อยากได้คำเห็นหรือแนวคิดกลุ่มคนที่มีความคิดคล้ายๆกัน หรือไม่ต้องตรงไม่ทั้งหมดก็ได้ครับ แล้วก็คำแนะนำว่า ต้องทำอย่างไรหรือต้องพบจิตแพทย์ไหม ถ้าไปต้องไปแนวทางไหนคิดว่าจะตรงจุด
ลักษณะคือ
1.คิดฟุ้งเฟ้อตลอดเวลลา ไม่ว่าจะฉากหนังสนุกๆที่ชอบจำ ดูหนังในหัวได้ทุกที่ทุกเวลา หรือลองคิดทฤษฎีวิทยาศาสตร์แปลกๆ ตั้งสมมุติฐานหาเหตุผลมาซัพพอร์ทในเรื่องต่างๆ เช่น ทฤษฎีเวลา แสง ความเร็ว พลัง หรือ ถ้าเรามีสิ่งต่างๆเราจะเป็นอย่างไรในมุมมองชีวิตที่แตกต่างจากปัจจุบัน
2.ชอบเพลงตลอดเวลาเพราะมีรู้สึกไม่ชอบใจเสียงภายนอกที่ไม่ได้อยากฟัง
3.ไม่มีความอยากอาหาร คือไม่คิดจะกิน ทุกวันนี้ต้องพยายามกิน
4.ไม่มีความอยากได้อะไร คือไม่มีอะไรที่อยากได้หรืออยากทำจริงๆเลย ไปลองทำก็เหมือนทำให้มันได้ทำแล้วผ่านไป ไม่เอ็นจอยไม่สนุก
5.ไม่ได้คิดฆ่าตัวตายเลย
6.มีความเบื่อ
7.คิดไรไม่ออกจะนอนหรือนอนทับตะวันก็ว่าได้ คือไม่รู้จะทำไรหรืออยากทำไร
8.เมนูอาหารที่ชอบไม่มี
9.ไปเที่ยวยืนชมวิวที่เขาว่ากันสวยรีวิวกันเป็นแสน อากาศสดชื่น แต่ผมกับไม่เข้าใจว่ามันรู้สึกยังไง
10.เริ่มพูดจาไม่เหมือนคนทั่วไป วิธีการพูดมีการเรียบเรียงเป็นระเบียบและเหตุผลเกินเหตุ เช่น ผมว่ามันอาจจะเป็นเพราะ... หรือ มันก็เป็นอะไรที่แปลกหรือแตกต่างดี เป็นคำพูดที่ใช้เหตุผลตอบมากกว่าอารมณ์
11.รู้สึกไม่มีที่ไหนที่เหมาะสม หรือมีเหตุผลที่ให้ไปนอกจากห้องพัก
12.ไม่มีความหวงหรือห่วงสิ่งใดนอกจากอนาคตที่เราคาดไม่ถึง
13.คิดและวางแผนระยะไกล ไกลถึงมากว่าตัวเองในแต่ละช่วงเวลาคิดว่าจะทำไร หรือพยายามทำอะไร
14.ไม่คิดถึงใคร บุคคลใด ไม่เว้นแม้แต่พ่อแม่ตัวเอง สาเหตุเข้าใจว่าโตมาตัวคนเดียวไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ตั้งแต่มัธยมต้นครับ โตมากับการฝากพี่ป้าน้าอาเลี้ยง
15.ไม่นับถือศาสนา เชื่อมั่นแค่ความสามารถหรือสิ่งที่เราจับต้องสามารถทำได้ เช่น ความสามารถการทำงาน เรียนรู้ หรือทักษะพิเศษ
16.กินข้าวเพื่อให้ร่างกายไม่ทรมาณ แต่รับไม่ได้รู้สึกอร่อยหรือเอ็นจอยกับการกิน คือรู้ว่ารสเปี้ยว เค็ม หวาด เผ็ดปกติครับ แต่เรากินบะหมี่เหลืองจืดๆ ไม่ปรุงได้ โดยที่เราไม่ขยะแขยงมัน
