สวัสดีครับ ผมเป็นเด็กผู้ชายอายุ 18 ปี ขอเข้าเรื่องเลยนะครับ คือผมมีอาการปวดขากรรไกรแล้วได้ไปหาหมอฟัน จากนั้นหมอก็บอกว่าปกติทุกอย่าง(แต่ผมก็ยังปวดอยู่) หมอจึงส่งตัวผมไปแผนกจิตเวช ในส่วนนี้ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าหมอฟันจะส่งผมไปทำไม...
ถึงแผนกจิตเวช ผมก็เล่าให้หมอฟันว่าผมปวดขากรรไกร อย่างนี้ ๆ จนฟังจบหมอก็ซักถามเหตุการณ์ในชีวิตประจำวันเหมือนกับผู้ป่วยทางจิตทั่ว ๆ ไป หลังจากพูดคุยกันเสร็จหมอก็ได้ให้ยาจิตเวช เป็นยาคลายกังวลมาให้ผมทาน 3 ตัว ได้แก่
Sertraline 1 เม็ดเช้า (เพิ่มเป็นสองเม็ดหลังจากผ่านไป 1 เดือน)
Clorazepate 1 เม็ดก่อนนอน
haloperidol 1 เม็ดก่อนนอน
หลังจากรับประทานยาไป ผมก็รู้สึกว่าผมมีอาการปวดขากรรไกรน้อยลง ไม่ค่อยกังวลเกี่ยวกับขากรรไกร และกล้าแสดงออกมากขึ้น
ตอนนั้นอารมณ์ผมเปลี่ยนไปมากหลังจากรับประทานยา แต่ผลข้างเคียงก็เกิดขึ้นคือผมง่วงนอนทั้งวัน หาวทุก ๆ 5 วิ น่าจะเป็นผลข้างเคียงของยา ตื่นเช้าไปโรงเรียนไม่ได้ และใกล้จะสอบ Gat Pat แล้ว ผมจึงทำการหยุดยาแบบหักดิบ (Cold turkey) ...และจุดหักเหของชีวิตก็อยู่ตรงนี้
23 มกราคม 2564 ชีวิตผมได้เปลี่ยนไปตลอดกาล หลังจากหยุดยาไปแล้ว อาการมาเลย
เป็นอาการที่ทำให้ผมจะเป็นบ้าจนถึงทุกวันนี้คือ อาการมึนหัว กลับจากโรงเรียนมึนหัวหนักมาก ต้องนอนพัก ตื่นมาก็ไม่ดีขึ้น อาการเป็นแบบนี้อยู่เรื่อย ๆ ไม่ดีขึ้นเลย
"ขอเล่าอาการอย่างละเอียดนะครับ
- มีอาการมึนศีรษะ เป็นอาการที่หนักที่สุด มึน ๆ เมา ๆ แต่บ้านไม่หมุนนะครับ มันมึนเหมือนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จะมึนมากตอนออกกำลังกาย (อาการนี้หนักสุดแล้ว เป็นอาการที่ทำให้ผมคิดจะฆ่าตัวตาย)
- นอนแล้วหลังกระตุก นอนหงายแล้วหลังผมกระตุกขึ้น กระตุกลง แต่นอนคว่ำ นอนตะแคงไม่กระตุก
- ฝันทั้งคืน ฝันทุกครั้งที่หลับ ฝันทุกวัน ตลอดทั้งคืน และพ่อผมก็บอกผมว่าได้ยินเสียงผมละเมอทุกวัน"
ผมทนอยู่อย่างนี้ 5 เดือน และมันก็ไม่หาย จึงกลับไปหาหมอจิตเวชคนเดิมอีกครั้ง เล่าทุกเหตุการณ์ให้เขาฟัง หมอได้ให้ยาผมกลับมากินเหมือนเดิม และเพิ่มยาแก้มึนเม็ดสีเหลืองมาให้ หลังจากทานแล้วอาการก็เหมือนจะดีขึ้นแต่ดีขึ้นแค่นิดเดียว อาการมึนหัว อื่น ๆ
ยังมีอยู่ และยังคงมึนทุกวัน จนผมรู้สึกไม่ไหวแล้ว ก่อนอื่นหลายคนอยากรู้ผมทนได้อย่างไร ก็เป็นเพราะสถานการณ์โควิด-19 ที่ทำให้ต้องเรียนออนไลน์ตลอด 1 เทอมจึงเป็นเรื่องที่โชคดีอยู่บ้างที่ผมสามารถจัดการกับตัวเองก่อนได้ ไม่งั้นผมคงได้หยุดเรียนแน่ ๆ ผมจึงหาทุกวิธีเพื่อให้หายเร็วที่สุดเพื่อไปมหาลัยได้ในเทอม 2 ผมรับประทานยาหอมทิพย์วารี ไม่ดีขึ้น ไปหาหมอโรงพยาบาลประจำจังหวัด หมอให้ยามาก็กินไม่ดีขึ้น
"ออกกำลังกายตลอด 4 เดือน เตะฟุตบอล วิ่งทุกวันวันละ 30 นาที ก็ไม่ดีขึ้นเลย"
จนถึงวันที่ 26 เดือนพฤศจิกายน 2564 หมอให้ผมลดยาและหยุดยาในที่สุด แต่อาการผมกลับมึนมากกว่าเดิม มันเป็นอาการมึนแบบใหม่ที่มึนกว่าเดิม... จนถึงตอนนี้ผมหาทางออกไม่เจอแล้ว ผมวางแผนฆ่าตัวตายเอาไว้ ใครก็ได้ช่วยผมหน่อยครับ ชีวิตเหมือนตายทั้งเป็นมากตอนนี้ มหาลัยก็จะเปิด 29 เดือนนี้ด้วยครับ 😭😥 (ด่ามาได้เลยครับ แต่ให้คำแนะนำมาด้วย ผมรู้ผมผิดเองที่เลือกจะหยุดยาแต่ก็สายไปแล้ว)
