Deafheaven - Infinite Granite (2021)
เป็นอีกครั้งที่ผู้เขียนหนักใจที่จะพูดถึงในแนวเพลงที่ไม่คุ้นเคย ทั้งด้านMetalและด้านShoegaze ที่เป็นสองขั้วที่ไม่ถนัด
แต่ยอมรับได้เลยว่าไม่ได้ยินผลงานดีๆแบบนี้มาสักพักใหญ่ๆแล้ว
ได้ยินชื่อเสียงเรียงนามถึงDeafheavenได้ก็ปาไปครึ่งทศวรรษ ด้วยความเข้าใจผิดคิดว่าวงนี้คิดว่าเป็นวงBlack metalเพียวๆที่มีแต่ความเกรี้ยวกราด
ในพรมแดนที่ผู้เขียนไม่อาจก้าวเท้าเข้าไปได้ จึงปฏิเสธที่จะทดลองรับฟังมาตลอด
จนกระทั่งงาน มหรสพปี2019ที่พวกเขาได้มาฝากฝีไม้ลายมือกันเอาไว้ และเป็นที่เลื่องลือตอกย้ำฝีไม้ลายมือปริมาณคับแก้วจากมิตรสหายหลายท่านที่ได้
ร่วมชมกันวันนั้น
วงนึงที่รักษาสมดุลระหว่างสองฝั่งได้แม้ว่าพวกเขาจะเริ่มต้นที่คำว่าBlack metal,Post-metal แต่ก็ผสมผสานด้านscreamoเข้าไปในปริมาณที่พอเหมาะ
รสชาติทั้งสองด้านนั้นอร่อยหูหลายคนและชิมง่าย ถึงง่ายพอสมควร
ด้วยความที่ยุคนี้การปรับตัวคือสิ่งจำเป็น การปรับตัวครั้งนี้ถือเป็นอีกหลักไมล์สำคัญอีกครั้งของพวกเขา
พวกเขาลดดีกรีความหนักหน่วงลงจาก Post Black metal,Screamo ลงมาเยอะพอสมควร โดยใช้ส่วนผสมด้าน
ShoegazeและPost-rockที่กลมกล่อม โดยมีการใช้เสียงSynthesizers ในทุกเพลงมากกว่า2ไลน์ ใช้กีตาร์เสียงคลีนค่อนข้างเยอะและมีกีตาร์โปร่งแทรกเข้ามา รวมไปถึงการร้องของGeorge ที่เน้นด้านเสียงคลีนมากขึ้น ใช้เมโลดีสวยๆเข้ามาแทรก โดยทั้งหมดที่กล่าวมานี้ยังคงเอกลักษณ์ลายเซ็นของพวกเขา ไว้อย่างครบถ้วน และไม่เสียตัวตนของตัวเองไป
Studio Albumชุดที่5ของเขาชุดนี้มีชื่อว่าInfinite Granite โดยใช้เวลาทำนานที่สุดถึง4ปี กับเรือลำใหม่Sargent House
โดยมีกัปตันคนใหม่ Justin Meldal-Johnsen ที่มีผลงานหลายอัลบัมมาร่วมโปรดิวซ์ในงานนี้
ต้องขอชื่นชม Justinเลย ที่สามารถดึงเอาวัตถุดิบทีพวกเขามีมาใช้ให้เกิดประโยชน์ที่สุด โดยนอกจากดูแลด้านเบื้องหลังแล้ว
ก็มีส่วนในด้านเบื้องหน้าโดยในภาคดนตรีทั้งกีตาร์,เบสและSynthesizersก็ได้ลูกพี่คนนี้แหละที่ลงมาอัดให้เองในบางส่วน รวมไปถึงร้องประสานในบางเพลงอีกด้วย
เพลงทุกเพลงในอัลบัมนี้ทั้ง9เพลงที่อาจฟังดูเป็นแค่หลักหน่วยไม่ถึงหลัก10อย่างที่พวกเขาได้สร้างสรรค์ขึ้นมา แต่ก็เป็นเวลาถึง53:30
