นี่ก็เป็นหนังอีกเรื่องนึงที่ดูแล้วคันปากอยากวิพากษ์วิจารย์มาก
แต่ก่อนอื่นต้องขอบอกก่อนเลยว่า สำหรับผมแล้วไม่มีอะไรจะคอมเม้นเกี่ยวกับงานภาพ ฉาก และการแสดง หรือตัวบทเลย ทุกอย่างทำออกมาได้ดีหมด
คือหนังมันอาจจะดูยากนิดนึงแหละ และด้วยความดูยากของมันนี่แหละ ที่มันทำให้ผมอยากหยิบขึ้นมา ทำความเข้าใจดูว่าจริงๆแล้วหนังมันต้องการจะสื่ออะไร
หมายเหตุ นี่เป็นการตีความหมายตามความเข้าใจของตัวผมเองนะ ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด ตัวผู้กำกับเองเค้าก็อยากให้คนดูมโนแต่งเติมตัวบทหลังดูจบเอาเอง ในแบบที่ตัวเองต้องการ
ดังนั้น หลายๆคนดูจบแล้วแล้ว อาจตีความหมายแตกต่างกันไป แล้วแต่ความสามารถในการจินตนาการของแต่ละคนเนาะ โอเคงั้นเรามาเข้าเรื่องกันเลย
1. หนังเรื่องนี้สอนอะไร
คำถามนี้ ผมว่าคำมันมีคำตอบเยอะอยู่นะ คือ
1.1 ตอนยังเฟี้ยวฟ้าว อย่าทำเป็นห้าวเยอะ เดี๋ยวจะเสียหมาได้ในภายหลัง
คือเอาง่ายๆสังเกตจากคำพูดของคิงอาเธอร์ ที่พูดตอนที่อัศวินเขียวยื่นคำท้าแล้ว ถึงแม้ท่านอยากจะลงไปใส่เดี่ยวกับ อัศวินเขียวมากแค่ไหนก็ตาม แต่ด้วยความที่ท่านรู้จักประมาณตนอยู่ว่าตัวเองแก่แล้ว เลยไม่ทำหุนหันพลันแล่น
ส่วนอัศวินคนอื่นๆก็เช่นกัน ทุกคนคงจะคิดดีแล้วล่ะ ว่าถ้าลงไปสู้ด้วยก็คงจะไม่ได้อะไร เป็นถึงอัศวินโต๊ะกลมกันแล้ว คงไม่มีใครขี้ขลาดตาขาวหรอกเนาะ จริงมั้ย
ถ้าจะมีก็คงมีแต่ เซอร์กาเวนนี่แหละ ที่คิดน้อยกว่าเพื่อน ที่อยากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการลงไปสู้กับ green knight
1.2 ถ้าคุณตัดสินใจอะไรซักอย่างแล้วต้องไปให้สุด
เพราะถ้าไปไม่สุด ไม่ว่าระหว่างทางคุณจะสามารถผ่าฟันอุปสัคที่ยากลำบากแค่ไหนมาก็ตาม คนจะมองว่าคุณเป็นคนล้มเหลวอยู่ดี
ผมว่าข้อนี้ ตัวหนังมันบอกชัดเจนอยู่แล้วนะ คงไม่ต้องตีความหมายอะไรมาก
ยิ่งในตอนต้น ถ้าคุณโม้อะไรไว้เยอะๆ หรือถึงแม้คุณจะไม่ได้โม้แต่มีคนโม้แทนคุณ
เมื่อถึงเวลาพิสูจน์ตัวตนแล้วคุณทำไม่ได้ คุณจะเสียหมาเอานา
1.3 การโกหกถือแม้จะสร้างผลลัพท์ที่ดีได้ แต่คุณจะสามารถภูมิใจในสิ่งที่ได้มาด้วยการโกหกจริงๆหรือ?
