เพื่อน ๆ ... เชื่อว่า ผีมีจริงไหม ?
ผมคนหนึ่งล่ะ ที่ไม่เชื่อ...จนกระทั่ง
ปลายปี พ.ศ. 2544
ผมขับมอเตอร์ไซด์เพียงแค่ 3 สูบ หาร้านซ่อมบิ๊กไบค์ไปเรื่อย
ก้านวาล์วสูบที่ 1 ทะลุ จนโผล่ออกมายิ้มเผล่ในช่องทางไอดี
ช่างที่บ้านโป่งชี้ให้ผมดู หลังจากเปิดฝาสูบออกมาเช็ค
ก็ขี่ลากมาอย่างนั้นแหละ กระทั่งถึงกรุงเทพจนได้
เปลี่ยนเครื่องยนต์ใหม่สิครับ...เสียตังค์อีกแล้ว
2 อาทิตย์ถัดมา ผมก็ได้เครื่องยนต์มือสองมาจากเซียงกง
เปลี่ยนเองสิครับ ใต้ถุนแฟลตที่ตลาดสะพานใหม่นี่แหละ
อยู่กับแม่เนี่ย ก็ดีไปอย่างนะ...
นอกจากจะอุ้มท้องจนคลอดผมออกมาแล้ว
ยังต้องมาคอยเป็นลูกมือช่วยเปลี่ยนเครื่องยนต์ให้อีกด้วย
เปลี่ยนเครื่องยนต์เสร็จ ก็ต้องออกไปลองซะหน่อย
ชวนสมาชิกในก๊วนให้ไปเจอกันที่อาบอบนวด ตรงข้ามราบ 11
ลองเครื่องยนต์จนหมดเบียร์เป็นลัง ตัวเบากันถ้วนหน้าแล้ว
ผมก็ขับนำ พาเข้าวัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน
หมาวัดทั้งหอน ทั้งเห่าให้เสียงขรม ก็เที่ยงคืนกว่าแล้วนิ
ตัดกับเสียงรถมอเตอร์ไซด์ของพวกกระผมทั้ง 4 พระหน่อ
พอเลยศาลาสวดศพที่ 10 มาซักหน่อย
ก็จะเป็นบริเวณสุสานของวัด...จอดรถ
จุดประสงค์ในการมาที่นี่ ก็เพื่อจะเช็คความเข้มแข็งของจิตใจ
บรรยากาศโดยรวมก็ช่างเป็นใจในการตรวจเช็คเสียเหลือเกิน
เด็กๆ ที่ตามมานี้ แน่นอน ทุกคนมีความกลัวผีฝังใจกันมาแต่เล็ก
การเล่าเรื่องผีจากปากผู้ใหญ่ เชื่อขนมยายกินได้เลยว่า
เด็กไทยทุกคนย่อมเคยผ่านการฟังตรงนั้นกันมา
ฟังแล้วไงต่อ ก็จินตนาการกันไป...
ความกลัวผีในจิตใจก็ค่อยๆ ก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างขึ้น
ผมถามพวกเค้ากลางวงเหล้าก่อนหน้านี้ว่า
กลัวผี หรือ กลัวความมืดกันแน่ ?
ไม่มีใครกล้าฟันธงเลยซักคน ว่ากลัวอะไรกัน
จึงต้องลงเอยด้วยการนำมา ซ.ต.พ. (ซึ่งต้องพิสูจน์)
ที่สุสานของวัดในยามดึกๆ เช่นนี้แหละ...
หากบังเอิญโชคดี ก็อาจจะได้คำตอบว่ากลัวอะไร
ผี หรือ ความมืด...หรือทั้งสองอย่าง !!
แต่การที่จะไปถึงบทสรุปเช่นว่านั้นได้
ความเข้มแข็งของสภาพจิตใจต้องมาก่อน
การตรวจสอบจึงได้เริ่มต้นขึ้น...
ผมนำร่องไปก่อน ส่องไฟฉายดุ่มๆ เดินเลี้ยว ลัดเลาะไปอย่างเหงาๆ
ช่องเก็บศพสร้างด้วยปูนซีเมนต์รูปสี่เหลี่ยมสีขาวตั้งอยู่เรียงราย
หมายกำหนดการที่ได้ตกลงกันไว้อย่างคร่าวๆ ความว่า...
ทุกคนต้องจับเวลา นาฬิกาข้อมือของแต่ละคนเป็นสิ่งจำเป็น
จากก้าวแรกที่ผมออกเดินจากกลุ่ม เมื่อเวลาผ่านไป 5 นาทีแล้ว
คนที่สอง เจ้าอี๊ดที่ขี่ Honda VFR 400 cc มา ก็ต้องออกเดินหาผม
ทันทีที่คนนี้ออกเดิน เจ้าคนที่สามที่ขี่ Suzuki GSX 250 cc มาร่วมด้วย
ก็ต้องจับเวลาต่ออีก 5 นาที ครบแล้วจึงค่อยออกเดินตาม
ทิ้งให้ 5 นาทีสุดท้ายตกเป็นของเจ้าของรถ Honda Nova S 105 cc
ผมนั่งรอพรรคพวกอยู่ที่ศาลาริมน้ำ ในสุสานนั่นแหละ
เสียงหมายังคงเห่าหอนกันไม่หยุด
ขณะที่พวกเด็กๆ คงกำลังจับเวลารอทะยอยปล่อยตัวเอง
น่าที่จะเป็นช่วงเวลาแห่งการรอคอยที่แสนจะยาวนานสินะ
เห็นแต่แสงไฟวับๆ แวมๆ จากไฟฉายที่ค่อยๆ จางออกไป
แล้วก็จมหายไปกับความมืดในยามรัตติกาล
ผมนั่งคุยกันเบาๆ ในขณะที่รอเจ้าคนท้ายสุด
ได้ยินเสียงหมาเห่าไปทางวิทยาลัยครูพระนคร
ออกไปดูมันซักหน่อยจะดีกว่ามั้ย ?
