ผมเริ่มสนใจคำสอนของศาสนา เพราะมีเหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์เกิดขึ้นกับชีวิตผมในวัยกลางคน ครังแรกผมก็ตั้งคำถามมาตลอดว่า ชีวิตถึงได้เจอเรื่องแบบนี้ ทั้งที่ตนเองเป็นคนที่ชอบทำดี พยายามเว้นชั่ว ทำจิตใจให้ผ่องใส ตามคำสอนของศาสนาพุทธ ที่ตนเองเคยศึกษามาในวัยเด็ก และสอบได้นักธรรมชั้นโท ปัญหาชีวิตส่วนตัวของผมคือ ผมมีลูกชายคนแรกเป็น "ออทิสติก" ทุกคืนที่มองเห็นพฤติกรรมแปลกประหลาดของเขา ในวันที่เขาโตขึ้นเรื่อย ๆ ผมก็ยิ่งเสียใจว่าตนเองทำผิดอะไร ผู้คนในศาสนาพุทธใกล้ตัว มักบอกว่า เป็นเวรกรรมเก่า ยิ่งทำให้เรารู้สึกท้อแท้ไปอีก เคยพาเขาไปวัดแล้วมีพฤติกรรมกลัวเสียงระฆัง แล้วจะร้องภาษาแปลก ๆ กระโดด พยายามวิ่งหนี ยิ่งตอกย้ำคำว่า "เวรกรรม" เข้าไปอีก จนระยะหลังไม่ค่อยพาไปวัดหรือสถานที่ ๆ มีลักษณะเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เช่น ศาลหลักเมือง เพราะเขาจะไปทำพฤติกรรมแปลก ๆ ที่คนปกติมองว่าเป็นการ ลบหลู่ ซึ่งประเด็นนี้ครอบครัวผมเข้าใจ เราอยู่ในสังคม เราต้องเคารพความเชื่อของผู้อื่นด้วย แต่ภาวะออทิสติก นั้นยากเกินที่จะควบคุมได้ เช่น นั่งฟังพระสวดมนต์ไม่ได้ นั่งร่วมในพิธีไม่ได้ อย่างนี้ครับ
เอาละ! กล่าวถึงพื้นฐานความเชื่อเดิม มามากพอ จนกระทั่งมีโอกาสได้รู้จักกับมิชชันนารี ที่มาประกาศความเชื่อแบบคริสเตียน ต้องยอมรับว่าเป็นภาพของความประทับใจครั้งแรก นั่นคือ เขาไม่ได้รังเกียจอาการ หรือพฤติกรรมของลูกผมเลย กลับบอกว่า นี่คือพระพรและแผนการของพระเจ้า ที่จะนำให้ครอบครัวทั้งหมดได้มารู้จักกับพระเจ้า ผมเคยเจอมิชชันนารีมาก่อนหน้านั้นหลายครั้ง แต่ปฏิเสธมาตลอด และอดขำกับพฤติกรรมการสวดขอพร เพื่อให้หายโรค คนตาบอดมองเห็น คนพิการขาเดินได้ อะไรทำนองนี้ เพราะมีความเชื่อเดิมว่า ก้อนหินจมน้ำ สวดด้วยคาถาอะไร มันก็ไม่ลอยขึ้นมา และส่วนตัวไม่เชื่อเรื่องอิทธิฤทธิ์ต่าง ๆ เลย (6 ปีวัยเด็กเคยบวชวัดป่า ทำสมาธิ เดินจงกรม และเคยอยู่วัดเมืองที่เห็นพฤติกรรมไม่ดีของนักบวชบางคนมาบ้าง) ถือคำสอนที่ว่าผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม มาตลอด
ผมและภรรยาเริ่มเปิดใจ รับพระเจ้าเข้ามาครอบครองชีวิตตามคติความเชื่อของคริสเตียน ผมชอบหลักคำสอนที่ว่า ทุกคนมีสิทธิเข้าถึงพระคัมภีร์ คริสเตียนไม่มีนักบวช เชื่อใน bible เท่านั้น ไม่มีนักบุญ หรือเทพเจ้าองค์ใดอีก (มีพระเจ้าองค์เดียว) และพีคกว่านั้น คือ นิยามของพระเจ้าที่คณะนี้มาสอนครอบครัวเรา พระเจ้ายิ่งใหญ่เกินกว่าที่มนุษย์จะจินตนาการได้ว่าพระองค์มีรูปร่างอย่างไร สถิตย์อยู่บนสวรรค์ และดำรงอยู่ทุกหนแห่ง ซึ่งนั้นคืออยู่กับเราด้วย ผมเลยนึกถึงความเชื่อเดิม "สติ" เป็นส่งที่มีกำลังและพลังมาก จึงยอมเปิดใจเข้าโปรแกรมของมิชชันนารี ก็มีการมาบรรยายพระคัมภีร์ การอธิษฐานเผื่อ สอนวงล้อชีวิตคริสตเตียนพื้นฐานให้ ในช่วงแรก ๆ ยอมรับว่าชอบใจ เพราะเขาช่วยดูแลลูกผม เวลาไปโบสถ์ ระหว่างพิธีนมัสการ ลูกผมเดินไปมาได้ ไม่มีใครถือสา (ก็มีขอบเขตอยู่บ้าง แต่ไม่ใช่เรื่องเสียหายร้ายแรงอะไร) ยิ่งมารู้ในพระคัมภีร์ภายหลังว่า พระเยซูตรัสว่า “จงยอมให้เด็กเล็กๆ เข้ามาเฝ้าเรา อย่าห้ามพวกเขาเลย เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์เป็นของคนเช่นเด็กเหล่านั้น” บทนี้แหล่ะที่ทำให้พวกเราเริ่มรักพระเจ้ามากขึ้น แทบจะทุกครั้งพี่น้องที่โบสถ์ จะช่วยกันอธิษฐาน ออกเสียงขอให้พระเจ้าอวยพรให้ลูกผม มีพัฒนาการที่ดี ดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้ใกล้เคียงกับคนปกติ หรือหายจากโรคออทิสติกนี้ไปเลย เหมือนการอัศจรรย์หลายคนในพระคัมภีร์ มิชชันนารี สอนพวกเราเกี่ยวกับการอ่านพระคัมภีร์ โดยให้วิเคราะห์ 4 อย่าง คือ บอกสิ่งใด ตักเตือนอย่างไร ปรับปรุงข้อบกพร่องชีวิตเราได้อย่างไร และให้เราทำการดีสิ่งใด ผมขอยกข้อพระคัมภีร์ ที่สร้างพลังและความหวังให้กับครอบครัวเราอยู่เสมอ
"ความเชื่อคือความมั่นใจในสิ่งที่หวังไว้ เป็นความแน่ใจในสิ่งที่มองไม่เห็น"
"เพราะว่าเรารอดโดยความหวัง แต่ความหวังในสิ่งที่เราเห็นได้นั้นไม่ได้เป็นความหวังเลย ด้วยว่าใครเล่าจะยังหวังในสิ่งที่เขาเห็น"
ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า
นั่นคือ ให้ครอบครัวเรามีความหวัง เสียก่อนว่าลูกเราจะเป็นคนปกติได้ ตามมาด้วยความเชื่อ ใช้เป็นแรงพลักดันให้พวกเราทำสิ่งใหม่ ๆ เพื่อพัฒนาเขาอยู่เสมอ ไม่ท้อแท้ (มีความหวังในสิ่งที่ยังมองไม่เห็น) ขอ หา เคาะ แทบจะเป็นสูตรสำเร็จที่ถูกนำมาใช้ในการขออวยพรจากพระเจ้า
ขอ = ตั้งความหวัง อธิษฐาน
หา = หาแนวทางในการปฏิบัติ ให้ไปสู่ผลสำเร็จตามคำขอ
เคาะ = ลงมือปฏิบัติ
จงขอแล้วจะได้ จงหาแล้วจะพบ จงเคาะแล้วจะเปิดให้แก่พวกท่าน
ทีนี้ กลับเข้ามาที่ประเด็นชวนสนทนาตามหัวข้อกระทู้ พอได้เริ่มศึกษาพระคัมภีร์มากขึ้น ๆ ฟังเทศนาที่เน้นเรื่องการพัฒนาตนบ่อย ๆ เช่น ของ อ.จอยซ์ ไมเออร์ ถ้าบอกตามองค์ความรู้เดิมที่มีมาก่อนเป็นคริสเตียน หลายอย่าง มีความคล้ายคลึงกันมาก จนผมเริ่มตั้งคำถามว่า
แท้จริงแล้ว นิพพาน ที่พระพุทธเจ้าบอกและชี้ทางให้ เป็นสิ่งเดียวกับ แผ่นดินสวรรค์ ที่พระเยซู ได้นิยามในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ หรือไม่นะ???