ข้อนี้ก็เป็นข้อที่ตัวหนังสื่อความหมายชัดเจนอีกข้อหนึ่งเหมือนกัน ถ้าจะอ้างอิงจากฉากในจินตนาการของเซอร์กาเวนในท้ายเรื่องอะนะ
(จินตนาการว่าถ้าเค้ากลับไปเอาดื้อๆ แล้วโกหกคนที่อาณาจักรว่า ข้าสามารถจัดการอัศวินเขียวได้แล้ว ผลลัพท์ที่ตามมามันจะเป็นยังไง)
2.ตัวตนของ อัศวินเขียวจริงๆแล้วเป็นใครกันแน่
ผมว่าอัศวินเขียวมันน่าจะเป็นตัวตนที่แม่ของเซอร์กาเวนสร้างมาตั้งแต่แรกนะ
หรือมันอาจจะเป็นตัวตนของธรรมชาติ ที่มีมาตั้งแต่แรกอยู่แล้วแต่แม่ของเซอร์กาเวนเป็นคนเชิญมา
(สังเกตจากตอนที่ทำพิธี มีการแกะเอาเศษกิ่งไม้ลงไปใส่ในส่วนผสมด้วย)
เพราะดูจากท่าทีของมันแล้ว ดูไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใครเลยแม้แต่น้อย
และตอนที่แม่ของเซอร์กาเวนส่งลูกออกไปหาอัศวินเขียวก็ดูไม่ได้เป็นกังวล ดูค่อยข้างจะชิลๆเลยทีเดียว
และจากบทสนทนากับสตรีสูงศักดิ์ในปราสาททางเหนือ นางก็ตีความหมายว่า จริงๆแล้วสีเขียวของมันก็คือธรรมชาตินี่แหละ แล้วจะไปสู้กับมันทำไม สู้ไปก็ไม่ชนะหรอก สีแดงเป็นสีของราคะ และสีเขียวเป็นสีที่เหลืออยู่หลังจากที่ราคะดับไป
(ธรรมชาติมีตัวตนมาก่อนมนุษย์ และมนุษย์ก็ทยอยทำลายธรรมชาติ ตลอดชั่วอายุขัยที่ดำรงอยู่เพื่อสนองความต้องการของตัวเอง และเมื่อมนุษย์หายไป ธรรมชาติก็จะกลับมาอยู่ที่เดิมของมันอยู่ดี)
3.สิ่งที่ผู้กำกับซ่อนไว้ในหนัง
3.1 ผ้าคาดเองของพระเอก มันขลังจริงรึเปล่า ?
อันนี้ผมก็ไม่แน่ใจ แต่ผมหมดความศรัทธาตั้งแต่ตอนที่โดนโจรแย่งไปแล้วแหละเหมือนไม่ได้ช่วยอะไรเล้ย แต่ก็วิวายที่พระเอกของเราดูเหมือนจะเชื่อด้วยแหละว่ามันขลังจริงๆ
เพราะดูจากตอนที่ถอดผ้าคาดเอวออกในตอนจบ ทำอย่างกับว่าถ้าใส่ไว้แล้วมันจะฟันไม่เข้าซะอย่างนั้นแหละพ่อคู้ณ
3.2 จุดประสงค์ของการเดินทางครั้งนี้ เพื่ออะไร?