ทำไมผิดเวลาจนน่าสังเกตจัง...
พากันเดินย้อนออกมา
อ้าว เฮ้ย...ดันไม่เจอมัน
เห็นแสงไฟส่องแว้บๆ อยู่แถวต้นไทรริมน้ำทางโน้นโน่น
พากันเดินตามไปดู...
"
มาทำอะไรอยู่ตรงนี้ เค้ารอกันอยู่ตรงนู้น ปัดโธ่... " ผมแว้ดเข้าใส่
"
ผมก็ว่า จะเดินไปตามทางพวกพี่ๆ อยู่หรอก แต่..." มันหยุดถอนหายใจ
"
เจอผี...หรอ ? " อี๊ด 400 ซีซี ทะลุขึ้นมากลางปล้อง
"
ยิ่งกว่าผีเสียอีก...น่ะสิ " ชัดแล้ว ไม่ใช่ผีแน่ๆ ถ้ามามุขนี้
"
ถ้างั้น ก็...งู ชัวร์ " ซูซูกิ GSX ใส่ตัวเลือกเข้าไป
"
คางคกน่ะ...กลัว " ดูมัน !!
ออกจากวัดพระศรีฯ ก็ว่าจะพาไปฉลองความสำเร็จกันต่ออีก
ในสายตาผมแล้ว เด็กๆ เหล่านี้สอบผ่านหมด ใจ...ใช้ได้เลยเชียว
ส่วนข้อสรุปที่ว่า กลัวผี หรือความมืดกันแน่นั้น...คงยังไม่มี
เวลาเพียงแค่ 1 ชั่วโมงที่อยู่กันในสุสานของวัด ยังน้อยเกินไป
ต้องปล่อยเดี่ยว ทิ้งไว้ยันรุ่ง...น่าที่จะเหมาะกว่า
เข้าซอย 39 กะว่าจะวิ่งทางลัดออกมายังถนนเส้นลำลูกกา
พอลงสะพานข้ามคลองกำลังจะผ่านประตูหน้าวัดโพสพผลเจริญ
เจ้า 4 สูบผม เครื่องดันดับกระทันหันเอาซะดื้อ ๆ
ล้อหลังตายลากจนเป็นทาง เท้าถึงกับต้องประคองยันพื้น แต่ไม่ถึงกับล้ม
ยังดีนะ พวกเด็กๆ ที่ตามตูดมา ไม่เสยท้ายเข้าให้
งานคงเข้าแล้วสิ เครื่องยนต์ตัวใหม่นี้น่าที่จะต้องมีปัญหาแน่ ๆ
ประตูทางเข้าวัดนี้ เวลามองผ่านเข้าไป มืดดีจัง
ลองสตาร์ทดูทีซิ เสียงเครื่องยนต์คำรามออกดัง บึ้ม ๆ.....
เอ...เครื่องยนต์ก็ติดดีนี่หว่า หรือมีอะไรไปพันโซ่เข้า
พวกเด็กๆ ช่วยกันเอาไฟฉายมารุมส่องดู ก็ไม่เห็นมีอะไร
ไปกันต่อเหอะ หน้าวัดซะด้วย เสียว...อ่า
รถออกตัวแบบอืดๆ จนต้องเปิดคันเร่งเพิ่มมากกว่าปรกติ
เลี้ยวซ้ายมาหน่อยตามถนนลำลูกกา กลิ่นเหล้าขาวฉุนกึ้กเตะจมูก
เปิดกระบังลมหมวกกันน็อคขึ้น หวังจะให้กลิ่นนั้นหาย
แต่กลับหนักกว่าเก่า...
เหมือนใครทำเหล้าขาวหก หรือไม่ก็เทรดใส่ตัว
ค่อยๆ ชะลอรถ เปิดไฟเลี้ยวซ้ายกระพริบให้สัญญาณ
จอดเข้าข้างทางเพื่อจะหาที่มาของกลิ่น
ให้ฉงนอยู่หน่อยก็ตรงที่...ตัวเราดื่มเบียร์มานี่หว่า
ถอดหมวกกันน็อคได้ ก็ใช้จมูกดมหาที่มาของกลิ่น ฟุดๆ ฟิดๆ
โอ้โฮ...กลิ่นงี้ ให้ฮึ่มเลยบริเวณเบาะที่นั่งคนซ้อนท้าย
ลองเดินออกห่างจากท้ายรถดูซิ...
ค่อยๆ ถอยห่างจากรถออกไป 10 ก้าว
กลิ่นเหล้าขาวก็ค่อยๆ จางลงไปตามลำดับ
แล้วถ้าเดินเข้าไปยังที่ท้ายรถอีก...ล่ะ
มาแล้ว...กลิ่น ค่อยๆ แรงขึ้นทีละนิด ๆ
จนกลิ่นฉุนสุด อย่างกับมีคนเมาเหล้าขาว
แล้วมาพ่นลมปากใส่หน้าเราเอาที่ตรงเบาะท้าย
ชัด...เสียยิ่งกว่าชัด
มีใครนั่งซ้อนท้ายรถผมอยู่เป็นแน่ !!
"
หาอะไรอยู่ครับพี่ เห็นดม ๆ ? " เสียงเด็กคนหนึ่งตะโกนถาม
ผมเดินไปหาแถวเด็กๆ ที่จอดรถรอกันอยู่
ประมวลเหตุการณ์ย้อนหลังให้พวกเขาฟังว่า
"
การที่จู่ๆ รถพี่เครื่องดับ ล้อตาย จอดลงเอาที่ตรงประตูทางเข้าหน้าวัดนั้น
น่าที่จะได้คำตอบแล้วล่ะ..."