17.ไม่เข้าใจความรู้สึกหรือฟิลลิ่งร่วมของสถานที่ และบรรยากาศผู้คน เช่น ถ้าเราอยู่งานศพ เราก็ควรจะรู้สึกเศร้าหรือเสียใจบ้าง แต่เราไม่ เราอยู่ร้านเหล้าปาร์ตี้สนุก เราก็นั่งเหม่อๆแล้วมองผู้คนด้วยความสงใสหรืองงๆไม่เข้าใจ
18.ชอบคิดพิจารณาข้อบกพร่องตัวเองที่ต้องแก้ไข แต่เรื่องนี้น่าจะเป็นเรื่องแก้ยากสุด
19.บ่อยครั้งที่เปิดหนังไปเรื่อยแต่ไม่ได้ตั้งใจดูหรือเพราะอยากดู แต่อยากให้มีเสียง บางทีเป็นหนังเดิมๆที่ซ้ำบ่อย จนฟังเสียงก็นึกภาพออกด้วย
20.รู้สึกเหมือนเป็นอะไรที่แปลก และแตกต่างเกินกว่าจะลองไปเข้าสังคมอื่นๆ
21.เริ่มไม่สนวันเวลาว่ามันจะผ่านไปนานขนาดไหน เว้นแต่ว่าจะมีนัดหรืออะไร
22.สนใจแค่หน้าที่ที่ตัวเองได้รับ เช่นมีงานต้องทำ นอกนั้นผมจะไม่สนใจหรือมีใครนัดอะไรเลย
23.รู้สึกตัวเองมีนิสัยหลายๆแบบ เพราะ เคยปรับตัวเข้าหาคนหลายประเภทเพื่อให้เหมาะต่อการเข้าสังคม
24.เหมือนเราใส่หน้ากากในการใช้ชีวิตทุกแบบ
25.เคยคิดจะหาคนคบหาเพราะอาจจะแตกต่าง แต่พอพิจารณาตัวเองแล้ว คิดว่าผู้หญิงไม่น่าจะชอบคนอะไรประเภทนี้ เพราะอาจจะเข้าใจเรายาก และเขาอาจจะคิดว่าเป็นการไม่สนใจ
26.อะไรที่คิดว่าเคยชอบตอนนี้แทบไม่ทำแล้วครับ
27.คิดว่าตัวเองเหมือนหุ่นยนต์หรือสิ่งมีชีวิตแปลกๆ ที่ดูไม่เหมือนอะไร
28.คิดว่าตัวเองดวงซวย เช่น เราจะไม่ค่อยมีโชคกับเรื่องที่ชาวบ้านเชื่อว่าต้องใช้โชค แต่ผมจะต้องใช้ความพยายามและความสามารถและการวางแผนถึงจะได้มา
29.ไม่ผูกพันเชิงครอบครัวครับ พ่อแม่เหมือนคนๆนึงที่ เป็นคนให้เงินและส่งเสีย แต่เขาไม่ได้ความรู้สึกเป็นห่วงใยในด้านอื่น คือเขาทำงานอยู่ต่างประเทศ ไม่เจอกันแต่เด็กปี 1 แค่ 1-2 ครั้งโทรบ้างปีนึงไม่ถึง 10 ครั้ง มีน้องสาวแต่มองว่ามันไม่ได้ทำตัวน่ารักหรือเป็นน้องสาวที่ดี ก็ไม่คิดว่าควรเป็นพี่ที่ดีอะไรขนาดนั้นเพราะเคยแนะนำเรื่องต่างๆ แต่มันไม่รับฟังก็คือ ตัดมันทิ้งไปเลย
30.รู้สึกเวลาอยู่ต่อหน้าครอบครัวแล้วเราต้องเก็บซ่อนความคิดพวกนี้เอาไว้ เพราะถ้าเล่าไปเขาก็คิดว่าเรา ประสาทหรือบ้า หรือเป็นพวกจิต อะไรทำนองนั้นครับ เขาพยายามแค่ให้เราผูกพัน หรือมีความรู้สึกที่เราไม่เคยมีเพียงเท่านั้น
ดีเทลของชีวิตในปัจจุบัน
