สวัสดีค่า วันนี้ยาจะมารีวิวคอร์สภาษาอังกฤษที่ยาเรียนอยู่ค่ะ ที่ McBrown English
ขอเกริ่นประวัติส่วนตัวนิดนึงค่ะ ยาเป็นทนายความ จบนิติฯ จากม.ชื่อดังด้านกฏหมายย่านรังสิตค่ะ จริงๆยารู้จักโรงเรียนนี้มาก่อนหน้านี้สักพักแล้ว ประกอบกับพี่ที่คณะแนะนำเพิ่มมา เลยยิ่งมั่นใจ เลยได้สมัครเรียนกันค่ะ
เกริ่นก่อนว่า ความฝันของยาคือการได้เป็นผู้พิพากษา หรือเป็นอัยการก็ได้ค่ะ โดยหลังจากเรียนจบมาแล้ว จะต้องมีการสอบคัดเลือกค่ะ แบ่งออกเป็น 3 สนาม เรียกตามความเข้าใจว่า สนามใหญ่, สนามเล็ก และก็สนามจิ๋ว จริงๆเด็กนิติทุกคนน่าจะรู้จักกันดีอยู่แล้ว
— รายละเอียดของแต่ละสนาม —
สนามใหญ่ - ผู้เข้าสอบประมาณ 8,000 คน ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้ว สอบติดมากที่สุด 150 คน ผู้ที่สามารถสมัครสอบได้คือผู้ที่จบป.ตรี มีเนติบัณฑิต
สนามเล็ก - ผู้เข้าสอบประมาณ 2,000 คน ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้ว สอบติดมากที่สุด 150-200 คนค่ะ บางปีได้แค่ 3 คนก็มีนะคะ ผู้ที่สามารถสมัครสอบได้ จะต้องจบป.โทในประเทศค่ะ และต้องเป็นมหาวิทยาลัยที่กต.รับรอง
สนามจิ๋ว - ผู้เข้าสอบประมาณ 200 คน โดยเฉลี่ยแล้ว 80% ของผู้ที่เข้าสอบ จะสอบติดค่ะ โดยผู้ที่สามารถสมัครสอบได้ คือผู้ที่จบป.โทต่างประเทศ 2 ใบเท่านั้นค่ะ และต้องเป็นมหาวิทยาลัยที่กต.รับรองเท่านั้นด้วย
ข้อสอบทั้งสามชุด ไม่ใช่ชุดเดียวกันค่ะ เป็นที่รู้กันสำหรับหลายคนว่า ข้อสอบของสนามจิ๋ว จะง่ายที่สุด แต่ต้องแลกกับการไปเรียนต่อป.โทต่างประเทศ 2 ใบ ตามที่กล่าวข้างต้น
— ความแตกต่างระหว่างข้อสอบแต่ละสนาม —
สนามใหญ่และสนามเล็ก ระยะเวลาการสอบ 3 วัน วันละ 10 ข้อ ทั้งหมดรวมก็ 30 ข้อค่ะ ซึ่ง 28 ข้อ เป็นเรื่องเกี่ยวกับกฏหมาย และสอบภาษาอังกฤษอีก 2 ข้อค่ะ
สนามจิ๋ว ระยะเวลาการสอบ 3 วันเหมือนกันค่ะ วันละ 10 ข้อเหมือนกัน แต่สัดส่วนข้อสอบภาษาอังกฤษจะเพิ่มเป็น 3 ข้อ แต่ 3 ข้อนี้ ปริมาณข้อสอบจะเยอะกว่ามากๆค่ะ เรียกว่าจากย่อหน้าเดียว กลายเป็น 2 หน้า A4 เลย ลองดูตัวอย่างจากด้านล่างได้เลยค่ะ
ต้องยอมรับว่า การจะผ่านเกณฑ์หรือไม่ผ่านนั้น ส่วนใหญ่คะแนนจะตัดกันที่ภาษาอังกฤษเลยค่ะ เนื่องจากความรู้ทางด้านกฏหมาย เป็นสิ่งที่ทุกคนเรียนมาเหมือนกัน เป็นสิ่งที่เราหา Source ได้ เตรียมตัวได้ แต่ภาษาอังกฤษ แต่ละคนมีไม่เท่ากันอย่างชัดเจน
อีกอย่างค่ะ หากจบนิติฯมา จริงๆมีหลากหลายอาชีพให้เลือกสรร ถ้าภาษาอังกฤษดี ก็จะมี Potential ที่เราสามารถทำคดีต่างประเทศได้ หรือทำเกี่ยวกับวิชาการก็ได้ เนื่องจากมันจะมีศาลวิชาการ ที่ไม่ต้องออกหน้าบัลลังก์ แถมเงินเดือนก็ได้เยอะกว่าด้วย