นี่คืองานศิลปะที่เข้าถึงได้ง่าย เพียงการฟังเป็นครั้งแรก และมันก็จะสิงสู่คุณในการฟังครั้งที่2-3-4ถัดไปเรื่อยๆไม่รู้หาย
ทุกเพลงในอัลบัมบรรจงเรียงร้อยกันมาเป็นอย่างดี ทั้ง8เพลงเต็มๆและ 1Intuerludeคั่นกลางที่มีความยาวกว่า3นาที
โดยเนื้อหาจะเป็นการเล่าเรื่องของบุคคลที่1 ที่จะพรรณาเรื่องใกล้ตัวที่สุด พรรณาบรรยายพูดถึงการใช้ชีวิต การสำรวจจิตใจ ถึงจิตที่หลงทาง ลึกลงไปในมหาสมุทรที่ลึกมากจนยากที่จะหยั่งถึง ที่เรียกว่า ตัวตนของตัวเอง ผ่านภาษาที่สละสลวยจากปลายปากกาของGeorge ที่เลือกเอาส่วนที่ลึกลงไปที่สุดถ่ายทอดออกมาได้อย่างงดงาม และเข้าถึงได้ง่ายไม่เกินขอบเขตุของความรู้สึกในทุกๆวินาทีที่ผลงานได้ทำหน้าที่ของมัน
แนะนำให้ฟังเพลงนี้อย่างตั้งใจในทุกๆ วินาทีที่อัลบัมบรรเลงอยู่ ทั้งเสียงที่ดังกึกก้องปลุกเร้าและเสียงเงียบงันที่ใส่มาได้ถูกจังหวะ
โดยเฉพาะSingleที่พวกเขาตั้งใจจะปล่อยออกมาตามลำดับ เช่น Great Mass of Color ที่มีความยาวกว่า6นาที รวมไปถึงThe GnashingและIn Blur
ที่เป็นMVเพียงชิ้นเดียวในอัลบั้ม
แต่ทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวถึงในข้างต้นนี้ ยังไม่ตราตรึงเท่าบทสรุปของ Infinite Granite เช่น Mombasa ที่เป็นเพลงสุดท้ายในอัลบัม
ที่หลายคนยกย่องให้เป็นมหากาพย์ที่สุดในผลงานนี้
เริ่มจากเสียงกระซิบและเสียงกีตาร์โปร่งคลอมา ก่อนที่เราจะได้ยินเสียงร้องอันแผ่วเบาของ George ที่เริ่มร้องว่า
ร่างเปลือยอันโดดเดี่ยว ที่ไหลเชี่ยวสัมผัสฝั่ง
สะท้อนจากดารา ใต้ผืนฟ้าในพบค่ำ
เป็นการขับกล่อมให้เข้าสู่นิทรา ผ่านทิวทัศน์ที่ค่อยๆมืดลง ทุกขณะ
ก่อนที่ดนตรีจะเร่งเร้าจังหวะไปเรื่อยๆ ยิ่งขึ้น ยิ้งขึ้นไปอีก ด้วยเสียงเบสที่เดินคุมจังหวะได้ดี
เสียงกลองสไตล์ดั้งเดิมที่เรารู้จักกันดี ผสานเสียงกรีดร้องเคล้าคลอไปกับเสียงกีตาร์และSynthesizersที่จะดับประสาทการรู้เห็นของคุณให้มืดมิด
และแปรเปลี่ยนเป็นการรับฟังที่สวยงามและมืดมดที่สุด
แนะนำให้ลองมาหาฟังสักครั้ง ถึงศิลานิรันดร์ที่จักคงอยู่ในโสตประสาทที่ผู้สดับรับฟังมันชั่วกาลนาน
