วัคซีนเสริม เพิ่มภูมิสำหรับเด็ก (นอกจากวัคซีนโควิด-19)
ในปัจจุบัน เด็กที่มีอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไป ได้เริ่มทยอยเข้ารับการฉีดวัคซีน 💉 mRNA เพื่อป้องกันโรคโควิด-19 กันแล้ว ซึ่งวัคซีนชนิดนี้ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA) แล้วตั้งแต่วันที่ 10 พ.ค.ที่ผ่านมา
จากการศึกษาวิจัยในเด็กที่มีอายุ 12-18 ปี พบว่า วัคซีนที่ใช้อยู่มีประสิทธิภาพดี เช่นเดียวกับการใช้ในผู้ใหญ่ ดังนั้น FDA จึงอนุญาตให้ใช้ได้ โดยให้เริ่มจากเด็กที่อยู่ในกลุ่มโรคอ้วน โรคระบบทางเดินหายใจเรื้อรังและหอบหืด โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคไตเรื้อรังระยะ 5 โรคหลอดเลือดสมอง โรคมะเร็งที่เด็กที่ต้องรับเคมีบำบัด โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง เบาหวาน โรคทางพันธุกรรม ดาวน์ซินโดรม รวมถึงโรคทุพพลภาพทางระบบประสาทอย่างรุนแรง แล้วจึงตามมาด้วยกลุ่มเด็กที่มีสุขภาพดี
ในเรื่องผลข้างเคียงที่ผู้ปกครองส่วนใหญ่มักจะกังวลกัน ก็พบได้น้อยหรืออาจไม่พบเลย โดยอาจจะมีอาการไข้ หนาวสั่นในระยะ 1-3 วันหลังฉีด ปวดบวมบริเวณที่ฉีด ปวดเมื่อยตามเนื้อตัว ปวดศีรษะ ปวดตามข้อบ้าง ส่วนภาวะเยื่อบุหัวใจและกล้ามเนื้ออักเสบเกิดขึ้นเพียง 30-50 ราย ต่อหนึ่งล้านโดสเท่านั้น
เช่นเดียวกับภูมิคุ้มกันของเด็กหลังได้รับวัคซีนก็พบว่า ขึ้นสูงไม่น้อยกว่าในผู้ใหญ่ นอกจากนี้ วัคซีนยังช่วยลดความรุนแรงจากการติดเชื้อโควิด หรือเมื่อติดเชื้อ อาการก็จะไม่หนัก ทำให้ไม่จำเป็นต้องนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลสูงถึง 90%
อย่างไรก็ตาม ไม่ได้มีเพียงแค่วัคซีนโควิด-19 เท่านั้นที่จำเป็นสำหรับเด็กๆ แต่ยังมีวัคซีนอีกหลายชนิดที่คุณพ่อคุณแม่สามารถพาลูกไปฉีดได้เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับลูกๆ ส่วนจะมีวัคซีนอะไรบ้างนั้น ตามพี่หมอมาได้เลยครับ 👇
วัคซีนที่แนะนำให้ฉีด หลังได้รับวัคซีนโควิดครบแล้ว
✅ สำหรับเด็กอายุ 12 ปี ขึ้นไป วัคซีนที่แนะนำให้ฉีด ได้แก่ วัคซีนไข้หวัดใหญ่ วัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก วัคซีนคอตีบ ไอกรน บาดทะยัก ถึงแม้วัคซีนเหล่านี้จะไม่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันโควิด-19 แต่ก็ช่วยป้องกันไม่ให้ติดหรือเป็นโรคต่างๆ ตามที่กล่าวมาได้ เพราะถ้าเจ็บป่วยขึ้นมา ร่างกายก็จะอ่อนแอ เกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ตามมา ส่งผลให้อาการแย่ลง และอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้