เจาะมาที่ข้อสอบภาษาอังกฤษของทั้ง 3 สนามค่ะ วิธีการสอบนั้น ผู้สอบจะต้องแปลเนื้อกฏหมายภาษาไทย ให้เป็นภาษาอังกฤษ และในทางกลับกัน แปลเนื้อกฏหมายภาษาอังกฤษ ให้เป็นภาษาไทย
โดยในสนามจิ๋วค่ะ ข้อสอบที่เพิ่มมา 1 ข้อนั้น จะต้องให้เราอ่านข้อความภาษาอังกฤษ และตอบคำถามด้วย วัดทักษะทั้งการอ่านและการเขียน
เนี่ยค่ะ ความสำคัญของภาษาอังกฤษในแวดวงเด็กนิติ มันค่อนข้างชัดเจน ทั้งๆที่คิดว่าตอนเรียน ก็น่าจะเป็นแค่กฏหมาย ดังนั้น เพื่อนหลายๆคนเลยเลือกที่จะไปเรียนต่อโทเมืองนอก 2 ใบ เพื่อให้ได้มาซึ่งเปอร์เซนต์ในการสอบติดที่มากขึ้นในสนามจิ๋ว แต่นั่นก็ต้องใช้คะแนน IELTS หรือ ทักษะภาษาอังกฤษ เพื่อไปเรียนต่ออยู่ดี, หลายคนที่มีทักษะภาษาอังกฤษ ก็เลือกที่จะไปทำใน Law Firm ของต่างประเทศ ที่เงินเดือนแตกต่างกับ Law Firm ของไทยอย่างเห็นได้ชัดเจนค่ะ
— วิธีการเรียนของ McBrown English เข้ากันกับการสอบแต่ละสนามอย่างไร —
วิธีการเรียนของ McBrown ค่ะ ในช่วงแรก เราจะได้แปลโจทย์ภาษาอังกฤษ ให้เป็นภาษาไทย พอเรียนไปสักพักค่ะ ในช่วงหลัง เราจะได้แปลภาษาไทย ให้เป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งพอดีว่า ไปคล้ายกับวิธีการสอบอัยการและผู้พิพากษาพอดี
ระดับความยากของประโยคที่เรียนค่ะ พิจารณาเฉพาะความซับซ้อนของประโยคนะคะ ตัดปัจจัยเรื่องศัพท์เกี่ยวกับกฏหมายออกไป จะค่อยๆยากขึ้นเรื่อยๆค่ะ ในประมาณเล่มที่ 3 เป็นต้นไป จะซับซ้อนกว่าข้อสอบนิดหน่อยด้วยค่ะ
แต่อย่างที่บอกค่ะ คำศัพท์ของ McBrown จะไม่ได้เป็นคำศัพท์นิติฯเฉพาะทาง ดังนั้น เราจะต้องเอาความซับซ้อนของประโยคที่เรียนจากที่นี่ มาประยุกต์กับคลังศัพท์ทางด้านกฏหมายของเราเอง ก็จะออกมาเป็นข้อสอบพอดีค่ะ และฝึกซ้อมหลังจากนั้นเรื่อยๆ
ตอนนี้ที่รีวิว ยาเรียนถึงเล่มที่ 2 จาก 8 เล่มค่ะ ดังนั้นความซับซ้อนด้านบนจึงยังไม่ใช่แบบที่ซับซ้อนที่สุดที่คอร์สมีให้
ก่อนเรียนก็นึกว่าตัวเองเข้าใจภาษาอังกฤษแล้ว อ่านได้ ฟังรู้เรื่อง แต่พอได้มาเรียนที่นี่จริงๆ เลยรู้ว่า ที่ผ่านมา เราอ่านจากคำศัพท์ที่เรารู้ และตีความตามความเข้าใจ ซึ่งหลายๆครั้งมันไม่ตรงกับที่เขาจะสื่อค่ะ ความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดจากการเรียนที่ McBrown คือ
สายตาในการอ่านจะสแกนข้อความในรูปแบบใหม่ วิธีคิดจะคิดในแบบใหม่ ในแบบที่ทำเองหรือเรียนเองไม่ได้ อันนี้ยอม