1.พ่อแม่ไม่ได้ส่งเสียค่าใช้จ่ายใดๆเพราะเขาไม่ต้องการครับ แล้วก็ไม่ได้รู้สึกว่าต้องรีบตอนแทนหรืออะไร รู้สึกเหมือนเป็นความสัมพันเชิงการเลี้ยงดูและต้องตอบแทนบุญคุณในช่วงเวลาอื่น ในระดับของคนให้ชีวิตอยู่ต่อไปได้ในช่วงแรกที่ยังทำอะไรไม่ได้ไม่มีเงินเดือน ไม่ใช่ในฐานะพ่อแม่ ไม่ต้องถามถึงเรื่องบุญคุณในการให้กำเนิดนะครับ เพราะผมมองว่ามันก็เหมือนผมโสดและผมรับเลี้ยงเด็กคนนึงให้เขาเติบโตแล้วมีชีวิตต่อ
2.มีเงินเก็บ เดือนละหมื่นกว่าๆ ถึง 2 หมื่นถ้าไม่ได้จ่ายประกัน หรือ ส่วนกลาง ผมก็เก็บมันไว้อย่างนั้นเรื่อยๆ
3.มีภาระหนี้แค่ คอนโด และ รถมอไซร์(เหลืออีกปีเดียว)
4.หน้าที่การงานดีเงินเดือนก็ดีแหละครับ อีกปีก็เกินคลึ่งแสนแล้ว ตอนนี้โดนหักภาษีไปหน่อยเลยไม่ถึง
5.งานไม่ได้เครียดหรืออะไร ใช้ความรู้เพียงแค่นิดเดียวจากที่มี มีความสามารถในการทำงานที่ไว เลยทำงานเพื่อแล้วเอาเวลาไปนอน และแบ่งงานที่ทำเสร็จส่งแบบค่อยๆส่ง ไม่ทีเดียวส่ง เพราะคิดว่าการทำงานไวแต่เงินเดือนเท่าเดิม จะมีแต่ได้งานมากขึ้น
6.เป็นโปรแกรมเมอร์ครับ อายุ 27 โสด ใช้ชีวิตตัวคนเดียวในกทม
ถ้าสงใสตรงไหนหรืออยากได้ข้อมูลเพิ่มสามารถถามได้ครับ
ไม่ทราบว่ามีใครมีลักษณะทางความคิดเป็นแบบนี้บ้าง เรียกว่าปกติไหมครับ??
ลักษณะคือ
1.คิดฟุ้งเฟ้อตลอดเวลลา ไม่ว่าจะฉากหนังสนุกๆที่ชอบจำ ดูหนังในหัวได้ทุกที่ทุกเวลา หรือลองคิดทฤษฎีวิทยาศาสตร์แปลกๆ ตั้งสมมุติฐานหาเหตุผลมาซัพพอร์ทในเรื่องต่างๆ เช่น ทฤษฎีเวลา แสง ความเร็ว พลัง หรือ ถ้าเรามีสิ่งต่างๆเราจะเป็นอย่างไรในมุมมองชีวิตที่แตกต่างจากปัจจุบัน
2.ชอบเพลงตลอดเวลาเพราะมีรู้สึกไม่ชอบใจเสียงภายนอกที่ไม่ได้อยากฟัง
3.ไม่มีความอยากอาหาร คือไม่คิดจะกิน ทุกวันนี้ต้องพยายามกิน
4.ไม่มีความอยากได้อะไร คือไม่มีอะไรที่อยากได้หรืออยากทำจริงๆเลย ไปลองทำก็เหมือนทำให้มันได้ทำแล้วผ่านไป ไม่เอ็นจอยไม่สนุก
5.ไม่ได้คิดฆ่าตัวตายเลย
6.มีความเบื่อ
7.คิดไรไม่ออกจะนอนหรือนอนทับตะวันก็ว่าได้ คือไม่รู้จะทำไรหรืออยากทำไร
8.เมนูอาหารที่ชอบไม่มี
9.ไปเที่ยวยืนชมวิวที่เขาว่ากันสวยรีวิวกันเป็นแสน อากาศสดชื่น แต่ผมกับไม่เข้าใจว่ามันรู้สึกยังไง