เหมือนกาเวนจะเพิ่งมาคิดได้ในตอนจบ ที่ถามอัศวินเขียวว่า "แค่นี้เองเหรอ"แล้วอัศวินเขียวก็ถามกลับมาว่า "มันควรมีอะไรมากกว่านี้อีกหรือ"
ตอนอยู่ในปราสาทก็โดนเจ้าของปราสาทถามอยู่นะว่า "นายจะทำสิ่งนี้ไปเพื่ออะไร"
คือพี่ควรจะคิดได้ตั้งแต่แรกก่อนที่จะรับคำท้าแล้วมั้ยว่า ภารกิจนี้มันกลวง หาสาระอะไรไม่ได้เลย
แทนที่จะเอาเวลาทำภารกิจง่าวๆเพื่อเกียรติยศกลวงๆแบบนี้ ไปทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในประเทศดีขึ้น ไม่ดีกว่ารึ
ถ้าสังเกตจากสุนทรพจน์ที่คิงอาเธอร์พูดในที่ประชุมมันก็ชัดเจนอยู่นา ว่าแกเป็นคนที่แคร์ประชาชนอยู่พอสมควร
บางที คิงอาเธอร์อาจจะไม่ได้ต้องการให้กาเวนโชว์ความห้าวออกมาก็ได้ บางทีเค้าแค่อยากจะให้กาเวนแหกขี้หูขี้ตาออกมาดูประชาชนบ้างก็ได้
แล้วที่ให้แนะนำให้ไปเจออัศวินเขียวตามสัญญา บางทีท่านอาจจะรวมหัวกับแม่ของกาเวน สร้างบทเรียนราคาแพง สั่งสอนวัยรุ่นไม่รักดีอย่างกาเวนก็เป็นได้
3.3 ฉากโจรป่า
ผมว่าประเด็นหลักของฉากนี้คงไม่มีอะไรมาก ผู้กำกับคงอยากจะโชว์ความกากกับความอ่อนต่อโลกของกาเวนให้เราดูก็เท่านั้นแหละ
3.4 ฉากวิญญาณอาฆาต
ฉากนี้ดูเหมือนจะพิสูจน์จิตใจที่ดีงามของกาเวนออกมาให้เราได้เห็นบ้าง ถึงแม้กาเวนจะไม่เข้าใจว่า ผีผู้หญิงจะต้องการเอาหัวไปทำไม ก็ในเมื่อแกตายไปแล้วนี่ ก็มิวายโดนผีผู้หญิงตอกกลับมาว่า ก็แล้วทำไม ก็ข้าอยากได้มันคืนนี่
มันเหมือนจะสื่อว่า ในบางครั้งเราแค่อยากจะทำให้เรื่องบางอย่างที่มันค้างคาใจ ให้มันจบๆไป ถึงแม้จะทำไปแล้วมันจะไม่ได้ส่งผลอะไรให้เราเลยก็ตาม
แล้วตอนที่ กาเวนถามผีผู้หญิงว่า "แล้วข้าจะได้อะไรตอบแทนจากเจ้า" มันเหมือนจะสื่อว่า การที่เราจะช่วยใคร มันจำเป็นต้องเห็นผลตอบแทนก่อนด้วยหรือ?
3.5 สุนัขจิ้งจอกไม่แน่ใจว่ามันเป็นร่างอวตารของผีผู้หญิงรึเปล่า
หรือจะเป็นผีพรายที่แม่กาเวนเลี้ยงไว้ เพราะมันเพิ่งจะโผล่มาหลังจากเจอผีผู้หญิงแล้ว และดูเหมือนมันจะคอยให้ความช่วยเหลือพร้อมทั้งเตือนสติกาเวนมาตลอดทางด้วย
บทสนทนาตอนที่จะข้ามแม่น้ำก็กินใจไม่น้อยเช่นกัน เหมือนต้องการจะสื่อว่า ไม่ไหวก็ถอยออกมาซะอย่าฝืน ส่วนฉากยักษ์ ผมเข้าไม่ถึงเลยจริงๆว่า ผู้กำกับต้องการจะสื่ออะไร
3.6 ฉากในปราสาท
เหมือนจะเป็นการทดสอบจิตใจของกาเวนว่าจะใจแข็งทนความยั่วของสาวลึกลับได้มั้ย ส่วนยายแก่ตาบอดผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันมีนัยยะแอบแฝงอะไร หรือคนในปราสาทอาจจะไม่ได้มีอยู่จริง อาจจะเป็นผีกันหมดก็ได้