เนื่องจากมหาวิทยาลัยเราอยู่ไกลจากตัวเมืองค่ะ เด็กส่วนใหญ่ไม่ค่อยสะดวกถ้าต้องเข้ามาเรียนในเมือง แต่แถวม.ก็ไม่ได้มีที่เรียนแบบนี้เปิดสอนอีก ยาเลยเลือกจะสมัครเรียนแบบ Hybrid วันธรรมดาก็เรียนออนไลน์เอา มีข้อสงสัยก็เก็บไว้ แล้ว 1-2 อาทิตย์ก็เข้าเมืองที มาที่โรงเรียน (ตัวโรงเรียนกำลังจะย้ายไปตั้งอยู่ที่สามย่านมิตรทาวน์ ชั้น 5 ในเดือน ม.ค. 2022) มีข้อสงสัยอะไรก็เก็บไว้ถามทีเดียว เข้ากับ Lifestyle เด็กชานเมืองอย่างเรา ฮ่าๆๆ ถ้าตั้งใจ ใช้เวลา 1-2 เดือนก็เรียนจบแล้วค่ะ ไม่นาน
ที่เรียนแบบนี้ไม่ค่อยมีเปิดค่ะ พยายามหาแล้ว หลักสูตรที่ม.ก็ไม่ได้มีแบบนี้ให้ ปัจจัยสำคัญคือ ยาถือว่าราคาถูก เมื่อเปรียบเทียบกับการติวสอบเฉพาะทาง ลองหาเปรียบเทียบราคากันได้เลยค่ะ และอีกอย่าง ยาสามารถนำทักษะนี้ไปใช้อย่างอื่นได้ต่อ นอกเหนือจากการสอบอัยการ ซึ่งรวมไปถึงการสอบ IETLS ด้วย
ทางโรงเรียนมีให้ทดลองเรียนแบบอินเตอร์แอคทิฟ ฟรีตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อดูถึงตัวอย่างเนื้อหา และวิธีการสอน ประกอบการตัดสินใจค่ะ พร้อมทั้งมีส่วนลดอีกหลายรูปแบบเลย เหมาะสมกับสภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ ไม่ต้องเป็นทนายหรือสอบผู้พิพากษาเหมือนยา ก็เรียนได้ตามปกตินะคะ ลองเลือกดูคอร์สที่เหมาะสมกับตัวเองดู
ขอจบการรีวิวเพียงเท่านี้ค่ะ ขอบคุณที่สละเวลาอ่านน้าทุกคนน
[CR] รีวิวการเรียนภาษาอังกฤษ เตรียมตัวเพื่อนำไปสอบผู้พิพากษา จากใจเด็กนิติฯที่ไม่มีพื้นฐาน ที่ McBrown English
ขอเกริ่นประวัติส่วนตัวนิดนึงค่ะ ยาเป็นทนายความ จบนิติฯ จากม.ชื่อดังด้านกฏหมายย่านรังสิตค่ะ จริงๆยารู้จักโรงเรียนนี้มาก่อนหน้านี้สักพักแล้ว ประกอบกับพี่ที่คณะแนะนำเพิ่มมา เลยยิ่งมั่นใจ เลยได้สมัครเรียนกันค่ะ
เกริ่นก่อนว่า ความฝันของยาคือการได้เป็นผู้พิพากษา หรือเป็นอัยการก็ได้ค่ะ โดยหลังจากเรียนจบมาแล้ว จะต้องมีการสอบคัดเลือกค่ะ แบ่งออกเป็น 3 สนาม เรียกตามความเข้าใจว่า สนามใหญ่, สนามเล็ก และก็สนามจิ๋ว จริงๆเด็กนิติทุกคนน่าจะรู้จักกันดีอยู่แล้ว
สนามเล็ก - ผู้เข้าสอบประมาณ 2,000 คน ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้ว สอบติดมากที่สุด 150-200 คนค่ะ บางปีได้แค่ 3 คนก็มีนะคะ ผู้ที่สามารถสมัครสอบได้ จะต้องจบป.โทในประเทศค่ะ และต้องเป็นมหาวิทยาลัยที่กต.รับรอง
สนามจิ๋ว - ผู้เข้าสอบประมาณ 200 คน โดยเฉลี่ยแล้ว 80% ของผู้ที่เข้าสอบ จะสอบติดค่ะ โดยผู้ที่สามารถสมัครสอบได้ คือผู้ที่จบป.โทต่างประเทศ 2 ใบเท่านั้นค่ะ และต้องเป็นมหาวิทยาลัยที่กต.รับรองเท่านั้นด้วย