พวกนั้นตั้งใจฟังกันใหญ่ ยื่นหน้าล้อมวงกันเข้ามาจนใกล้
ผมลำดับเหตุการณ์ต่อ
"
รถก็ไม่เสีย สตาร์ทชึ่งเดียวติด โซ่ก็ไม่ได้หลุด แต่ออกตัวอืดๆ เหมือนมีคนซ้อนว่ะ
กลิ่นเหล้าขาวให้คลุ้งเชียวตอนขับมา ตอนนี้ก็ยังมีกลิ่นอยู่...แรงด้วย ตรงเบาะหลัง
ไปดูกันซิ...อย่างเงียบๆ นะ "
มีเจ้าอี๊ดเพียงคนเดียวที่เหมือนเป็นตัวแทนกลุ่ม
จากการโหวตกันด้วยสายตาเพื่อให้ไปเป็นคนดู
จำใจเดินไปดูๆ ดมๆ ใกล้ๆ เสร็จแล้ว...
มันก็เดินกลับมา พยักหน้าหงึก ๆ ใส่
ที่คาเฟ่แห่งหนึ่ง ย่านคลองสอง ลำลูกกา
เด็กเสิร์ฟถาม "
กี่ที่...คะ ? "
ผมตอบไปอย่างไม่ลังเล..."
5 ที่จ้ะ คนสวย... "
แก้วเบียร์ถูกรินวางตรงหน้าพวกเราเป็นจำนวน 4 ที่
เหลืออีกที่หนึ่งคือ...แก้วเปล่า หน้าโซฟายาว
ผมบอกให้น้องเค้าเทเบียร์เสิร์ฟลงไปที่แก้วเปล่าใบนั้นได้เลย
ขอจานเปล่ากับช้อนส้อมเพิ่มอีกที่ด้วยล่ะ
เด็กเสิร์ฟนำของมาให้เสร็จ
ก็แอบไปยืนกระซิบกระซาบกันที่หลังเสา
ไม่มาคอยยืนเสิร์ฟบริการใดๆ ใกล้ๆ โต๊ะพวกเรา...คงกลัว
จะคอยโฉบมาทีก็ตอนที่ผมเรียกสั่งอาหารเพิ่ม
หรือไม่ก็ตอนที่เบียร์ในแก้วของพวกเราพร่องจนเกือบจะหมด
นอกนั้นแล้ว ก็จะไปคอยแกร่วอยู่ที่โต๊ะแขกคนอื่นเสียมากกว่า
ร้านนี้เค้า...อาหารดี ดนตรีก็ไพเราะ นักร้องก็สวย เซ็กซี่
แอร์เย็นฉ่ำ เบียร์เป็นวุ้นด้วย แขกก็ไม่ค่อยเยอะสักเท่าไหร่
พวกผมก็เลยนั่งดื่มกินกันอย่างสบายอารมณ์ คุยกันฮาเฮ เสียงดัง
แทบจะลืมไปเลยว่า...มีผู้ที่ซ้อนท้ายมาด้วยที่น่าจะนั่งอยู่บนโซฟายาวตัวนั้น
จนกระทั่ง...
"
ขอนั่งด้วยคน...นะคะ "
ผมยังไม่ทันเอ่ยปากอนุญาตแต่อย่างใดเลย
นักร้องนางนี้ก็นั่งลงแหมะที่ตรงโซฟาตัวที่ว่างเปล่า
ด้วยหุ่นที่อวบอัด ผิวขาว หน้าคมกริบ รวมเข้ากับชุดกี่เพ้าสีแดง
หล่อนทักพวกเราทุกคนอย่างกับเคยเป็นญาติกันมาก่อน
"
ขอดื่มด้วยคน...นะคะ "
ไม่ทันได้อนุญาตอีก หล่อนก็คว้าแก้วเบียร์ที่รินไว้จนจืดชืดใบนั้นขึ้นมาดื่ม
พวกเราต่างหันมามองตากันจนแทบจะถลนออกนอกเบ้า
จะเอ่ยปากทักซักคน ก็ดันไม่มี ได้แต่พากันตกตะลึง
หล่อนดื่มรวดเดียวหมด เรอออกมาเบาๆ แล้วค่อยวางแก้วลง
ผมขยิบตาให้พวกเด็กๆ รู้กันเป็นนัยๆ ว่า "
อย่าไปบอก ๆ ... "
หล่อนขอตัวขึ้นไปร้องเพลง ผมทิปพวงมาลัยไปให้ตามมารยาท
โซฟาตัวนั้นว่างเปล่าอีก ผมรินเบียร์ใส่แก้วนั้นจนเต็ม
บอกกับทุกคนว่า "
ชนแก้วกันหน่อย พวกเรา... "
แล้วผมก็ยื่นมือถือแก้วเบียร์ของผม ชนไปที่แก้วเบียร์ที่เพิ่งรินนั้น
พวกเด็กๆ เห็นแล้ว ก็คงเห็นด้วยกับพฤติกรรมที่ผมทำ
พร้อมใจกันยื่นแก้วมาชนรวมกันจนเป็นหนึ่งที่แก้วเบียร์หน้าโซฟาตัวนั้น
ตะโกนจนแทบเป็นเสียงเดียวกันว่า..."
