เรื่องสั้นแปล : 28 Letters

28 Letters
 
A gem can not be polished without friction, nor man perfected without trials.
 
อัญมณีไม่อาจเงางามได้โดยปราศจากการเจียรไนย และคนจะไม่สมบูรณ์แบบหากไม่ผ่านความยากลำบาก 
 
Sejong swept his books off the shelf. Rain pelted the world outside. The king opened one of his many works, the spine of it splitting under his force, and read off a page. Nongsa jikseol, methods of cultivation in agriculture. A guidebook to farming in Korea’s geography. Words that could keep his people from famine.
 
พระเจ้าเซจงหอบหนังสือลงจากชั้นวาง ข้างนอกฝนยังไม่หยุดตก พระองค์เลือกงานเขียนชิ้นหนึ่งออกมาเปิดอ่าน Nongsa jikseol คือหนังสือทางการเกษตร คู่มือการทำฟาร์มในภูมิศาสตร์ของเกาหลี หนังสือที่จะช่วยให้ผู้คนของพระองค์พ้นจากความอดอยาก 
 
He threw it into the rain. 
 
เขาโยนมันออกนอกหน้าต่าง 
 
It splashed against the mud-coated field, water distorting the ink. A second book followed, sliding against the ground, into a puddle. A third. A fourth. They piled in the courtyard, works he had commissioned to better Korea’s people. To educate the illiterate.
 
หนังสือเปรอะเปลื้อนโคลนบนพิ้นดิน คราบหมึกเลอะเลือนตามสายฝนที่ตกกระทบ หนังสืออีกเล่มก็ถูกเขวี้ยงออกมาไถลไปตามพื้นก่อนจะตกลงไปในแอ่งน้ำ แล้วอีกเล่ม แล้วก็อีกเล่ม ทั้งหมดกองที่สนาม แผนงานที่หวังให้ชีวิตคนเกาหลีดีขึ้น เพื่อจะให้ความรู้แก่คนที่ไม่รู้หนังสือ
 
Worthless.
 
ไม่มีประโยชน์
 
What good is knowledge that can not be read?
 
จะมีประโยชน์อะไรหากมันไม่ถูกอ่าน
 
Music echoed inside the palace. String instruments, a wavering bamboo flute, the quick beat of a drum. A compliment to the heavy rain. On his way to his chambers, Sejong passed a woman humming along. She sat on the wooden floor with a script out in front of her, writing out poetry, stopping to bow.
 
ในวังของพระองค์ยังมีเสียงเพลงก้องดัง เครื่องสายเคล้าเสียงสั่นไหวขลุ่ยไผ่ เสียงกลองเร่งเร็วขึ้นผสานรับกับจังหวะสายฝนดัง ในระหว่างทางที่เซจองเดินกลับห้อง เขาเดินผ่านหญิงสาวที่ฮัมเพลงไปด้วย เธอนั่งพื้นเขียนบทกวีลงในกระดาษ ก่อนนางจะหยุดคำนับ
 
The king raised a hand in dismissal. The woman’s poems would do nothing for their culture, written in Chinese characters. A waste of paper—none other than the privileged could read it. The words would have no meaning for the common people.
 
กษัตริย์ใช้มือป้องไปที่เธอ บทกวีของเธอจะไม่ส่งผลอะไรเลยกับวัฒนธรรมของเขาซึ่งเป็นอักษรจีน กระดาษไร้ประโยชน์—มีแต่คนในวังที่อ่านมันออก ถ้อยคำคงหมดความหมายสำหรับคนทั่วไป
 
He stepped into his chambers. Lamps glowed with dim flames, and rain tapped against the roof. His wife stood, her smile fading at the sight of seeing the king so tired. She hurried over and guided him to sit. Her dress, red and gold, flowed behind her.
 
เซจองก้าวเข้าไปในห้อง ไฟตะเกียงส่องแสงสลัวพร้อมเสียงฝนกระทบหลังคา ภรรยาของเขาแสดงสีหน้าเจื่อนเมื่อเห็นความเหน็ดเหนื่อยของพระราชา เธอเร่งเร้าให้สามีมานั่งข้าง แสงแดงทองจากอาภรณ์ของหญิงสาวส่องแสงนวลตา
 
“What worries you, my husband?”
 
“ท่านพี่เป็นอะไรคะ”
 
Sejong exhaled. He considered himself a scholar, yet his kingdom could not read or write. 
 
เซองจองถอนหายใจ พลางคิดว่าตัวเองเป็นถึงนักพัฒนา แต่ทว่าคนในอาณาจักรของเขาอ่านเขียนไม่ได้เลย 
 
“There are voices I will never hear,” he said. “Farmers who don’t have the wealth or status to learn to read. Children who cannot grow into scholars, and workers who can’t write their concerns. My people lack the gift of education, and I lack the means to educate them.”
 
“มีเสียงที่ฉันไม่ได้ยิน” เขาพูด “ชาวนายากจนจนไม่มีเวลาฝึกอ่านหนังสือได้ เด็ก ๆ ล้วนเติบโตโดยขาดความรู้ คนงานไม่อาจส่งสาส์นความเดือดร้อน คนของฉันขาดโอกาสในการเรียนรู้ และฉันไม่ได้ยื่นโอกาสนั้นให้พวกเขา”
 
The queen took his hand. A soft, calming touch.
 