ข้อสอบทั้งสามชุด ไม่ใช่ชุดเดียวกันค่ะ เป็นที่รู้กันสำหรับหลายคนว่า ข้อสอบของสนามจิ๋ว จะง่ายที่สุด แต่ต้องแลกกับการไปเรียนต่อป.โทต่างประเทศ 2 ใบ ตามที่กล่าวข้างต้น
— ความแตกต่างระหว่างข้อสอบแต่ละสนาม —
สนามใหญ่และสนามเล็ก ระยะเวลาการสอบ 3 วัน วันละ 10 ข้อ ทั้งหมดรวมก็ 30 ข้อค่ะ ซึ่ง 28 ข้อ เป็นเรื่องเกี่ยวกับกฏหมาย และสอบภาษาอังกฤษอีก 2 ข้อค่ะ
สนามจิ๋ว ระยะเวลาการสอบ 3 วันเหมือนกันค่ะ วันละ 10 ข้อเหมือนกัน แต่สัดส่วนข้อสอบภาษาอังกฤษจะเพิ่มเป็น 3 ข้อ แต่ 3 ข้อนี้ ปริมาณข้อสอบจะเยอะกว่ามากๆค่ะ เรียกว่าจากย่อหน้าเดียว กลายเป็น 2 หน้า A4 เลย ลองดูตัวอย่างจากด้านล่างได้เลยค่ะ
ต้องยอมรับว่า การจะผ่านเกณฑ์หรือไม่ผ่านนั้น ส่วนใหญ่คะแนนจะตัดกันที่ภาษาอังกฤษเลยค่ะ เนื่องจากความรู้ทางด้านกฏหมาย เป็นสิ่งที่ทุกคนเรียนมาเหมือนกัน เป็นสิ่งที่เราหา Source ได้ เตรียมตัวได้ แต่ภาษาอังกฤษ แต่ละคนมีไม่เท่ากันอย่างชัดเจน
อีกอย่างค่ะ หากจบนิติฯมา จริงๆมีหลากหลายอาชีพให้เลือกสรร ถ้าภาษาอังกฤษดี ก็จะมี Potential ที่เราสามารถทำคดีต่างประเทศได้ หรือทำเกี่ยวกับวิชาการก็ได้ เนื่องจากมันจะมีศาลวิชาการ ที่ไม่ต้องออกหน้าบัลลังก์ แถมเงินเดือนก็ได้เยอะกว่าด้วย
เจาะมาที่ข้อสอบภาษาอังกฤษของทั้ง 3 สนามค่ะ วิธีการสอบนั้น ผู้สอบจะต้องแปลเนื้อกฏหมายภาษาไทย ให้เป็นภาษาอังกฤษ และในทางกลับกัน แปลเนื้อกฏหมายภาษาอังกฤษ ให้เป็นภาษาไทย
โดยในสนามจิ๋วค่ะ ข้อสอบที่เพิ่มมา 1 ข้อนั้น จะต้องให้เราอ่านข้อความภาษาอังกฤษ และตอบคำถามด้วย วัดทักษะทั้งการอ่านและการเขียน
เนี่ยค่ะ ความสำคัญของภาษาอังกฤษในแวดวงเด็กนิติ มันค่อนข้างชัดเจน ทั้งๆที่คิดว่าตอนเรียน ก็น่าจะเป็นแค่กฏหมาย ดังนั้น เพื่อนหลายๆคนเลยเลือกที่จะไปเรียนต่อโทเมืองนอก 2 ใบ เพื่อให้ได้มาซึ่งเปอร์เซนต์ในการสอบติดที่มากขึ้นในสนามจิ๋ว แต่นั่นก็ต้องใช้คะแนน IELTS หรือ ทักษะภาษาอังกฤษ เพื่อไปเรียนต่ออยู่ดี, หลายคนที่มีทักษะภาษาอังกฤษ ก็เลือกที่จะไปทำใน Law Firm ของต่างประเทศ ที่เงินเดือนแตกต่างกับ Law Firm ของไทยอย่างเห็นได้ชัดเจนค่ะ
— วิธีการเรียนของ McBrown English เข้ากันกับการสอบแต่ละสนามอย่างไร —
วิธีการเรียนของ McBrown ค่ะ ในช่วงแรก เราจะได้แปลโจทย์ภาษาอังกฤษ ให้เป็นภาษาไทย พอเรียนไปสักพักค่ะ ในช่วงหลัง เราจะได้แปลภาษาไทย ให้เป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งพอดีว่า ไปคล้ายกับวิธีการสอบอัยการและผู้พิพากษาพอดี