ทุกวันนี้ครอบครัวเราเป็นคริสเตียน ผ่านพิธีบัพติศมา แล้ว ตรงนี้มิชชันนารีก็สอนอีกนะว่า พิธี ก็เปรียบเสมือนออกบัตรประจำตัวให้ แต่ผู้ที่ได้รับความรอดคือผู้ที่พิธีบัพติศมา โดยพระวิญญาบริสุทธิ์ ซึ่งชีวิตของเขาจะเต็มเปี่ยมด้วยผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ (มีความรัก ความปลาบปลื้มใจ สันติสุข ความอดกลั้นใจ ความปรานี ความดี ความเชื่อ ความสุภาพอ่อนน้อม และการรู้จักบังคับตน) อยู่ตลอดเวลา จึงจะได้ชื่อว่าเป็นคริสเตียนแท้ (ก็ไปตรงกับคำสอนของพุทธอีกที่ว่า บาปบุญทุกอย่างสำคัญอยู่ที่ใจ ใจเป็นใหญ่)
ครอบครัวเรานอกจากจะได้ใช้ชีวิตในร่มพระคุณของพระเจ้าแล้ว พวกเราก็ยังประกาศกับคนใกล้ตัวอยู่เรื่อย ๆ ครับ ผ่านการเป็นพยานชีวิต และนิสัยบางอย่างในตัวเราที่เปลี่ยนไปในทางของพระเจ้า แต่ตรงนี้ก็สำคัญ คืออย่าได้ถือตัวว่าตนเองดีเด่น หรือสูงส่งกว่าเพื่อนมนุษย์คนอื่น ด้วยสำคัญว่าตนมีความประพฤติตามพระบัญญัติอย่างเคร่งครัดกว่าผู้อื่น การดำรงตนในสภาพมนุษย์ตามทางของพระเจ้าในพระคัมภีร์ มีส่วนที่สามารถปฏิบัติได้จริง ๆ (เพราะมนุษย์ทุกคนล้วนเป็นคนบาป ไม่มีใครสมควรอ้างได้เลยว่าตนเองชอบธรรมเพราะการปฏิบัติตามธรรมบัญญัติ)
สุดท้ายก็ตามหัวข้อกระทู้นะครับ ผมไม่ได้ยกข้อพระคัมภีร์ และพระไตรปิฎก นิยามของ นิพพาน และ แผ่นดินสวรรค์ มาในเชิงเปรียบเทียบกัน หรือตัดสินว่าสิ่งใดถูกผิด เพียงแต่เป็นการอภิปราย เพื่อความรู้เท่านั้น ครับ หากมีนักวิชาการที่อธิบายในเชิงศาสนาเปรียบเทียบ มาแนะนำได้ ก็จะถือว่าเป็นพระทัยของพระเจ้าที่ทรงให้เกิดขึ้น ขอพระเจ้าอวยพร ทุกท่านครับ
ผมเริ่มสงสัยว่า "นิพพาน" ชาวพุทธ กับ "แผ่นดินสวรรค์" ของคริสเตียน จะหมายถึงสิ่งเดียวกัน??