✅ สำหรับเด็กเล็กที่อายุไม่เกิน 2 ปี วัคซีนที่แนะนำให้ฉีด ได้แก่ วัคซีนไข้หวัดใหญ่ วัคซีนปอดอักเสบ เนื่องจากกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ยังไม่ได้รับวัคซีนโควิด-19 เพราะอายุยังไม่ถึงเกณฑ์ แต่คุณพ่อคุณแม่ก็ต้องสร้างเกราะป้องกันให้กับลูก เพื่อไม่ให้เจ็บป่วย หรือติดเชื้อไวรัสชนิดอื่นๆ ได้
ทั้งนี้ คุณพ่อคุณแม่สามารถพาลูกไปฉีดวัคซีนเหล่านี้ได้ หลังได้รับวัคซีนโควิด-19 ครบ 2 สัปดาห์ไปแล้ว หรือก่อนฉีดวัคซีนโควิด-19 เข็มแรก 2 สัปดาห์ สำหรับวัคซีนป้องกันพิษสุนัขบ้า 🐕 สามารถฉีดได้เลย โดยไม่ต้องเว้นระยะจากวัคซีนโควิด-19
นอกจากนี้ การตรวจสุขภาพประจำปี ก็เป็นอีกหนึ่งทางที่สามารถช่วยเช็กและประเมินได้ว่า ลูกๆ ของเรามีสุขภาพดีหรือไม่ หรือต้องเสริมภูมิคุ้มกันอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า ดังนั้น การตรวจสุขภาพจึงเป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน โดยเฉพาะเด็กที่อายุต่ำกว่า 2 ปี
ข้อควรปฏิบัติสำหรับคุณพ่อคุณแม่ เพื่อดูแลลูกๆ ในวันที่ยังต้องใช้ชีวิตร่วมกับโควิด
แม้ว่าคนส่วนใหญ่ (โดยเฉพาะผู้ใหญ่) จะได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 แล้ว แต่ก็ยังมีโอกาสที่จะติดเชื้อได้ เพียงแต่ความรุนแรงของโรคจะลดน้อยลง ดังนั้น เพื่อเป็นการป้องกันตัวเองและดูและลูกๆ ของเรา พี่หมอมีหลักปฏิบัติมาแนะนำ ดังนี้
การล้างมือ และการทำความสะอาดภายในบ้าน
🧼 สอนเด็กๆให้ล้างมือบ่อยๆ ด้วยน้ำสะอาดและสบู่อย่างถูกวิธี เป็นเวลาอย่างน้อย 20 วินาที หรือใช้แอลกอฮอล์ที่มีความเข้มข้นไม่ต่ำกว่า 70% ในการล้างมือ
🧼 ปฏิบัติตัวให้ถูกสุขลักษณะ เช่น เวลาไอหรือจาม ให้ปิดปากและจมูกด้วยการงอข้อศอก หรือใช้กระดาษทิชชู่ปิด จากนั้นจึงนำไปทิ้งในถังขยะ และล้างมือให้สะอาดทุกครั้ง
🧼 หลีกเลี่ยงการเอามือไปสัมผัสบริเวณตา จมูก และปาก โดยเฉพาะเวลาที่อยู่ข้างนอก
🧼 สอนให้เด็กๆล้างมือทันทีที่กลับเข้าบ้าน หลังการใช้ห้องน้ำ และก่อนรับประทานอาหาร หรือหยิบอะไรเข้าปาก
🧼 สำหรับคุณพ่อคุณแม่ ควรล้างมือหรืออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนที่จะเข้าไปจับหรือหอมลูก ทุกครั้งที่กลับมาจากข้างนอก
ทำความสะอาดและฆ่าเชื้อภายในบ้าน
· ควรใช้น้ำยาฆ่าเชื้อโรคหรือแอลกอฮอล์ที่มีความเข้มข้นไม่ต่ำกว่า 70% หรือน้ำยาที่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อได้ เช่น น้ำยาซักผ้าขาวที่มีส่วนผสมของ Sodium Hypochlorite โดยผสมกับน้ำในอัตราส่วนที่ถูกต้อง เช็ดทำความสะอาดบริเวณที่ต้องมีการสัมผัสบ่อยๆ หรืออยู่ร่วมกันเป็นประจำ เช่น ห้องนั่งเล่น โต๊ะกินข้าว ห้องน้ำ อ่างล้างมือ ลูกบิดประตู สวิตช์ไฟ โดยเฉพาะบริเวณที่เด็กต้องสัมผัสบ่อยๆ รวมถึงของเล่นชิ้นเล็กๆ ที่เด็กอาจเผลอหยิบเข้าปาก แต่ก็ต้องระวังไม่ให้มีน้ำยาทำความสะอาดหรือแอลกอฮอล์ตกค้างด้วยนะครับ