ตอนที่จะจากกัน เจ้าของปราสาทก็ยังพูดอยู่นะว่า ถ้าเจ้ากลับมา จะไม่ได้เจอพวกเรา (หรือเค้าอาจจะเป็นคน แต่ไม่เจอเพราะไปตะวันตกจริงๆอย่างที่พูดไว้ตอนต้นก็ได้นะ)
3.7 จิตนาการของกาเวน ที่อาจจะไม่ได้เป็นแค่จินตนาการ
ในตอนจบเราจะได้เห็นฉากมโนของกาเวนที่สะท้อนให้เห็นจิตใต้สำนึกของเขา
ว่าจริงๆแล้ว เขาไม่ได้รักนางโสเภณีเลย (ตอนที่โดนสาวงามในปราสาทแย่งกระดิ่งที่นางโสเภณีให้ไว้ก็ไม่เห็นจะทวงคืนนะ ทีผ้าคาดเอวงี้ อยากได้คืนจัง) และจริงๆแล้วเค้าอยากขึ้นเป็นกษัตริย์
และในฉาก And credit ที่เราได้เห็นเด็กผู้หญิงหยิบเอามงกุฏที่ตกพื้นมาสวมเล่น
มันก็ทำให้เราอดคิดไม่ได้เลยว่า หลังจากที่กาเวนกลับมาจากการเผชิญหน้าอัศวินเขียวแล้ว
เหตุการณ์ในจินตนาการมันเกิดขึ้นจริงหรือไม่ แล้วเด็กผู้หญิงคนนั้นเป็นลูกของเขากับผู้หญิงที่เจอกันในปราสาททางเหนือรึเปล่า
แต่ที่เรารู้แน่ๆเลยก็คือ อัศวินเขียวมันไม่ได้คิดจะทำร้ายใครตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
4.สรุปเลยก็คือ
หนังเรื่องนี้มันเต็มไปด้วยความ อิหยังวะเต็มไปหมด มันยังมีอีกหลายเรื่องเลยที่ผมยังไม่เข้าใจ
เหมือนจะเข้าใจง่ายแต่ก็ไม่ง่าย จะว่าเข้าใจยากก็พูดได้ไม่เต็มปาก
เพราะส่วนที่เค้าทำให้คนดูเข้าใจได้ง่ายๆ มันก็มีเยอะอยู่เหมือนกัน
แต่หลังจากที่เพื่อนๆได้ดูได้อ่านบทความนี้แล้ว มีความคิดเห็นกันอย่างไรก็ลองมาพูดคุยกันดูครับ
[#Review] [สปอยแหลก] ตีความหมายหนังเรื่อง The Green Knight ศึกโค่นอัศวินอมตะ (2021)
แต่ก่อนอื่นต้องขอบอกก่อนเลยว่า สำหรับผมแล้วไม่มีอะไรจะคอมเม้นเกี่ยวกับงานภาพ ฉาก และการแสดง หรือตัวบทเลย ทุกอย่างทำออกมาได้ดีหมด
คือหนังมันอาจจะดูยากนิดนึงแหละ และด้วยความดูยากของมันนี่แหละ ที่มันทำให้ผมอยากหยิบขึ้นมา ทำความเข้าใจดูว่าจริงๆแล้วหนังมันต้องการจะสื่ออะไร
หมายเหตุ นี่เป็นการตีความหมายตามความเข้าใจของตัวผมเองนะ ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด ตัวผู้กำกับเองเค้าก็อยากให้คนดูมโนแต่งเติมตัวบทหลังดูจบเอาเอง ในแบบที่ตัวเองต้องการ
ดังนั้น หลายๆคนดูจบแล้วแล้ว อาจตีความหมายแตกต่างกันไป แล้วแต่ความสามารถในการจินตนาการของแต่ละคนเนาะ โอเคงั้นเรามาเข้าเรื่องกันเลย
1. หนังเรื่องนี้สอนอะไร
คำถามนี้ ผมว่าคำมันมีคำตอบเยอะอยู่นะ คือ
1.1 ตอนยังเฟี้ยวฟ้าว อย่าทำเป็นห้าวเยอะ เดี๋ยวจะเสียหมาได้ในภายหลัง