10.เริ่มพูดจาไม่เหมือนคนทั่วไป วิธีการพูดมีการเรียบเรียงเป็นระเบียบและเหตุผลเกินเหตุ เช่น ผมว่ามันอาจจะเป็นเพราะ... หรือ มันก็เป็นอะไรที่แปลกหรือแตกต่างดี เป็นคำพูดที่ใช้เหตุผลตอบมากกว่าอารมณ์
11.รู้สึกไม่มีที่ไหนที่เหมาะสม หรือมีเหตุผลที่ให้ไปนอกจากห้องพัก
12.ไม่มีความหวงหรือห่วงสิ่งใดนอกจากอนาคตที่เราคาดไม่ถึง
13.คิดและวางแผนระยะไกล ไกลถึงมากว่าตัวเองในแต่ละช่วงเวลาคิดว่าจะทำไร หรือพยายามทำอะไร
14.ไม่คิดถึงใคร บุคคลใด ไม่เว้นแม้แต่พ่อแม่ตัวเอง สาเหตุเข้าใจว่าโตมาตัวคนเดียวไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ตั้งแต่มัธยมต้นครับ โตมากับการฝากพี่ป้าน้าอาเลี้ยง
15.ไม่นับถือศาสนา เชื่อมั่นแค่ความสามารถหรือสิ่งที่เราจับต้องสามารถทำได้ เช่น ความสามารถการทำงาน เรียนรู้ หรือทักษะพิเศษ
16.กินข้าวเพื่อให้ร่างกายไม่ทรมาณ แต่รับไม่ได้รู้สึกอร่อยหรือเอ็นจอยกับการกิน คือรู้ว่ารสเปี้ยว เค็ม หวาด เผ็ดปกติครับ แต่เรากินบะหมี่เหลืองจืดๆ ไม่ปรุงได้ โดยที่เราไม่ขยะแขยงมัน
17.ไม่เข้าใจความรู้สึกหรือฟิลลิ่งร่วมของสถานที่ และบรรยากาศผู้คน เช่น ถ้าเราอยู่งานศพ เราก็ควรจะรู้สึกเศร้าหรือเสียใจบ้าง แต่เราไม่ เราอยู่ร้านเหล้าปาร์ตี้สนุก เราก็นั่งเหม่อๆแล้วมองผู้คนด้วยความสงใสหรืองงๆไม่เข้าใจ
18.ชอบคิดพิจารณาข้อบกพร่องตัวเองที่ต้องแก้ไข แต่เรื่องนี้น่าจะเป็นเรื่องแก้ยากสุด
19.บ่อยครั้งที่เปิดหนังไปเรื่อยแต่ไม่ได้ตั้งใจดูหรือเพราะอยากดู แต่อยากให้มีเสียง บางทีเป็นหนังเดิมๆที่ซ้ำบ่อย จนฟังเสียงก็นึกภาพออกด้วย
20.รู้สึกเหมือนเป็นอะไรที่แปลก และแตกต่างเกินกว่าจะลองไปเข้าสังคมอื่นๆ
21.เริ่มไม่สนวันเวลาว่ามันจะผ่านไปนานขนาดไหน เว้นแต่ว่าจะมีนัดหรืออะไร
22.สนใจแค่หน้าที่ที่ตัวเองได้รับ เช่นมีงานต้องทำ นอกนั้นผมจะไม่สนใจหรือมีใครนัดอะไรเลย
23.รู้สึกตัวเองมีนิสัยหลายๆแบบ เพราะ เคยปรับตัวเข้าหาคนหลายประเภทเพื่อให้เหมาะต่อการเข้าสังคม
24.เหมือนเราใส่หน้ากากในการใช้ชีวิตทุกแบบ
25.เคยคิดจะหาคนคบหาเพราะอาจจะแตกต่าง แต่พอพิจารณาตัวเองแล้ว คิดว่าผู้หญิงไม่น่าจะชอบคนอะไรประเภทนี้ เพราะอาจจะเข้าใจเรายาก และเขาอาจจะคิดว่าเป็นการไม่สนใจ
26.อะไรที่คิดว่าเคยชอบตอนนี้แทบไม่ทำแล้วครับ