เชียร์... "
จากนั้นก็พากันยกแก้วของใครของมันเทดื่มเข้าปาก
คงกลัวจะไม่ทันใครๆ เขามั้ง นักร้องคนนั้นมาจากไหนไม่รู้
ยื่นแขนเรียวๆ ของนางข้ามโซฟามาคว้าหมับเข้าที่แก้วเบียร์ใบนั้นอีก
ยกขึ้นยืนดื่มอักๆ จนพวกเราตาเหลือก พากันถือแก้วค้างคากันอยู่ที่ปาก
นับจากนั้นแล้ว โต๊ะผมก็ไม่จำเป็นต้องมีเด็กมาคอยเสิร์ฟอีกต่อไป
หล่อนทำหน้าที่ทุกอย่างแทนเด็กเสิร์ฟหมด
ทั้งรินเบียร์ให้ ชวนพวกเราคุย แนะนำน้องๆ นักร้องคนนั้นคนนี้ให้
โต๊ะผมชักจะเริ่มคับแคบลงเข้าให้แล้วสิ มีนักร้องตามเข้ามาสบทบอีก 3 คน
นางเรียกให้มานั่งข้างๆ เป็นเพื่อนคุยกระหนุงกระหนิงกับเจ้าเด็กๆ ที่ผมพามา
มีเพียงผมที่นั่งอยู่คนเดียวบนเก้าอี้ กับนางที่นั่งอยู่บนโซฟายาวตัวนั้น
เท่าที่ผมแอบสังเกตนะ...
นางจะหันไปยิ้มเศร้าๆ กับบนโซฟายาวที่เหลืออยู่...เป็นระยะ ๆ
ผมไม่ได้ย้ายตัวเองลงไปนั่งเคียงกับนางบนพื้นที่โซฟาที่ว่างตรงนั้น
ด้วยเกรงว่าอาจจะไปนั่งทับลงบนตักคุณพี่ที่ติดรถมาด้วยเข้าให้
แต่ก็แอบชนแก้วกับนางอยู่เนืองๆ
นางเองก็ช่างเก่งเสียเหลือเกิน ดื่มเบียร์อย่างกับเทน้ำทิ้ง
แก้วที่ว่าเปล่าๆ ในตอนแรกที่เด็กเสิร์ฟกลัวกันนั้น
บัดนี้ ได้ถูกนางยึดครองไปเสียแล้ว
ยกขึ้นดื่ม...หมด เทเบียร์ลงไปใหม่
นางดื่มเบียร์อย่างกับดื่มน้ำเปล่า
คงเริ่มจะเมาแล้วมั้ง...
นอกจากรอยยิ้มเศร้าๆ ที่ผมแอบเห็นจนซะจะชินแล้ว
แววตาเศร้าๆ เริ่มปรากฏอย่างไม่ตั้งใจตามเข้ามาให้อีกด้วย
นางคงจับสังเกตผมได้ หันหน้าไปทางข้างตัว
คราวนี้ยิ้มอย่างเปิดเผยอยู่นานเลยเชียว
รอยยิ้มเศร้าๆ ก่อนหน้านี้ที่ต้องแอบๆ
ไม่รู้...หายไปไหน
หันหน้ามายิ้มให้ผมต่ออีก จ้องตาผมจนซะเขม็งเชียว
แต่ในแววตาคู่นั้นกลับมีประกายแห่งความยินดี
"
พบพี่หนู...ที่ไหน ? "
ผมว่า หูผมฟังไม่ผิดนะ...
แต่ก็ไม่ค่อยเข้าใจในตัวคำถามซักเท่าไหร่นัก
จะว่าไม่แน่ใจด้วย ก็ไม่เชิง...
หัวคิ้วผมคงเริ่มขมวดเข้าหากันด้วยแล้วล่ะ
เมื่อไม่เห็นว่าจะได้คำตอบจากปากผม
หล่อนก็หันหน้าไปทางขวาของพื้นที่โซฟาที่ว่างๆ นั้นอีก
...แล้วก็หันมาพูดกับผมต่อ
"
พี่เขาขอบคุณนะ ที่พามาจนพบกับน้องสาวเค้าที่ร้านนี้เข้าจนได้...หมดห่วงกันซักที "
หล่อนยกมือขึ้นมาไหว้อย่างพินอบพิเทา ผมรับไหว้อย่างงง ๆ
เสียงดนตรีเริ่มบรรเลงเพลง "คำวอนก่อนลา"
เพลงสุดท้ายประจำร้านอาหารและคาเฟ่ทั่วไป
หล่อนขอตัวขึ้นไปร้องเพลงรวมกับเพื่อนๆ
พอสิ้นเสียงเพลงลง ไฟในร้านก็สว่างพรึ่บ...เช็คบิลไปร่วมหมื่น
ค่าพวงมาลัย ค่าชั่วโมงที่นักร้องมานั่ง ก็กดเข้าไปร่วม 7 พันแล้ว
ก่อนออกจากร้าน นางผ่านเข้ามาเฉียดใกล้ๆ กระซิบใส่หูผมอีก
"
ไม่ต้องไปส่งพี่เขาหรอก เค้าไปดีแล้ว...อย่าลืมซื้อล็อตเตอรี่ด้วยล่ะ "
เชื่อกันไหมครับ คุณผู้อ่าน...
ผลการตรวจสลากกินแบ่งรัฐบาลที่ผมซื้อไว้ในงวดนั้น
ไม่ได้ฉิวเฉียดรางวัลใดๆ กับเขาเล้ย...แม้แต่เลขท้าย 2 ตัว
หมดไปอีกตั้งหลายพัน...
หวนไปที่คาเฟ่นั้นอีก...
หวังที่จะถามไถ่กับนักร้องคนนั้นให้สิ้นกระบวนความสงสัย
แต่คนในร้านกลับบอกมาว่า...โดนไล่ออกไปแล้ว
"
นิสัยไม่ดี ชอบหลอกให้แขกเขากลัว ว่าตัวเองมองเห็น...ผี "
แล้วคุณล่ะ...คิดว่า ใครหลอกผม ?