คือเอาง่ายๆสังเกตจากคำพูดของคิงอาเธอร์ ที่พูดตอนที่อัศวินเขียวยื่นคำท้าแล้ว ถึงแม้ท่านอยากจะลงไปใส่เดี่ยวกับ อัศวินเขียวมากแค่ไหนก็ตาม แต่ด้วยความที่ท่านรู้จักประมาณตนอยู่ว่าตัวเองแก่แล้ว เลยไม่ทำหุนหันพลันแล่น
ส่วนอัศวินคนอื่นๆก็เช่นกัน ทุกคนคงจะคิดดีแล้วล่ะ ว่าถ้าลงไปสู้ด้วยก็คงจะไม่ได้อะไร เป็นถึงอัศวินโต๊ะกลมกันแล้ว คงไม่มีใครขี้ขลาดตาขาวหรอกเนาะ จริงมั้ย
ถ้าจะมีก็คงมีแต่ เซอร์กาเวนนี่แหละ ที่คิดน้อยกว่าเพื่อน ที่อยากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการลงไปสู้กับ green knight
1.2 ถ้าคุณตัดสินใจอะไรซักอย่างแล้วต้องไปให้สุด
เพราะถ้าไปไม่สุด ไม่ว่าระหว่างทางคุณจะสามารถผ่าฟันอุปสัคที่ยากลำบากแค่ไหนมาก็ตาม คนจะมองว่าคุณเป็นคนล้มเหลวอยู่ดี
ผมว่าข้อนี้ ตัวหนังมันบอกชัดเจนอยู่แล้วนะ คงไม่ต้องตีความหมายอะไรมาก
ยิ่งในตอนต้น ถ้าคุณโม้อะไรไว้เยอะๆ หรือถึงแม้คุณจะไม่ได้โม้แต่มีคนโม้แทนคุณ
เมื่อถึงเวลาพิสูจน์ตัวตนแล้วคุณทำไม่ได้ คุณจะเสียหมาเอานา
1.3 การโกหกถือแม้จะสร้างผลลัพท์ที่ดีได้ แต่คุณจะสามารถภูมิใจในสิ่งที่ได้มาด้วยการโกหกจริงๆหรือ?
ข้อนี้ก็เป็นข้อที่ตัวหนังสื่อความหมายชัดเจนอีกข้อหนึ่งเหมือนกัน ถ้าจะอ้างอิงจากฉากในจินตนาการของเซอร์กาเวนในท้ายเรื่องอะนะ
(จินตนาการว่าถ้าเค้ากลับไปเอาดื้อๆ แล้วโกหกคนที่อาณาจักรว่า ข้าสามารถจัดการอัศวินเขียวได้แล้ว ผลลัพท์ที่ตามมามันจะเป็นยังไง)
2.ตัวตนของ อัศวินเขียวจริงๆแล้วเป็นใครกันแน่
ผมว่าอัศวินเขียวมันน่าจะเป็นตัวตนที่แม่ของเซอร์กาเวนสร้างมาตั้งแต่แรกนะ
หรือมันอาจจะเป็นตัวตนของธรรมชาติ ที่มีมาตั้งแต่แรกอยู่แล้วแต่แม่ของเซอร์กาเวนเป็นคนเชิญมา
(สังเกตจากตอนที่ทำพิธี มีการแกะเอาเศษกิ่งไม้ลงไปใส่ในส่วนผสมด้วย)
เพราะดูจากท่าทีของมันแล้ว ดูไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใครเลยแม้แต่น้อย
และตอนที่แม่ของเซอร์กาเวนส่งลูกออกไปหาอัศวินเขียวก็ดูไม่ได้เป็นกังวล ดูค่อยข้างจะชิลๆเลยทีเดียว
และจากบทสนทนากับสตรีสูงศักดิ์ในปราสาททางเหนือ นางก็ตีความหมายว่า จริงๆแล้วสีเขียวของมันก็คือธรรมชาตินี่แหละ แล้วจะไปสู้กับมันทำไม สู้ไปก็ไม่ชนะหรอก สีแดงเป็นสีของราคะ และสีเขียวเป็นสีที่เหลืออยู่หลังจากที่ราคะดับไป
(ธรรมชาติมีตัวตนมาก่อนมนุษย์ และมนุษย์ก็ทยอยทำลายธรรมชาติ ตลอดชั่วอายุขัยที่ดำรงอยู่เพื่อสนองความต้องการของตัวเอง และเมื่อมนุษย์หายไป ธรรมชาติก็จะกลับมาอยู่ที่เดิมของมันอยู่ดี)
3.สิ่งที่ผู้กำกับซ่อนไว้ในหนัง
3.1 ผ้าคาดเองของพระเอก มันขลังจริงรึเปล่า ?