ระดับความยากของประโยคที่เรียนค่ะ พิจารณาเฉพาะความซับซ้อนของประโยคนะคะ ตัดปัจจัยเรื่องศัพท์เกี่ยวกับกฏหมายออกไป จะค่อยๆยากขึ้นเรื่อยๆค่ะ ในประมาณเล่มที่ 3 เป็นต้นไป จะซับซ้อนกว่าข้อสอบนิดหน่อยด้วยค่ะ
แต่อย่างที่บอกค่ะ คำศัพท์ของ McBrown จะไม่ได้เป็นคำศัพท์นิติฯเฉพาะทาง ดังนั้น เราจะต้องเอาความซับซ้อนของประโยคที่เรียนจากที่นี่ มาประยุกต์กับคลังศัพท์ทางด้านกฏหมายของเราเอง ก็จะออกมาเป็นข้อสอบพอดีค่ะ และฝึกซ้อมหลังจากนั้นเรื่อยๆ
ตอนนี้ที่รีวิว ยาเรียนถึงเล่มที่ 2 จาก 8 เล่มค่ะ ดังนั้นความซับซ้อนด้านบนจึงยังไม่ใช่แบบที่ซับซ้อนที่สุดที่คอร์สมีให้
ก่อนเรียนก็นึกว่าตัวเองเข้าใจภาษาอังกฤษแล้ว อ่านได้ ฟังรู้เรื่อง แต่พอได้มาเรียนที่นี่จริงๆ เลยรู้ว่า ที่ผ่านมา เราอ่านจากคำศัพท์ที่เรารู้ และตีความตามความเข้าใจ ซึ่งหลายๆครั้งมันไม่ตรงกับที่เขาจะสื่อค่ะ ความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดจากการเรียนที่ McBrown คือ สายตาในการอ่านจะสแกนข้อความในรูปแบบใหม่ วิธีคิดจะคิดในแบบใหม่ ในแบบที่ทำเองหรือเรียนเองไม่ได้ อันนี้ยอม
เนื่องจากมหาวิทยาลัยเราอยู่ไกลจากตัวเมืองค่ะ เด็กส่วนใหญ่ไม่ค่อยสะดวกถ้าต้องเข้ามาเรียนในเมือง แต่แถวม.ก็ไม่ได้มีที่เรียนแบบนี้เปิดสอนอีก ยาเลยเลือกจะสมัครเรียนแบบ Hybrid วันธรรมดาก็เรียนออนไลน์เอา มีข้อสงสัยก็เก็บไว้ แล้ว 1-2 อาทิตย์ก็เข้าเมืองที มาที่โรงเรียน (ตัวโรงเรียนกำลังจะย้ายไปตั้งอยู่ที่สามย่านมิตรทาวน์ ชั้น 5 ในเดือน ม.ค. 2022) มีข้อสงสัยอะไรก็เก็บไว้ถามทีเดียว เข้ากับ Lifestyle เด็กชานเมืองอย่างเรา ฮ่าๆๆ ถ้าตั้งใจ ใช้เวลา 1-2 เดือนก็เรียนจบแล้วค่ะ ไม่นาน
ที่เรียนแบบนี้ไม่ค่อยมีเปิดค่ะ พยายามหาแล้ว หลักสูตรที่ม.ก็ไม่ได้มีแบบนี้ให้ ปัจจัยสำคัญคือ ยาถือว่าราคาถูก เมื่อเปรียบเทียบกับการติวสอบเฉพาะทาง ลองหาเปรียบเทียบราคากันได้เลยค่ะ และอีกอย่าง ยาสามารถนำทักษะนี้ไปใช้อย่างอื่นได้ต่อ นอกเหนือจากการสอบอัยการ ซึ่งรวมไปถึงการสอบ IETLS ด้วย
ทางโรงเรียนมีให้ทดลองเรียนแบบอินเตอร์แอคทิฟ ฟรีตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อดูถึงตัวอย่างเนื้อหา และวิธีการสอน ประกอบการตัดสินใจค่ะ พร้อมทั้งมีส่วนลดอีกหลายรูปแบบเลย เหมาะสมกับสภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ ไม่ต้องเป็นทนายหรือสอบผู้พิพากษาเหมือนยา ก็เรียนได้ตามปกตินะคะ ลองเลือกดูคอร์สที่เหมาะสมกับตัวเองดู
ขอจบการรีวิวเพียงเท่านี้ค่ะ ขอบคุณที่สละเวลาอ่านน้าทุกคนน
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น