[REVIEW] Deafheaven - Infinite Granite (2021)
Deafheaven - Infinite Granite (2021)
เป็นอีกครั้งที่ผู้เขียนหนักใจที่จะพูดถึงในแนวเพลงที่ไม่คุ้นเคย ทั้งด้านMetalและด้านShoegaze ที่เป็นสองขั้วที่ไม่ถนัด
แต่ยอมรับได้เลยว่าไม่ได้ยินผลงานดีๆแบบนี้มาสักพักใหญ่ๆแล้ว
ได้ยินชื่อเสียงเรียงนามถึงDeafheavenได้ก็ปาไปครึ่งทศวรรษ ด้วยความเข้าใจผิดคิดว่าวงนี้คิดว่าเป็นวงBlack metalเพียวๆที่มีแต่ความเกรี้ยวกราด
ในพรมแดนที่ผู้เขียนไม่อาจก้าวเท้าเข้าไปได้ จึงปฏิเสธที่จะทดลองรับฟังมาตลอด
จนกระทั่งงาน มหรสพปี2019ที่พวกเขาได้มาฝากฝีไม้ลายมือกันเอาไว้ และเป็นที่เลื่องลือตอกย้ำฝีไม้ลายมือปริมาณคับแก้วจากมิตรสหายหลายท่านที่ได้
ร่วมชมกันวันนั้น
วงนึงที่รักษาสมดุลระหว่างสองฝั่งได้แม้ว่าพวกเขาจะเริ่มต้นที่คำว่าBlack metal,Post-metal แต่ก็ผสมผสานด้านscreamoเข้าไปในปริมาณที่พอเหมาะ
รสชาติทั้งสองด้านนั้นอร่อยหูหลายคนและชิมง่าย ถึงง่ายพอสมควร
ด้วยความที่ยุคนี้การปรับตัวคือสิ่งจำเป็น การปรับตัวครั้งนี้ถือเป็นอีกหลักไมล์สำคัญอีกครั้งของพวกเขา
พวกเขาลดดีกรีความหนักหน่วงลงจาก Post Black metal,Screamo ลงมาเยอะพอสมควร โดยใช้ส่วนผสมด้าน
ShoegazeและPost-rockที่กลมกล่อม โดยมีการใช้เสียงSynthesizers ในทุกเพลงมากกว่า2ไลน์ ใช้กีตาร์เสียงคลีนค่อนข้างเยอะและมีกีตาร์โปร่งแทรกเข้ามา รวมไปถึงการร้องของGeorge ที่เน้นด้านเสียงคลีนมากขึ้น ใช้เมโลดีสวยๆเข้ามาแทรก โดยทั้งหมดที่กล่าวมานี้ยังคงเอกลักษณ์ลายเซ็นของพวกเขา ไว้อย่างครบถ้วน และไม่เสียตัวตนของตัวเองไป
Studio Albumชุดที่5ของเขาชุดนี้มีชื่อว่าInfinite Granite โดยใช้เวลาทำนานที่สุดถึง4ปี กับเรือลำใหม่Sargent House
โดยมีกัปตันคนใหม่ Justin Meldal-Johnsen ที่มีผลงานหลายอัลบัมมาร่วมโปรดิวซ์ในงานนี้
ต้องขอชื่นชม Justinเลย ที่สามารถดึงเอาวัตถุดิบทีพวกเขามีมาใช้ให้เกิดประโยชน์ที่สุด โดยนอกจากดูแลด้านเบื้องหลังแล้ว
ก็มีส่วนในด้านเบื้องหน้าโดยในภาคดนตรีทั้งกีตาร์,เบสและSynthesizersก็ได้ลูกพี่คนนี้แหละที่ลงมาอัดให้เองในบางส่วน รวมไปถึงร้องประสานในบางเพลงอีกด้วย