อันนี้ผมก็ไม่แน่ใจ แต่ผมหมดความศรัทธาตั้งแต่ตอนที่โดนโจรแย่งไปแล้วแหละเหมือนไม่ได้ช่วยอะไรเล้ย แต่ก็วิวายที่พระเอกของเราดูเหมือนจะเชื่อด้วยแหละว่ามันขลังจริงๆ
เพราะดูจากตอนที่ถอดผ้าคาดเอวออกในตอนจบ ทำอย่างกับว่าถ้าใส่ไว้แล้วมันจะฟันไม่เข้าซะอย่างนั้นแหละพ่อคู้ณ
3.2 จุดประสงค์ของการเดินทางครั้งนี้ เพื่ออะไร?
เหมือนกาเวนจะเพิ่งมาคิดได้ในตอนจบ ที่ถามอัศวินเขียวว่า "แค่นี้เองเหรอ"แล้วอัศวินเขียวก็ถามกลับมาว่า "มันควรมีอะไรมากกว่านี้อีกหรือ"
ตอนอยู่ในปราสาทก็โดนเจ้าของปราสาทถามอยู่นะว่า "นายจะทำสิ่งนี้ไปเพื่ออะไร"
คือพี่ควรจะคิดได้ตั้งแต่แรกก่อนที่จะรับคำท้าแล้วมั้ยว่า ภารกิจนี้มันกลวง หาสาระอะไรไม่ได้เลย
แทนที่จะเอาเวลาทำภารกิจง่าวๆเพื่อเกียรติยศกลวงๆแบบนี้ ไปทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในประเทศดีขึ้น ไม่ดีกว่ารึ
ถ้าสังเกตจากสุนทรพจน์ที่คิงอาเธอร์พูดในที่ประชุมมันก็ชัดเจนอยู่นา ว่าแกเป็นคนที่แคร์ประชาชนอยู่พอสมควร
บางที คิงอาเธอร์อาจจะไม่ได้ต้องการให้กาเวนโชว์ความห้าวออกมาก็ได้ บางทีเค้าแค่อยากจะให้กาเวนแหกขี้หูขี้ตาออกมาดูประชาชนบ้างก็ได้
แล้วที่ให้แนะนำให้ไปเจออัศวินเขียวตามสัญญา บางทีท่านอาจจะรวมหัวกับแม่ของกาเวน สร้างบทเรียนราคาแพง สั่งสอนวัยรุ่นไม่รักดีอย่างกาเวนก็เป็นได้
3.3 ฉากโจรป่า
ผมว่าประเด็นหลักของฉากนี้คงไม่มีอะไรมาก ผู้กำกับคงอยากจะโชว์ความกากกับความอ่อนต่อโลกของกาเวนให้เราดูก็เท่านั้นแหละ
3.4 ฉากวิญญาณอาฆาต
ฉากนี้ดูเหมือนจะพิสูจน์จิตใจที่ดีงามของกาเวนออกมาให้เราได้เห็นบ้าง ถึงแม้กาเวนจะไม่เข้าใจว่า ผีผู้หญิงจะต้องการเอาหัวไปทำไม ก็ในเมื่อแกตายไปแล้วนี่ ก็มิวายโดนผีผู้หญิงตอกกลับมาว่า ก็แล้วทำไม ก็ข้าอยากได้มันคืนนี่
มันเหมือนจะสื่อว่า ในบางครั้งเราแค่อยากจะทำให้เรื่องบางอย่างที่มันค้างคาใจ ให้มันจบๆไป ถึงแม้จะทำไปแล้วมันจะไม่ได้ส่งผลอะไรให้เราเลยก็ตาม
แล้วตอนที่ กาเวนถามผีผู้หญิงว่า "แล้วข้าจะได้อะไรตอบแทนจากเจ้า" มันเหมือนจะสื่อว่า การที่เราจะช่วยใคร มันจำเป็นต้องเห็นผลตอบแทนก่อนด้วยหรือ?