หยุดยาคลายกังวลแล้วเกือบฆ่าตัวตาย เพราะถอนยา
ถึงแผนกจิตเวช ผมก็เล่าให้หมอฟันว่าผมปวดขากรรไกร อย่างนี้ ๆ จนฟังจบหมอก็ซักถามเหตุการณ์ในชีวิตประจำวันเหมือนกับผู้ป่วยทางจิตทั่ว ๆ ไป หลังจากพูดคุยกันเสร็จหมอก็ได้ให้ยาจิตเวช เป็นยาคลายกังวลมาให้ผมทาน 3 ตัว ได้แก่
Sertraline 1 เม็ดเช้า (เพิ่มเป็นสองเม็ดหลังจากผ่านไป 1 เดือน)
Clorazepate 1 เม็ดก่อนนอน
haloperidol 1 เม็ดก่อนนอน
หลังจากรับประทานยาไป ผมก็รู้สึกว่าผมมีอาการปวดขากรรไกรน้อยลง ไม่ค่อยกังวลเกี่ยวกับขากรรไกร และกล้าแสดงออกมากขึ้น
ตอนนั้นอารมณ์ผมเปลี่ยนไปมากหลังจากรับประทานยา แต่ผลข้างเคียงก็เกิดขึ้นคือผมง่วงนอนทั้งวัน หาวทุก ๆ 5 วิ น่าจะเป็นผลข้างเคียงของยา ตื่นเช้าไปโรงเรียนไม่ได้ และใกล้จะสอบ Gat Pat แล้ว ผมจึงทำการหยุดยาแบบหักดิบ (Cold turkey) ...และจุดหักเหของชีวิตก็อยู่ตรงนี้
23 มกราคม 2564 ชีวิตผมได้เปลี่ยนไปตลอดกาล หลังจากหยุดยาไปแล้ว อาการมาเลย
เป็นอาการที่ทำให้ผมจะเป็นบ้าจนถึงทุกวันนี้คือ อาการมึนหัว กลับจากโรงเรียนมึนหัวหนักมาก ต้องนอนพัก ตื่นมาก็ไม่ดีขึ้น อาการเป็นแบบนี้อยู่เรื่อย ๆ ไม่ดีขึ้นเลย
"ขอเล่าอาการอย่างละเอียดนะครับ
- มีอาการมึนศีรษะ เป็นอาการที่หนักที่สุด มึน ๆ เมา ๆ แต่บ้านไม่หมุนนะครับ มันมึนเหมือนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จะมึนมากตอนออกกำลังกาย (อาการนี้หนักสุดแล้ว เป็นอาการที่ทำให้ผมคิดจะฆ่าตัวตาย)
- นอนแล้วหลังกระตุก นอนหงายแล้วหลังผมกระตุกขึ้น กระตุกลง แต่นอนคว่ำ นอนตะแคงไม่กระตุก
- ฝันทั้งคืน ฝันทุกครั้งที่หลับ ฝันทุกวัน ตลอดทั้งคืน และพ่อผมก็บอกผมว่าได้ยินเสียงผมละเมอทุกวัน"
ผมทนอยู่อย่างนี้ 5 เดือน และมันก็ไม่หาย จึงกลับไปหาหมอจิตเวชคนเดิมอีกครั้ง เล่าทุกเหตุการณ์ให้เขาฟัง หมอได้ให้ยาผมกลับมากินเหมือนเดิม และเพิ่มยาแก้มึนเม็ดสีเหลืองมาให้ หลังจากทานแล้วอาการก็เหมือนจะดีขึ้นแต่ดีขึ้นแค่นิดเดียว อาการมึนหัว อื่น ๆ
ยังมีอยู่ และยังคงมึนทุกวัน จนผมรู้สึกไม่ไหวแล้ว ก่อนอื่นหลายคนอยากรู้ผมทนได้อย่างไร ก็เป็นเพราะสถานการณ์โควิด-19 ที่ทำให้ต้องเรียนออนไลน์ตลอด 1 เทอมจึงเป็นเรื่องที่โชคดีอยู่บ้างที่ผมสามารถจัดการกับตัวเองก่อนได้ ไม่งั้นผมคงได้หยุดเรียนแน่ ๆ ผมจึงหาทุกวิธีเพื่อให้หายเร็วที่สุดเพื่อไปมหาลัยได้ในเทอม 2 ผมรับประทานยาหอมทิพย์วารี ไม่ดีขึ้น ไปหาหมอโรงพยาบาลประจำจังหวัด หมอให้ยามาก็กินไม่ดีขึ้น
"ออกกำลังกายตลอด 4 เดือน เตะฟุตบอล วิ่งทุกวันวันละ 30 นาที ก็ไม่ดีขึ้นเลย"
จนถึงวันที่ 26 เดือนพฤศจิกายน 2564 หมอให้ผมลดยาและหยุดยาในที่สุด แต่อาการผมกลับมึนมากกว่าเดิม มันเป็นอาการมึนแบบใหม่ที่มึนกว่าเดิม... จนถึงตอนนี้ผมหาทางออกไม่เจอแล้ว ผมวางแผนฆ่าตัวตายเอาไว้ ใครก็ได้ช่วยผมหน่อยครับ ชีวิตเหมือนตายทั้งเป็นมากตอนนี้ มหาลัยก็จะเปิด 29 เดือนนี้ด้วยครับ 😭😥 (ด่ามาได้เลยครับ แต่ให้คำแนะนำมาด้วย ผมรู้ผมผิดเองที่เลือกจะหยุดยาแต่ก็สายไปแล้ว)