· ในกรณีที่จำเป็นต้องดูแลเด็กที่ติดเชื้อโควิด คุณพ่อคุณแม่ควรล้างมือทุกครั้งหลังจับสิ่งของที่เด็กใช้ และหลังเปลี่ยนผ้าอ้อมหรือผ้าปูเตียงของเด็ก เพื่อหลีกเลี่ยงการสัมผัสเชื้อ รวมถึงควรรักษาระยะห่าง และใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลาที่อยู่กับเด็ก
การเว้นระยะห่าง
· ให้เว้นระยะห่างจากผู้อื่นอย่างน้อย 1 – 2 เมตร โดยเฉพาะบุคคลที่ไม่ได้อยู่ในบ้านเดียวกัน
· กรณีที่มีเด็กคนอื่นมาที่บ้าน แนะนำให้เล่นกันนอกบ้าน และเว้นระยะห่าง
· หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมที่ต้องใช้ของเล่นหรืออุปกรณ์ร่วมกัน
การใส่หน้ากากอนามัย 😷
· แนะนำให้เด็กที่มีอายุ 2 ขวบขึ้นไป ใส่หน้ากากอนามัยทุกครั้งที่ต้องออกจากบ้าน หรือต้องอยู่ท่ามกลางคนอื่นที่ไม่ใช่คนในครอบครัว
· ไม่แนะนำให้เด็กอายุต่ำกว่า 2 ขวบ หรือเด็กที่มีปัญหาด้านการหายใจ รวมถึงเด็กที่ไม่สามารถถอดหน้ากากเองได้ ใส่หน้ากากอนามัย เนื่องจากระบบทางเดินหายใจของเด็กยังพัฒนาได้ไม่เต็มที่ ซึ่งอาจทำให้เด็กขาดออกซิเจนและเป็นอันตรายได้ ควรใช้การเว้นระยะห่างอย่างน้อย 2 เมตร หรือใช้ผ้าคลุมรถเข็นที่มีเด็กนอนอยู่แทน
เพราะไม่มีใครรู้ว่าโควิด-19 จะอยู่กับเราไปอีกนานเท่าไหร่ ดังนั้น การดูแลเรื่องความสะอาด การเว้นระยะห่างจากผู้อื่น รวมถึงการปฏิบัติตัวในยุค New normal ก็ยังคงต้องทำต่อไป เพื่อความปลอดภัยของตัวเราเองและคนที่เรารัก นอกจากนี้ อีกสิ่งหนึ่งที่คุณพ่อคุณแม่จะสอนลูกๆ ได้ก็คือ การเรียนรู้ที่จะอยู่กับสิ่งที่เกิดขึ้น รวมถึงการปรับตัว ปรับใจให้เท่าทันกับความเปลี่ยนแปลงของโลกใบนี้ เพื่อให้ทั้งเราและเด็กๆ สามารถใช้ชีวิตต่อไปได้อย่างมีความสุข 😷💉
วัคซีนเสริม เพิ่มภูมิสำหรับเด็ก (นอกจากวัคซีนโควิด-19)
ในปัจจุบัน เด็กที่มีอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไป ได้เริ่มทยอยเข้ารับการฉีดวัคซีน 💉 mRNA เพื่อป้องกันโรคโควิด-19 กันแล้ว ซึ่งวัคซีนชนิดนี้ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA) แล้วตั้งแต่วันที่ 10 พ.ค.ที่ผ่านมา
จากการศึกษาวิจัยในเด็กที่มีอายุ 12-18 ปี พบว่า วัคซีนที่ใช้อยู่มีประสิทธิภาพดี เช่นเดียวกับการใช้ในผู้ใหญ่ ดังนั้น FDA จึงอนุญาตให้ใช้ได้ โดยให้เริ่มจากเด็กที่อยู่ในกลุ่มโรคอ้วน โรคระบบทางเดินหายใจเรื้อรังและหอบหืด โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคไตเรื้อรังระยะ 5 โรคหลอดเลือดสมอง โรคมะเร็งที่เด็กที่ต้องรับเคมีบำบัด โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง เบาหวาน โรคทางพันธุกรรม ดาวน์ซินโดรม รวมถึงโรคทุพพลภาพทางระบบประสาทอย่างรุนแรง แล้วจึงตามมาด้วยกลุ่มเด็กที่มีสุขภาพดี