เอาละ! กล่าวถึงพื้นฐานความเชื่อเดิม มามากพอ จนกระทั่งมีโอกาสได้รู้จักกับมิชชันนารี ที่มาประกาศความเชื่อแบบคริสเตียน ต้องยอมรับว่าเป็นภาพของความประทับใจครั้งแรก นั่นคือ เขาไม่ได้รังเกียจอาการ หรือพฤติกรรมของลูกผมเลย กลับบอกว่า นี่คือพระพรและแผนการของพระเจ้า ที่จะนำให้ครอบครัวทั้งหมดได้มารู้จักกับพระเจ้า ผมเคยเจอมิชชันนารีมาก่อนหน้านั้นหลายครั้ง แต่ปฏิเสธมาตลอด และอดขำกับพฤติกรรมการสวดขอพร เพื่อให้หายโรค คนตาบอดมองเห็น คนพิการขาเดินได้ อะไรทำนองนี้ เพราะมีความเชื่อเดิมว่า ก้อนหินจมน้ำ สวดด้วยคาถาอะไร มันก็ไม่ลอยขึ้นมา และส่วนตัวไม่เชื่อเรื่องอิทธิฤทธิ์ต่าง ๆ เลย (6 ปีวัยเด็กเคยบวชวัดป่า ทำสมาธิ เดินจงกรม และเคยอยู่วัดเมืองที่เห็นพฤติกรรมไม่ดีของนักบวชบางคนมาบ้าง) ถือคำสอนที่ว่าผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม มาตลอด
ผมและภรรยาเริ่มเปิดใจ รับพระเจ้าเข้ามาครอบครองชีวิตตามคติความเชื่อของคริสเตียน ผมชอบหลักคำสอนที่ว่า ทุกคนมีสิทธิเข้าถึงพระคัมภีร์ คริสเตียนไม่มีนักบวช เชื่อใน bible เท่านั้น ไม่มีนักบุญ หรือเทพเจ้าองค์ใดอีก (มีพระเจ้าองค์เดียว) และพีคกว่านั้น คือ นิยามของพระเจ้าที่คณะนี้มาสอนครอบครัวเรา พระเจ้ายิ่งใหญ่เกินกว่าที่มนุษย์จะจินตนาการได้ว่าพระองค์มีรูปร่างอย่างไร สถิตย์อยู่บนสวรรค์ และดำรงอยู่ทุกหนแห่ง ซึ่งนั้นคืออยู่กับเราด้วย ผมเลยนึกถึงความเชื่อเดิม "สติ" เป็นส่งที่มีกำลังและพลังมาก จึงยอมเปิดใจเข้าโปรแกรมของมิชชันนารี ก็มีการมาบรรยายพระคัมภีร์ การอธิษฐานเผื่อ สอนวงล้อชีวิตคริสตเตียนพื้นฐานให้ ในช่วงแรก ๆ ยอมรับว่าชอบใจ เพราะเขาช่วยดูแลลูกผม เวลาไปโบสถ์ ระหว่างพิธีนมัสการ ลูกผมเดินไปมาได้ ไม่มีใครถือสา (ก็มีขอบเขตอยู่บ้าง แต่ไม่ใช่เรื่องเสียหายร้ายแรงอะไร) ยิ่งมารู้ในพระคัมภีร์ภายหลังว่า พระเยซูตรัสว่า “จงยอมให้เด็กเล็กๆ เข้ามาเฝ้าเรา อย่าห้ามพวกเขาเลย เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์เป็นของคนเช่นเด็กเหล่านั้น” บทนี้แหล่ะที่ทำให้พวกเราเริ่มรักพระเจ้ามากขึ้น แทบจะทุกครั้งพี่น้องที่โบสถ์ จะช่วยกันอธิษฐาน ออกเสียงขอให้พระเจ้าอวยพรให้ลูกผม มีพัฒนาการที่ดี ดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้ใกล้เคียงกับคนปกติ หรือหายจากโรคออทิสติกนี้ไปเลย เหมือนการอัศจรรย์หลายคนในพระคัมภีร์ มิชชันนารี สอนพวกเราเกี่ยวกับการอ่านพระคัมภีร์ โดยให้วิเคราะห์ 4 อย่าง คือ บอกสิ่งใด ตักเตือนอย่างไร ปรับปรุงข้อบกพร่องชีวิตเราได้อย่างไร และให้เราทำการดีสิ่งใด ผมขอยกข้อพระคัมภีร์ ที่สร้างพลังและความหวังให้กับครอบครัวเราอยู่เสมอ
"ความเชื่อคือความมั่นใจในสิ่งที่หวังไว้ เป็นความแน่ใจในสิ่งที่มองไม่เห็น"