27.คิดว่าตัวเองเหมือนหุ่นยนต์หรือสิ่งมีชีวิตแปลกๆ ที่ดูไม่เหมือนอะไร
28.คิดว่าตัวเองดวงซวย เช่น เราจะไม่ค่อยมีโชคกับเรื่องที่ชาวบ้านเชื่อว่าต้องใช้โชค แต่ผมจะต้องใช้ความพยายามและความสามารถและการวางแผนถึงจะได้มา
29.ไม่ผูกพันเชิงครอบครัวครับ พ่อแม่เหมือนคนๆนึงที่ เป็นคนให้เงินและส่งเสีย แต่เขาไม่ได้ความรู้สึกเป็นห่วงใยในด้านอื่น คือเขาทำงานอยู่ต่างประเทศ ไม่เจอกันแต่เด็กปี 1 แค่ 1-2 ครั้งโทรบ้างปีนึงไม่ถึง 10 ครั้ง มีน้องสาวแต่มองว่ามันไม่ได้ทำตัวน่ารักหรือเป็นน้องสาวที่ดี ก็ไม่คิดว่าควรเป็นพี่ที่ดีอะไรขนาดนั้นเพราะเคยแนะนำเรื่องต่างๆ แต่มันไม่รับฟังก็คือ ตัดมันทิ้งไปเลย
30.รู้สึกเวลาอยู่ต่อหน้าครอบครัวแล้วเราต้องเก็บซ่อนความคิดพวกนี้เอาไว้ เพราะถ้าเล่าไปเขาก็คิดว่าเรา ประสาทหรือบ้า หรือเป็นพวกจิต อะไรทำนองนั้นครับ เขาพยายามแค่ให้เราผูกพัน หรือมีความรู้สึกที่เราไม่เคยมีเพียงเท่านั้น
ดีเทลของชีวิตในปัจจุบัน
1.พ่อแม่ไม่ได้ส่งเสียค่าใช้จ่ายใดๆเพราะเขาไม่ต้องการครับ แล้วก็ไม่ได้รู้สึกว่าต้องรีบตอนแทนหรืออะไร รู้สึกเหมือนเป็นความสัมพันเชิงการเลี้ยงดูและต้องตอบแทนบุญคุณในช่วงเวลาอื่น ในระดับของคนให้ชีวิตอยู่ต่อไปได้ในช่วงแรกที่ยังทำอะไรไม่ได้ไม่มีเงินเดือน ไม่ใช่ในฐานะพ่อแม่ ไม่ต้องถามถึงเรื่องบุญคุณในการให้กำเนิดนะครับ เพราะผมมองว่ามันก็เหมือนผมโสดและผมรับเลี้ยงเด็กคนนึงให้เขาเติบโตแล้วมีชีวิตต่อ
2.มีเงินเก็บ เดือนละหมื่นกว่าๆ ถึง 2 หมื่นถ้าไม่ได้จ่ายประกัน หรือ ส่วนกลาง ผมก็เก็บมันไว้อย่างนั้นเรื่อยๆ
3.มีภาระหนี้แค่ คอนโด และ รถมอไซร์(เหลืออีกปีเดียว)
4.หน้าที่การงานดีเงินเดือนก็ดีแหละครับ อีกปีก็เกินคลึ่งแสนแล้ว ตอนนี้โดนหักภาษีไปหน่อยเลยไม่ถึง
5.งานไม่ได้เครียดหรืออะไร ใช้ความรู้เพียงแค่นิดเดียวจากที่มี มีความสามารถในการทำงานที่ไว เลยทำงานเพื่อแล้วเอาเวลาไปนอน และแบ่งงานที่ทำเสร็จส่งแบบค่อยๆส่ง ไม่ทีเดียวส่ง เพราะคิดว่าการทำงานไวแต่เงินเดือนเท่าเดิม จะมีแต่ได้งานมากขึ้น
6.เป็นโปรแกรมเมอร์ครับ อายุ 27 โสด ใช้ชีวิตตัวคนเดียวในกทม
ถ้าสงใสตรงไหนหรืออยากได้ข้อมูลเพิ่มสามารถถามได้ครับ