ในเรื่องผลข้างเคียงที่ผู้ปกครองส่วนใหญ่มักจะกังวลกัน ก็พบได้น้อยหรืออาจไม่พบเลย โดยอาจจะมีอาการไข้ หนาวสั่นในระยะ 1-3 วันหลังฉีด ปวดบวมบริเวณที่ฉีด ปวดเมื่อยตามเนื้อตัว ปวดศีรษะ ปวดตามข้อบ้าง ส่วนภาวะเยื่อบุหัวใจและกล้ามเนื้ออักเสบเกิดขึ้นเพียง 30-50 ราย ต่อหนึ่งล้านโดสเท่านั้น
เช่นเดียวกับภูมิคุ้มกันของเด็กหลังได้รับวัคซีนก็พบว่า ขึ้นสูงไม่น้อยกว่าในผู้ใหญ่ นอกจากนี้ วัคซีนยังช่วยลดความรุนแรงจากการติดเชื้อโควิด หรือเมื่อติดเชื้อ อาการก็จะไม่หนัก ทำให้ไม่จำเป็นต้องนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลสูงถึง 90%
อย่างไรก็ตาม ไม่ได้มีเพียงแค่วัคซีนโควิด-19 เท่านั้นที่จำเป็นสำหรับเด็กๆ แต่ยังมีวัคซีนอีกหลายชนิดที่คุณพ่อคุณแม่สามารถพาลูกไปฉีดได้เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับลูกๆ ส่วนจะมีวัคซีนอะไรบ้างนั้น ตามพี่หมอมาได้เลยครับ 👇
✅ สำหรับเด็กอายุ 12 ปี ขึ้นไป วัคซีนที่แนะนำให้ฉีด ได้แก่ วัคซีนไข้หวัดใหญ่ วัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก วัคซีนคอตีบ ไอกรน บาดทะยัก ถึงแม้วัคซีนเหล่านี้จะไม่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันโควิด-19 แต่ก็ช่วยป้องกันไม่ให้ติดหรือเป็นโรคต่างๆ ตามที่กล่าวมาได้ เพราะถ้าเจ็บป่วยขึ้นมา ร่างกายก็จะอ่อนแอ เกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ตามมา ส่งผลให้อาการแย่ลง และอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้
ทั้งนี้ คุณพ่อคุณแม่สามารถพาลูกไปฉีดวัคซีนเหล่านี้ได้ หลังได้รับวัคซีนโควิด-19 ครบ 2 สัปดาห์ไปแล้ว หรือก่อนฉีดวัคซีนโควิด-19 เข็มแรก 2 สัปดาห์ สำหรับวัคซีนป้องกันพิษสุนัขบ้า 🐕 สามารถฉีดได้เลย โดยไม่ต้องเว้นระยะจากวัคซีนโควิด-19
นอกจากนี้ การตรวจสุขภาพประจำปี ก็เป็นอีกหนึ่งทางที่สามารถช่วยเช็กและประเมินได้ว่า ลูกๆ ของเรามีสุขภาพดีหรือไม่ หรือต้องเสริมภูมิคุ้มกันอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า ดังนั้น การตรวจสุขภาพจึงเป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน โดยเฉพาะเด็กที่อายุต่ำกว่า 2 ปี
แม้ว่าคนส่วนใหญ่ (โดยเฉพาะผู้ใหญ่) จะได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 แล้ว แต่ก็ยังมีโอกาสที่จะติดเชื้อได้ เพียงแต่ความรุนแรงของโรคจะลดน้อยลง ดังนั้น เพื่อเป็นการป้องกันตัวเองและดูและลูกๆ ของเรา พี่หมอมีหลักปฏิบัติมาแนะนำ ดังนี้
การล้างมือ และการทำความสะอาดภายในบ้าน
🧼 สอนเด็กๆให้ล้างมือบ่อยๆ ด้วยน้ำสะอาดและสบู่อย่างถูกวิธี เป็นเวลาอย่างน้อย 20 วินาที หรือใช้แอลกอฮอล์ที่มีความเข้มข้นไม่ต่ำกว่า 70% ในการล้างมือ
🧼 ปฏิบัติตัวให้ถูกสุขลักษณะ เช่น เวลาไอหรือจาม ให้ปิดปากและจมูกด้วยการงอข้อศอก หรือใช้กระดาษทิชชู่ปิด จากนั้นจึงนำไปทิ้งในถังขยะ และล้างมือให้สะอาดทุกครั้ง