"เพราะว่าเรารอดโดยความหวัง แต่ความหวังในสิ่งที่เราเห็นได้นั้นไม่ได้เป็นความหวังเลย ด้วยว่าใครเล่าจะยังหวังในสิ่งที่เขาเห็น"
ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า
นั่นคือ ให้ครอบครัวเรามีความหวัง เสียก่อนว่าลูกเราจะเป็นคนปกติได้ ตามมาด้วยความเชื่อ ใช้เป็นแรงพลักดันให้พวกเราทำสิ่งใหม่ ๆ เพื่อพัฒนาเขาอยู่เสมอ ไม่ท้อแท้ (มีความหวังในสิ่งที่ยังมองไม่เห็น) ขอ หา เคาะ แทบจะเป็นสูตรสำเร็จที่ถูกนำมาใช้ในการขออวยพรจากพระเจ้า
ขอ = ตั้งความหวัง อธิษฐาน
หา = หาแนวทางในการปฏิบัติ ให้ไปสู่ผลสำเร็จตามคำขอ
เคาะ = ลงมือปฏิบัติ
จงขอแล้วจะได้ จงหาแล้วจะพบ จงเคาะแล้วจะเปิดให้แก่พวกท่าน
ทีนี้ กลับเข้ามาที่ประเด็นชวนสนทนาตามหัวข้อกระทู้ พอได้เริ่มศึกษาพระคัมภีร์มากขึ้น ๆ ฟังเทศนาที่เน้นเรื่องการพัฒนาตนบ่อย ๆ เช่น ของ อ.จอยซ์ ไมเออร์ ถ้าบอกตามองค์ความรู้เดิมที่มีมาก่อนเป็นคริสเตียน หลายอย่าง มีความคล้ายคลึงกันมาก จนผมเริ่มตั้งคำถามว่า
แท้จริงแล้ว นิพพาน ที่พระพุทธเจ้าบอกและชี้ทางให้ เป็นสิ่งเดียวกับ แผ่นดินสวรรค์ ที่พระเยซู ได้นิยามในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ หรือไม่นะ???
ทุกวันนี้ครอบครัวเราเป็นคริสเตียน ผ่านพิธีบัพติศมา แล้ว ตรงนี้มิชชันนารีก็สอนอีกนะว่า พิธี ก็เปรียบเสมือนออกบัตรประจำตัวให้ แต่ผู้ที่ได้รับความรอดคือผู้ที่พิธีบัพติศมา โดยพระวิญญาบริสุทธิ์ ซึ่งชีวิตของเขาจะเต็มเปี่ยมด้วยผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ (มีความรัก ความปลาบปลื้มใจ สันติสุข ความอดกลั้นใจ ความปรานี ความดี ความเชื่อ ความสุภาพอ่อนน้อม และการรู้จักบังคับตน) อยู่ตลอดเวลา จึงจะได้ชื่อว่าเป็นคริสเตียนแท้ (ก็ไปตรงกับคำสอนของพุทธอีกที่ว่า บาปบุญทุกอย่างสำคัญอยู่ที่ใจ ใจเป็นใหญ่)
ครอบครัวเรานอกจากจะได้ใช้ชีวิตในร่มพระคุณของพระเจ้าแล้ว พวกเราก็ยังประกาศกับคนใกล้ตัวอยู่เรื่อย ๆ ครับ ผ่านการเป็นพยานชีวิต และนิสัยบางอย่างในตัวเราที่เปลี่ยนไปในทางของพระเจ้า แต่ตรงนี้ก็สำคัญ คืออย่าได้ถือตัวว่าตนเองดีเด่น หรือสูงส่งกว่าเพื่อนมนุษย์คนอื่น ด้วยสำคัญว่าตนมีความประพฤติตามพระบัญญัติอย่างเคร่งครัดกว่าผู้อื่น การดำรงตนในสภาพมนุษย์ตามทางของพระเจ้าในพระคัมภีร์ มีส่วนที่สามารถปฏิบัติได้จริง ๆ (เพราะมนุษย์ทุกคนล้วนเป็นคนบาป ไม่มีใครสมควรอ้างได้เลยว่าตนเองชอบธรรมเพราะการปฏิบัติตามธรรมบัญญัติ)
สุดท้ายก็ตามหัวข้อกระทู้นะครับ ผมไม่ได้ยกข้อพระคัมภีร์ และพระไตรปิฎก นิยามของ นิพพาน และ แผ่นดินสวรรค์ มาในเชิงเปรียบเทียบกัน หรือตัดสินว่าสิ่งใดถูกผิด เพียงแต่เป็นการอภิปราย เพื่อความรู้เท่านั้น ครับ หากมีนักวิชาการที่อธิบายในเชิงศาสนาเปรียบเทียบ มาแนะนำได้ ก็จะถือว่าเป็นพระทัยของพระเจ้าที่ทรงให้เกิดขึ้น ขอพระเจ้าอวยพร ทุกท่านครับ