพราะฉะนั้นการพูดอังกฤษสลับฝรั่งเศสของคาแรกเตอร์จึงเป็นอะไรที่สมจริงมากในความคิดผม
สิ่งเดียวที่ผมรู้สึกว่ามันอาจจะไม่สมจริงที่สุดคือเรื่องของการที่พระเอกกับนางเอกทำงานด้วยกันในครัวจนรักกัน จากประสบการณ์เวลาที่ทำงานอยู่ในสภาวะที่กดดันระดับนั้นทุกวัน มันอาจจะยากที่เปลี่ยนเป็นความรักได้ แต่ก็ไม่แน่มันอาจจะเกิดขึ้นกับใครบางคน
โดยรวมผมชอบหนังเรื่องนี้มาก อยากให้ทุกคนได้ดู เพราะมันถ่ายทอดชีวิตเชฟระดับมิชลินได้เหมือนชีวิตจริงมาก หนังเรื่องอื่นอาจจะแต่งเรื่องให้เว่อร์เพื่อสร้างสีสัน แต่หนังเรื่องนี้เอาสิ่งที่เกิดในชีวิตจริง ที่คนนอกวงการอาจจะคิดว่ามันเว่อร์เกิน มาเล่าเรื่องในแบบที่ถึงแก่นของชีวิตเชฟที่แท้จริง บอกเลยว่าใครคิดอยากจะเป็นเชฟต้องไม่พลาดเรื่องนี้
หนังที่เอามาวันนี้อาจจะเก่าไปหน่อย ก่อนผมเขียนรีวิวนี้ผมก็กลับไปดูทั้งห้าเรื่องอีกรอบ ผมก็ยังรู้สึกว่ามันเป็นหนังที่ดูสนุกอยู่นะ ถ้าใครที่ยังไม่เคยดูเรื่องไหนผมก็แนะนำให้ลองไปหาดู จริงๆ ยังมีหนังดีที่เกี่ยวกับอาหารหลายเรื่องที่เป็นหนังต่างประเทศที่ไม่ใช่ฮอลลีวูด ผมกะว่าถ้ามีเวลาจะไล่ดูเรื่องที่ไม่เคยดูแล้วจะมาเขียนให้อ่านอีกรอบ ถ้าใครมีเรื่องไหนแนะนำก็บอกได้นะครับ ขอบคุณที่อ่านจนจบครับ
-นายครัว
ติดตามเนื้อหาเพิ่มเติมได้ที่เพจ:
Cook’s Journal โดยนายครัว
[CR] เมื่อเชฟรีวิวหนังเชฟ 5 เรื่อง
ผมมีโอกาสได้ไปทำงานในร้านอาหารระดับมิชลิน 2 ดาว ที่ฝรั่งเศส ช่วงปี 2007 ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่ทำให้เข้าใจถึงแก่นของความเป็นเชฟได้อย่างลึกซึ้ง วันนี้เลยจะเอาประสบการณ์สมัยนั้น มารีวิวหนังเชฟ 5 เรื่อง มาดูกันว่าคนทำหนังเค้าทำได้สมจริงแค่ไหน
เรามาเริ่มกันเลยดีกว่า เรียงตามลำดับความชอบส่วนตัวนะ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้