🧼 หลีกเลี่ยงการเอามือไปสัมผัสบริเวณตา จมูก และปาก โดยเฉพาะเวลาที่อยู่ข้างนอก
🧼 สอนให้เด็กๆล้างมือทันทีที่กลับเข้าบ้าน หลังการใช้ห้องน้ำ และก่อนรับประทานอาหาร หรือหยิบอะไรเข้าปาก
🧼 สำหรับคุณพ่อคุณแม่ ควรล้างมือหรืออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนที่จะเข้าไปจับหรือหอมลูก ทุกครั้งที่กลับมาจากข้างนอก
ทำความสะอาดและฆ่าเชื้อภายในบ้าน
· ควรใช้น้ำยาฆ่าเชื้อโรคหรือแอลกอฮอล์ที่มีความเข้มข้นไม่ต่ำกว่า 70% หรือน้ำยาที่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อได้ เช่น น้ำยาซักผ้าขาวที่มีส่วนผสมของ Sodium Hypochlorite โดยผสมกับน้ำในอัตราส่วนที่ถูกต้อง เช็ดทำความสะอาดบริเวณที่ต้องมีการสัมผัสบ่อยๆ หรืออยู่ร่วมกันเป็นประจำ เช่น ห้องนั่งเล่น โต๊ะกินข้าว ห้องน้ำ อ่างล้างมือ ลูกบิดประตู สวิตช์ไฟ โดยเฉพาะบริเวณที่เด็กต้องสัมผัสบ่อยๆ รวมถึงของเล่นชิ้นเล็กๆ ที่เด็กอาจเผลอหยิบเข้าปาก แต่ก็ต้องระวังไม่ให้มีน้ำยาทำความสะอาดหรือแอลกอฮอล์ตกค้างด้วยนะครับ
· ในกรณีที่จำเป็นต้องดูแลเด็กที่ติดเชื้อโควิด คุณพ่อคุณแม่ควรล้างมือทุกครั้งหลังจับสิ่งของที่เด็กใช้ และหลังเปลี่ยนผ้าอ้อมหรือผ้าปูเตียงของเด็ก เพื่อหลีกเลี่ยงการสัมผัสเชื้อ รวมถึงควรรักษาระยะห่าง และใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลาที่อยู่กับเด็ก
การเว้นระยะห่าง
· ให้เว้นระยะห่างจากผู้อื่นอย่างน้อย 1 – 2 เมตร โดยเฉพาะบุคคลที่ไม่ได้อยู่ในบ้านเดียวกัน
· กรณีที่มีเด็กคนอื่นมาที่บ้าน แนะนำให้เล่นกันนอกบ้าน และเว้นระยะห่าง
· หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมที่ต้องใช้ของเล่นหรืออุปกรณ์ร่วมกัน
การใส่หน้ากากอนามัย 😷
· แนะนำให้เด็กที่มีอายุ 2 ขวบขึ้นไป ใส่หน้ากากอนามัยทุกครั้งที่ต้องออกจากบ้าน หรือต้องอยู่ท่ามกลางคนอื่นที่ไม่ใช่คนในครอบครัว
· ไม่แนะนำให้เด็กอายุต่ำกว่า 2 ขวบ หรือเด็กที่มีปัญหาด้านการหายใจ รวมถึงเด็กที่ไม่สามารถถอดหน้ากากเองได้ ใส่หน้ากากอนามัย เนื่องจากระบบทางเดินหายใจของเด็กยังพัฒนาได้ไม่เต็มที่ ซึ่งอาจทำให้เด็กขาดออกซิเจนและเป็นอันตรายได้ ควรใช้การเว้นระยะห่างอย่างน้อย 2 เมตร หรือใช้ผ้าคลุมรถเข็นที่มีเด็กนอนอยู่แทน
เพราะไม่มีใครรู้ว่าโควิด-19 จะอยู่กับเราไปอีกนานเท่าไหร่ ดังนั้น การดูแลเรื่องความสะอาด การเว้นระยะห่างจากผู้อื่น รวมถึงการปฏิบัติตัวในยุค New normal ก็ยังคงต้องทำต่อไป เพื่อความปลอดภัยของตัวเราเองและคนที่เรารัก นอกจากนี้ อีกสิ่งหนึ่งที่คุณพ่อคุณแม่จะสอนลูกๆ ได้ก็คือ การเรียนรู้ที่จะอยู่กับสิ่งที่เกิดขึ้น รวมถึงการปรับตัว ปรับใจให้เท่าทันกับความเปลี่ยนแปลงของโลกใบนี้ เพื่อให้ทั้งเราและเด็กๆ สามารถใช้ชีวิตต่อไปได้อย่างมีความสุข 😷💉