ค น . . . . . ห รื อ ว่ า . . . . . ผี
ใคร...หลอก ?
ผมคนหนึ่งล่ะ ที่ไม่เชื่อ...จนกระทั่ง
ปลายปี พ.ศ. 2544
ผมขับมอเตอร์ไซด์เพียงแค่ 3 สูบ หาร้านซ่อมบิ๊กไบค์ไปเรื่อย
ก้านวาล์วสูบที่ 1 ทะลุ จนโผล่ออกมายิ้มเผล่ในช่องทางไอดี
ช่างที่บ้านโป่งชี้ให้ผมดู หลังจากเปิดฝาสูบออกมาเช็ค
ก็ขี่ลากมาอย่างนั้นแหละ กระทั่งถึงกรุงเทพจนได้
เปลี่ยนเครื่องยนต์ใหม่สิครับ...เสียตังค์อีกแล้ว
2 อาทิตย์ถัดมา ผมก็ได้เครื่องยนต์มือสองมาจากเซียงกง
เปลี่ยนเองสิครับ ใต้ถุนแฟลตที่ตลาดสะพานใหม่นี่แหละ
อยู่กับแม่เนี่ย ก็ดีไปอย่างนะ...
นอกจากจะอุ้มท้องจนคลอดผมออกมาแล้ว
ยังต้องมาคอยเป็นลูกมือช่วยเปลี่ยนเครื่องยนต์ให้อีกด้วย
เปลี่ยนเครื่องยนต์เสร็จ ก็ต้องออกไปลองซะหน่อย
ชวนสมาชิกในก๊วนให้ไปเจอกันที่อาบอบนวด ตรงข้ามราบ 11
ลองเครื่องยนต์จนหมดเบียร์เป็นลัง ตัวเบากันถ้วนหน้าแล้ว
ผมก็ขับนำ พาเข้าวัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน
หมาวัดทั้งหอน ทั้งเห่าให้เสียงขรม ก็เที่ยงคืนกว่าแล้วนิ
ตัดกับเสียงรถมอเตอร์ไซด์ของพวกกระผมทั้ง 4 พระหน่อ
พอเลยศาลาสวดศพที่ 10 มาซักหน่อย
ก็จะเป็นบริเวณสุสานของวัด...จอดรถ
จุดประสงค์ในการมาที่นี่ ก็เพื่อจะเช็คความเข้มแข็งของจิตใจ
บรรยากาศโดยรวมก็ช่างเป็นใจในการตรวจเช็คเสียเหลือเกิน
เด็กๆ ที่ตามมานี้ แน่นอน ทุกคนมีความกลัวผีฝังใจกันมาแต่เล็ก
การเล่าเรื่องผีจากปากผู้ใหญ่ เชื่อขนมยายกินได้เลยว่า
เด็กไทยทุกคนย่อมเคยผ่านการฟังตรงนั้นกันมา
ฟังแล้วไงต่อ ก็จินตนาการกันไป...
ความกลัวผีในจิตใจก็ค่อยๆ ก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างขึ้น
ผมถามพวกเค้ากลางวงเหล้าก่อนหน้านี้ว่า
กลัวผี หรือ กลัวความมืดกันแน่ ?
ไม่มีใครกล้าฟันธงเลยซักคน ว่ากลัวอะไรกัน
จึงต้องลงเอยด้วยการนำมา ซ.ต.พ. (ซึ่งต้องพิสูจน์)
ที่สุสานของวัดในยามดึกๆ เช่นนี้แหละ...
หากบังเอิญโชคดี ก็อาจจะได้คำตอบว่ากลัวอะไร
ผี หรือ ความมืด...หรือทั้งสองอย่าง !!
แต่การที่จะไปถึงบทสรุปเช่นว่านั้นได้
ความเข้มแข็งของสภาพจิตใจต้องมาก่อน
การตรวจสอบจึงได้เริ่มต้นขึ้น...
ผมนำร่องไปก่อน ส่องไฟฉายดุ่มๆ เดินเลี้ยว ลัดเลาะไปอย่างเหงาๆ
ช่องเก็บศพสร้างด้วยปูนซีเมนต์รูปสี่เหลี่ยมสีขาวตั้งอยู่เรียงราย
หมายกำหนดการที่ได้ตกลงกันไว้อย่างคร่าวๆ ความว่า...
ทุกคนต้องจับเวลา นาฬิกาข้อมือของแต่ละคนเป็นสิ่งจำเป็น
จากก้าวแรกที่ผมออกเดินจากกลุ่ม เมื่อเวลาผ่านไป 5 นาทีแล้ว
คนที่สอง เจ้าอี๊ดที่ขี่ Honda VFR 400 cc มา ก็ต้องออกเดินหาผม
ทันทีที่คนนี้ออกเดิน เจ้าคนที่สามที่ขี่ Suzuki GSX 250 cc มาร่วมด้วย
ก็ต้องจับเวลาต่ออีก 5 นาที ครบแล้วจึงค่อยออกเดินตาม
ทิ้งให้ 5 นาทีสุดท้ายตกเป็นของเจ้าของรถ Honda Nova S 105 cc
ผมนั่งรอพรรคพวกอยู่ที่ศาลาริมน้ำ ในสุสานนั่นแหละ
เสียงหมายังคงเห่าหอนกันไม่หยุด
ขณะที่พวกเด็กๆ คงกำลังจับเวลารอทะยอยปล่อยตัวเอง
น่าที่จะเป็นช่วงเวลาแห่งการรอคอยที่แสนจะยาวนานสินะ
เห็นแต่แสงไฟวับๆ แวมๆ จากไฟฉายที่ค่อยๆ จางออกไป
แล้วก็จมหายไปกับความมืดในยามรัตติกาล
ผมนั่งคุยกันเบาๆ ในขณะที่รอเจ้าคนท้ายสุด
ได้ยินเสียงหมาเห่าไปทางวิทยาลัยครูพระนคร
ออกไปดูมันซักหน่อยจะดีกว่ามั้ย ?