เพลงทุกเพลงในอัลบัมนี้ทั้ง9เพลงที่อาจฟังดูเป็นแค่หลักหน่วยไม่ถึงหลัก10อย่างที่พวกเขาได้สร้างสรรค์ขึ้นมา แต่ก็เป็นเวลาถึง53:30
นี่คืองานศิลปะที่เข้าถึงได้ง่าย เพียงการฟังเป็นครั้งแรก และมันก็จะสิงสู่คุณในการฟังครั้งที่2-3-4ถัดไปเรื่อยๆไม่รู้หาย
ทุกเพลงในอัลบัมบรรจงเรียงร้อยกันมาเป็นอย่างดี ทั้ง8เพลงเต็มๆและ 1Intuerludeคั่นกลางที่มีความยาวกว่า3นาที
โดยเนื้อหาจะเป็นการเล่าเรื่องของบุคคลที่1 ที่จะพรรณาเรื่องใกล้ตัวที่สุด พรรณาบรรยายพูดถึงการใช้ชีวิต การสำรวจจิตใจ ถึงจิตที่หลงทาง ลึกลงไปในมหาสมุทรที่ลึกมากจนยากที่จะหยั่งถึง ที่เรียกว่า ตัวตนของตัวเอง ผ่านภาษาที่สละสลวยจากปลายปากกาของGeorge ที่เลือกเอาส่วนที่ลึกลงไปที่สุดถ่ายทอดออกมาได้อย่างงดงาม และเข้าถึงได้ง่ายไม่เกินขอบเขตุของความรู้สึกในทุกๆวินาทีที่ผลงานได้ทำหน้าที่ของมัน
แนะนำให้ฟังเพลงนี้อย่างตั้งใจในทุกๆ วินาทีที่อัลบัมบรรเลงอยู่ ทั้งเสียงที่ดังกึกก้องปลุกเร้าและเสียงเงียบงันที่ใส่มาได้ถูกจังหวะ
โดยเฉพาะSingleที่พวกเขาตั้งใจจะปล่อยออกมาตามลำดับ เช่น Great Mass of Color ที่มีความยาวกว่า6นาที รวมไปถึงThe GnashingและIn Blur
ที่เป็นMVเพียงชิ้นเดียวในอัลบั้ม
แต่ทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวถึงในข้างต้นนี้ ยังไม่ตราตรึงเท่าบทสรุปของ Infinite Granite เช่น Mombasa ที่เป็นเพลงสุดท้ายในอัลบัม
ที่หลายคนยกย่องให้เป็นมหากาพย์ที่สุดในผลงานนี้
เริ่มจากเสียงกระซิบและเสียงกีตาร์โปร่งคลอมา ก่อนที่เราจะได้ยินเสียงร้องอันแผ่วเบาของ George ที่เริ่มร้องว่า
ร่างเปลือยอันโดดเดี่ยว ที่ไหลเชี่ยวสัมผัสฝั่ง
สะท้อนจากดารา ใต้ผืนฟ้าในพบค่ำ
เป็นการขับกล่อมให้เข้าสู่นิทรา ผ่านทิวทัศน์ที่ค่อยๆมืดลง ทุกขณะ
ก่อนที่ดนตรีจะเร่งเร้าจังหวะไปเรื่อยๆ ยิ่งขึ้น ยิ้งขึ้นไปอีก ด้วยเสียงเบสที่เดินคุมจังหวะได้ดี
เสียงกลองสไตล์ดั้งเดิมที่เรารู้จักกันดี ผสานเสียงกรีดร้องเคล้าคลอไปกับเสียงกีตาร์และSynthesizersที่จะดับประสาทการรู้เห็นของคุณให้มืดมิด
และแปรเปลี่ยนเป็นการรับฟังที่สวยงามและมืดมดที่สุด
แนะนำให้ลองมาหาฟังสักครั้ง ถึงศิลานิรันดร์ที่จักคงอยู่ในโสตประสาทที่ผู้สดับรับฟังมันชั่วกาลนาน