3.5 สุนัขจิ้งจอกไม่แน่ใจว่ามันเป็นร่างอวตารของผีผู้หญิงรึเปล่า
หรือจะเป็นผีพรายที่แม่กาเวนเลี้ยงไว้ เพราะมันเพิ่งจะโผล่มาหลังจากเจอผีผู้หญิงแล้ว และดูเหมือนมันจะคอยให้ความช่วยเหลือพร้อมทั้งเตือนสติกาเวนมาตลอดทางด้วย
บทสนทนาตอนที่จะข้ามแม่น้ำก็กินใจไม่น้อยเช่นกัน เหมือนต้องการจะสื่อว่า ไม่ไหวก็ถอยออกมาซะอย่าฝืน ส่วนฉากยักษ์ ผมเข้าไม่ถึงเลยจริงๆว่า ผู้กำกับต้องการจะสื่ออะไร
3.6 ฉากในปราสาท
เหมือนจะเป็นการทดสอบจิตใจของกาเวนว่าจะใจแข็งทนความยั่วของสาวลึกลับได้มั้ย ส่วนยายแก่ตาบอดผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันมีนัยยะแอบแฝงอะไร หรือคนในปราสาทอาจจะไม่ได้มีอยู่จริง อาจจะเป็นผีกันหมดก็ได้
ตอนที่จะจากกัน เจ้าของปราสาทก็ยังพูดอยู่นะว่า ถ้าเจ้ากลับมา จะไม่ได้เจอพวกเรา (หรือเค้าอาจจะเป็นคน แต่ไม่เจอเพราะไปตะวันตกจริงๆอย่างที่พูดไว้ตอนต้นก็ได้นะ)
3.7 จิตนาการของกาเวน ที่อาจจะไม่ได้เป็นแค่จินตนาการ
ในตอนจบเราจะได้เห็นฉากมโนของกาเวนที่สะท้อนให้เห็นจิตใต้สำนึกของเขา
ว่าจริงๆแล้ว เขาไม่ได้รักนางโสเภณีเลย (ตอนที่โดนสาวงามในปราสาทแย่งกระดิ่งที่นางโสเภณีให้ไว้ก็ไม่เห็นจะทวงคืนนะ ทีผ้าคาดเอวงี้ อยากได้คืนจัง) และจริงๆแล้วเค้าอยากขึ้นเป็นกษัตริย์
และในฉาก And credit ที่เราได้เห็นเด็กผู้หญิงหยิบเอามงกุฏที่ตกพื้นมาสวมเล่น
มันก็ทำให้เราอดคิดไม่ได้เลยว่า หลังจากที่กาเวนกลับมาจากการเผชิญหน้าอัศวินเขียวแล้ว
เหตุการณ์ในจินตนาการมันเกิดขึ้นจริงหรือไม่ แล้วเด็กผู้หญิงคนนั้นเป็นลูกของเขากับผู้หญิงที่เจอกันในปราสาททางเหนือรึเปล่า
แต่ที่เรารู้แน่ๆเลยก็คือ อัศวินเขียวมันไม่ได้คิดจะทำร้ายใครตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
4.สรุปเลยก็คือ
หนังเรื่องนี้มันเต็มไปด้วยความ อิหยังวะเต็มไปหมด มันยังมีอีกหลายเรื่องเลยที่ผมยังไม่เข้าใจ
เหมือนจะเข้าใจง่ายแต่ก็ไม่ง่าย จะว่าเข้าใจยากก็พูดได้ไม่เต็มปาก
เพราะส่วนที่เค้าทำให้คนดูเข้าใจได้ง่ายๆ มันก็มีเยอะอยู่เหมือนกัน
แต่หลังจากที่เพื่อนๆได้ดูได้อ่านบทความนี้แล้ว มีความคิดเห็นกันอย่างไรก็ลองมาพูดคุยกันดูครับ