ทำไมผิดเวลาจนน่าสังเกตจัง...
พากันเดินย้อนออกมา
อ้าว เฮ้ย...ดันไม่เจอมัน
เห็นแสงไฟส่องแว้บๆ อยู่แถวต้นไทรริมน้ำทางโน้นโน่น
พากันเดินตามไปดู...
" มาทำอะไรอยู่ตรงนี้ เค้ารอกันอยู่ตรงนู้น ปัดโธ่... " ผมแว้ดเข้าใส่
" ผมก็ว่า จะเดินไปตามทางพวกพี่ๆ อยู่หรอก แต่..." มันหยุดถอนหายใจ
" เจอผี...หรอ ? " อี๊ด 400 ซีซี ทะลุขึ้นมากลางปล้อง
" ยิ่งกว่าผีเสียอีก...น่ะสิ " ชัดแล้ว ไม่ใช่ผีแน่ๆ ถ้ามามุขนี้
" ถ้างั้น ก็...งู ชัวร์ " ซูซูกิ GSX ใส่ตัวเลือกเข้าไป
" คางคกน่ะ...กลัว " ดูมัน !!
ออกจากวัดพระศรีฯ ก็ว่าจะพาไปฉลองความสำเร็จกันต่ออีก
ในสายตาผมแล้ว เด็กๆ เหล่านี้สอบผ่านหมด ใจ...ใช้ได้เลยเชียว
ส่วนข้อสรุปที่ว่า กลัวผี หรือความมืดกันแน่นั้น...คงยังไม่มี
เวลาเพียงแค่ 1 ชั่วโมงที่อยู่กันในสุสานของวัด ยังน้อยเกินไป
ต้องปล่อยเดี่ยว ทิ้งไว้ยันรุ่ง...น่าที่จะเหมาะกว่า
เข้าซอย 39 กะว่าจะวิ่งทางลัดออกมายังถนนเส้นลำลูกกา
พอลงสะพานข้ามคลองกำลังจะผ่านประตูหน้าวัดโพสพผลเจริญ
เจ้า 4 สูบผม เครื่องดันดับกระทันหันเอาซะดื้อ ๆ
ล้อหลังตายลากจนเป็นทาง เท้าถึงกับต้องประคองยันพื้น แต่ไม่ถึงกับล้ม
ยังดีนะ พวกเด็กๆ ที่ตามตูดมา ไม่เสยท้ายเข้าให้
งานคงเข้าแล้วสิ เครื่องยนต์ตัวใหม่นี้น่าที่จะต้องมีปัญหาแน่ ๆ
ประตูทางเข้าวัดนี้ เวลามองผ่านเข้าไป มืดดีจัง
ลองสตาร์ทดูทีซิ เสียงเครื่องยนต์คำรามออกดัง บึ้ม ๆ.....
เอ...เครื่องยนต์ก็ติดดีนี่หว่า หรือมีอะไรไปพันโซ่เข้า
พวกเด็กๆ ช่วยกันเอาไฟฉายมารุมส่องดู ก็ไม่เห็นมีอะไร
ไปกันต่อเหอะ หน้าวัดซะด้วย เสียว...อ่า
รถออกตัวแบบอืดๆ จนต้องเปิดคันเร่งเพิ่มมากกว่าปรกติ
เลี้ยวซ้ายมาหน่อยตามถนนลำลูกกา กลิ่นเหล้าขาวฉุนกึ้กเตะจมูก
เปิดกระบังลมหมวกกันน็อคขึ้น หวังจะให้กลิ่นนั้นหาย
แต่กลับหนักกว่าเก่า...
เหมือนใครทำเหล้าขาวหก หรือไม่ก็เทรดใส่ตัว
ค่อยๆ ชะลอรถ เปิดไฟเลี้ยวซ้ายกระพริบให้สัญญาณ
จอดเข้าข้างทางเพื่อจะหาที่มาของกลิ่น
ให้ฉงนอยู่หน่อยก็ตรงที่...ตัวเราดื่มเบียร์มานี่หว่า
ถอดหมวกกันน็อคได้ ก็ใช้จมูกดมหาที่มาของกลิ่น ฟุดๆ ฟิดๆ
โอ้โฮ...กลิ่นงี้ ให้ฮึ่มเลยบริเวณเบาะที่นั่งคนซ้อนท้าย
ลองเดินออกห่างจากท้ายรถดูซิ...
ค่อยๆ ถอยห่างจากรถออกไป 10 ก้าว
กลิ่นเหล้าขาวก็ค่อยๆ จางลงไปตามลำดับ
แล้วถ้าเดินเข้าไปยังที่ท้ายรถอีก...ล่ะ
มาแล้ว...กลิ่น ค่อยๆ แรงขึ้นทีละนิด ๆ
จนกลิ่นฉุนสุด อย่างกับมีคนเมาเหล้าขาว
แล้วมาพ่นลมปากใส่หน้าเราเอาที่ตรงเบาะท้าย
ชัด...เสียยิ่งกว่าชัด
มีใครนั่งซ้อนท้ายรถผมอยู่เป็นแน่ !!
" หาอะไรอยู่ครับพี่ เห็นดม ๆ ? " เสียงเด็กคนหนึ่งตะโกนถาม
ผมเดินไปหาแถวเด็กๆ ที่จอดรถรอกันอยู่
ประมวลเหตุการณ์ย้อนหลังให้พวกเขาฟังว่า
" การที่จู่ๆ รถพี่เครื่องดับ ล้อตาย จอดลงเอาที่ตรงประตูทางเข้าหน้าวัดนั้น
น่าที่จะได้คำตอบแล้วล่ะ..."
พวกนั้นตั้งใจฟังกันใหญ่ ยื่นหน้าล้อมวงกันเข้ามาจนใกล้
ผมลำดับเหตุการณ์ต่อ
" รถก็ไม่เสีย สตาร์ทชึ่งเดียวติด โซ่ก็ไม่ได้หลุด แต่ออกตัวอืดๆ เหมือนมีคนซ้อนว่ะ
กลิ่นเหล้าขาวให้คลุ้งเชียวตอนขับมา ตอนนี้ก็ยังมีกลิ่นอยู่...แรงด้วย ตรงเบาะหลัง
ไปดูกันซิ...อย่างเงียบๆ นะ "
มีเจ้าอี๊ดเพียงคนเดียวที่เหมือนเป็นตัวแทนกลุ่ม
จากการโหวตกันด้วยสายตาเพื่อให้ไปเป็นคนดู
จำใจเดินไปดูๆ ดมๆ ใกล้ๆ เสร็จแล้ว...
มันก็เดินกลับมา พยักหน้าหงึก ๆ ใส่
ที่คาเฟ่แห่งหนึ่ง ย่านคลองสอง ลำลูกกา
เด็กเสิร์ฟถาม " กี่ที่...คะ ? "
ผมตอบไปอย่างไม่ลังเล..." 5 ที่จ้ะ คนสวย... "
แก้วเบียร์ถูกรินวางตรงหน้าพวกเราเป็นจำนวน 4 ที่
เหลืออีกที่หนึ่งคือ...แก้วเปล่า หน้าโซฟายาว
ผมบอกให้น้องเค้าเทเบียร์เสิร์ฟลงไปที่แก้วเปล่าใบนั้นได้เลย
ขอจานเปล่ากับช้อนส้อมเพิ่มอีกที่ด้วยล่ะ
เด็กเสิร์ฟนำของมาให้เสร็จ
ก็แอบไปยืนกระซิบกระซาบกันที่หลังเสา
ไม่มาคอยยืนเสิร์ฟบริการใดๆ ใกล้ๆ โต๊ะพวกเรา...คงกลัว
จะคอยโฉบมาทีก็ตอนที่ผมเรียกสั่งอาหารเพิ่ม
หรือไม่ก็ตอนที่เบียร์ในแก้วของพวกเราพร่องจนเกือบจะหมด
นอกนั้นแล้ว ก็จะไปคอยแกร่วอยู่ที่โต๊ะแขกคนอื่นเสียมากกว่า
ร้านนี้เค้า...อาหารดี ดนตรีก็ไพเราะ นักร้องก็สวย เซ็กซี่
แอร์เย็นฉ่ำ เบียร์เป็นวุ้นด้วย แขกก็ไม่ค่อยเยอะสักเท่าไหร่
พวกผมก็เลยนั่งดื่มกินกันอย่างสบายอารมณ์ คุยกันฮาเฮ เสียงดัง
แทบจะลืมไปเลยว่า...มีผู้ที่ซ้อนท้ายมาด้วยที่น่าจะนั่งอยู่บนโซฟายาวตัวนั้น
จนกระทั่ง...
" ขอนั่งด้วยคน...นะคะ "
ผมยังไม่ทันเอ่ยปากอนุญาตแต่อย่างใดเลย
นักร้องนางนี้ก็นั่งลงแหมะที่ตรงโซฟาตัวที่ว่างเปล่า
ด้วยหุ่นที่อวบอัด ผิวขาว หน้าคมกริบ รวมเข้ากับชุดกี่เพ้าสีแดง
หล่อนทักพวกเราทุกคนอย่างกับเคยเป็นญาติกันมาก่อน
" ขอดื่มด้วยคน...นะคะ "
ไม่ทันได้อนุญาตอีก หล่อนก็คว้าแก้วเบียร์ที่รินไว้จนจืดชืดใบนั้นขึ้นมาดื่ม
พวกเราต่างหันมามองตากันจนแทบจะถลนออกนอกเบ้า
จะเอ่ยปากทักซักคน ก็ดันไม่มี ได้แต่พากันตกตะลึง
หล่อนดื่มรวดเดียวหมด เรอออกมาเบาๆ แล้วค่อยวางแก้วลง
ผมขยิบตาให้พวกเด็กๆ รู้กันเป็นนัยๆ ว่า " อย่าไปบอก ๆ ... "
หล่อนขอตัวขึ้นไปร้องเพลง ผมทิปพวงมาลัยไปให้ตามมารยาท
โซฟาตัวนั้นว่างเปล่าอีก ผมรินเบียร์ใส่แก้วนั้นจนเต็ม
บอกกับทุกคนว่า " ชนแก้วกันหน่อย พวกเรา... "
แล้วผมก็ยื่นมือถือแก้วเบียร์ของผม ชนไปที่แก้วเบียร์ที่เพิ่งรินนั้น
พวกเด็กๆ เห็นแล้ว ก็คงเห็นด้วยกับพฤติกรรมที่ผมทำ
พร้อมใจกันยื่นแก้วมาชนรวมกันจนเป็นหนึ่งที่แก้วเบียร์หน้าโซฟาตัวนั้น
ตะโกนจนแทบเป็นเสียงเดียวกันว่า..." เชียร์... "
จากนั้นก็พากันยกแก้วของใครของมันเทดื่มเข้าปาก
คงกลัวจะไม่ทันใครๆ เขามั้ง นักร้องคนนั้นมาจากไหนไม่รู้
ยื่นแขนเรียวๆ ของนางข้ามโซฟามาคว้าหมับเข้าที่แก้วเบียร์ใบนั้นอีก
ยกขึ้นยืนดื่มอักๆ จนพวกเราตาเหลือก พากันถือแก้วค้างคากันอยู่ที่ปาก
นับจากนั้นแล้ว โต๊ะผมก็ไม่จำเป็นต้องมีเด็กมาคอยเสิร์ฟอีกต่อไป
หล่อนทำหน้าที่ทุกอย่างแทนเด็กเสิร์ฟหมด
ทั้งรินเบียร์ให้ ชวนพวกเราคุย แนะนำน้องๆ นักร้องคนนั้นคนนี้ให้
โต๊ะผมชักจะเริ่มคับแคบลงเข้าให้แล้วสิ มีนักร้องตามเข้ามาสบทบอีก 3 คน
นางเรียกให้มานั่งข้างๆ เป็นเพื่อนคุยกระหนุงกระหนิงกับเจ้าเด็กๆ ที่ผมพามา
มีเพียงผมที่นั่งอยู่คนเดียวบนเก้าอี้ กับนางที่นั่งอยู่บนโซฟายาวตัวนั้น
เท่าที่ผมแอบสังเกตนะ...
นางจะหันไปยิ้มเศร้าๆ กับบนโซฟายาวที่เหลืออยู่...เป็นระยะ ๆ
ผมไม่ได้ย้ายตัวเองลงไปนั่งเคียงกับนางบนพื้นที่โซฟาที่ว่างตรงนั้น
ด้วยเกรงว่าอาจจะไปนั่งทับลงบนตักคุณพี่ที่ติดรถมาด้วยเข้าให้
แต่ก็แอบชนแก้วกับนางอยู่เนืองๆ
นางเองก็ช่างเก่งเสียเหลือเกิน ดื่มเบียร์อย่างกับเทน้ำทิ้ง
แก้วที่ว่าเปล่าๆ ในตอนแรกที่เด็กเสิร์ฟกลัวกันนั้น
บัดนี้ ได้ถูกนางยึดครองไปเสียแล้ว
ยกขึ้นดื่ม...หมด เทเบียร์ลงไปใหม่
นางดื่มเบียร์อย่างกับดื่มน้ำเปล่า
คงเริ่มจะเมาแล้วมั้ง...
นอกจากรอยยิ้มเศร้าๆ ที่ผมแอบเห็นจนซะจะชินแล้ว
แววตาเศร้าๆ เริ่มปรากฏอย่างไม่ตั้งใจตามเข้ามาให้อีกด้วย
นางคงจับสังเกตผมได้ หันหน้าไปทางข้างตัว
คราวนี้ยิ้มอย่างเปิดเผยอยู่นานเลยเชียว
รอยยิ้มเศร้าๆ ก่อนหน้านี้ที่ต้องแอบๆ
ไม่รู้...หายไปไหน
หันหน้ามายิ้มให้ผมต่ออีก จ้องตาผมจนซะเขม็งเชียว
แต่ในแววตาคู่นั้นกลับมีประกายแห่งความยินดี
" พบพี่หนู...ที่ไหน ? "
ผมว่า หูผมฟังไม่ผิดนะ...
แต่ก็ไม่ค่อยเข้าใจในตัวคำถามซักเท่าไหร่นัก
จะว่าไม่แน่ใจด้วย ก็ไม่เชิง...
หัวคิ้วผมคงเริ่มขมวดเข้าหากันด้วยแล้วล่ะ
เมื่อไม่เห็นว่าจะได้คำตอบจากปากผม
หล่อนก็หันหน้าไปทางขวาของพื้นที่โซฟาที่ว่างๆ นั้นอีก
...แล้วก็หันมาพูดกับผมต่อ
" พี่เขาขอบคุณนะ ที่พามาจนพบกับน้องสาวเค้าที่ร้านนี้เข้าจนได้...หมดห่วงกันซักที "
หล่อนยกมือขึ้นมาไหว้อย่างพินอบพิเทา ผมรับไหว้อย่างงง ๆ
เสียงดนตรีเริ่มบรรเลงเพลง "คำวอนก่อนลา"
เพลงสุดท้ายประจำร้านอาหารและคาเฟ่ทั่วไป
หล่อนขอตัวขึ้นไปร้องเพลงรวมกับเพื่อนๆ
พอสิ้นเสียงเพลงลง ไฟในร้านก็สว่างพรึ่บ...เช็คบิลไปร่วมหมื่น
ค่าพวงมาลัย ค่าชั่วโมงที่นักร้องมานั่ง ก็กดเข้าไปร่วม 7 พันแล้ว
ก่อนออกจากร้าน นางผ่านเข้ามาเฉียดใกล้ๆ กระซิบใส่หูผมอีก
" ไม่ต้องไปส่งพี่เขาหรอก เค้าไปดีแล้ว...อย่าลืมซื้อล็อตเตอรี่ด้วยล่ะ "
เชื่อกันไหมครับ คุณผู้อ่าน...
ผลการตรวจสลากกินแบ่งรัฐบาลที่ผมซื้อไว้ในงวดนั้น
ไม่ได้ฉิวเฉียดรางวัลใดๆ กับเขาเล้ย...แม้แต่เลขท้าย 2 ตัว
หมดไปอีกตั้งหลายพัน...
หวนไปที่คาเฟ่นั้นอีก...
หวังที่จะถามไถ่กับนักร้องคนนั้นให้สิ้นกระบวนความสงสัย
แต่คนในร้านกลับบอกมาว่า...โดนไล่ออกไปแล้ว
" นิสัยไม่ดี ชอบหลอกให้แขกเขากลัว ว่าตัวเองมองเห็น...ผี "
แล้วคุณล่ะ...คิดว่า ใครหลอกผม ?
ค น . . . . . ห รื อ ว่ า . . . . . ผี