พระราชินีกุมมือเขาอย่างนุ่มนวล 
 
“And what shall you do?” she asked.
 
ก่อนจะพูด “แล้วท่านพี่จะทำอย่างไร” 
 
He ran his fingers through his beard. Sejong took time to think, then turned his head to the queen.
 
เซจองใช้เวลาครุ่นคิดพลางลูบเคราไปพร้อม ๆ กัน ก่อนจะหันไปทางภรรยา
 
“My people need a new system of writing, and I will craft one for them myself. A script a wise man can acquaint himself with before the morning is over, and a fool can learn in the space of ten days.”
 
“คนของเราต้องการรูปแบบการเขียนใหม่ ฉันจะสร้างสิ่งนั้นเอง ระบบการเขียนที่นักปราชญ์จะเข้าใจได้ก่อนพ้นรุ่งสาง แม้คนทั่วไปยังเรียนรู้ได้ภายในแค่ 10 วัน”
 
At dawn, Sejong sat alone in a common room. Sunlight shone through the open windows, ethereal motes of dust dancing in the light. Scrolls, ink, and books surrounded him. Panels of artwork—birds and flowers—enveloped the room. Sejong spent the morning reading of phonetics, of alphabets with fifty letters, and others with seventy. 
 
ในตอนเช้าเซจงนั่งอยู่คนเดียวในห้องรับแขก แสงแดดลอดช่องผ่านหน้าต่างกระทบเศษฝุ่นลอยฟุ้งในอากาศ เขานั่งอยู่ท่ามกลางม้วนกระดาษ หมึก และหนังสือ ห้องประดับประดาไปด้วยรูปนกและดอกไม้ เซจองศึกษาเรื่องการจำแนกเสียงพูดสำหรับ 50  ตัวอักษร และเสียงอื่น ๆ อีก 70 เสียง
 
Too many relied on complex lettering.
 
อักษรที่เขียนนี้ซับซ้อนเกินไป
 
He would keep his simple for the busiest of men.
 
เขาต้องทำให้ง่ายแม้ในตัวที่ยากที่สุด
 
Around midday, he painted hundreds of symbols. He started with one stroke of the brush, ㄱ, ㄴ,ㅣ. Two strokes for ㄷ, ㅋ, ㅅ. Three for ㅎ,ㄹ,ㅈ. Never going above four. He hung papers upon the walls, blocking the sunlight. He crossed out any he deemed too complicated.
 
ประมาณเที่ยงวัน เขาวาดสัญลักษณ์นับร้อย เริ่มต้นด้วยการลากเส้นเพียงหนึ่งเส้น ㄱ, ㄴ,ㅣสองเส้นสำหรับ ㄷ, ㅋ, ㅅ สามเส้นสำหรับ ㅎ,ㄹ,ㅈจะไม่ลากถึง 4 เส้นเลย เซจองแขวนกระดาษบนกำแพง แสงแดดทาบผ่านกระดาษขับเน้นให้เห็นเส้นหมึก เขาขีดฆ่าสิ่งที่เห็นว่าซับซ้อนเกินไป
 
Servants left food outside the door as he worked.
 
บ่าวไพร่นำอาหารมาวางไว้นอกประตู
 
By dusk, he walked through the courtyard, stars glistening above. Sejong spoke words to himself. He singled out their noises and pointed out the vowels. Oak, oath, oasis. Yam, yarn, yang. Water, wasp, wary. He pressed fingers into his mouth, feeling his teeth and tongue move at the pronunciations. His lips separated for a shh noise, but closed for ph. Some required more air, others less.
 
พอตกค่ำเขาไปที่สนาม ดวงดาวส่องประกายอยู่เบื้องบน เซจองลองพูดคำเพื่อแยกแยะเสียงและสระ ‘โอ๊ค’ ‘โอ๊ท’ ‘โอซิส’ ‘แยม’ ‘ยาน’ ‘ยาง’ ‘วอเตอ’ ‘วอส’ ‘เวรี่’ เขาทาบนิ้วไปที่ปาก สัมผัสถึงฟันและลิ้นที่ขยับตามการออกเสียง ริมฝีปากแยกออกจากกันเมื่อออกเสียง ‘เชส’ แต่จะปิดเมื่อออกเสียง ‘เผอะ’ แต่ละเสียงใช้ลมปากมากน้อยต่างกัน
 
The days passed, and a concerned adviser sought him out.
 
ผ่านไปวันแล้ววันเล่า เหล่ากุนซือมาหาเขา
 
“The dynasty will not agree with your choice,” the adviser said. “Knowing Chinese is what puts them above the common man. Your choice to create this script will cause an uproar, your majesty. It could divide our kingdom.”
 
“ราชวงค์จะไม่เห็นด้วยกับแนวคิดนี้ การรู้ภาษาจีนทำให้คนในราชสำนักแตกต่างจากคนทั่วไป หากพระองค์ยังคงใช้ระบบการเขียนเหล่านี้จะทำให้เกิดความโกลาหล ฝ่าบาท” กุนซือพูด “นั่นอาจทำให้อาณาจักรของเราแตกแยกได้”
 
“Let it be so,” Sejong said, looking up from his script, “as I will no longer be cut off from my people. Understand it is not knowledge that ruins the world; it falls to those pointing fingers for selfish gain.”
 
“อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิดเถอะ” เซจองพูดพลางมองไปที่เหล่าตัวอักษร “ฉันจะไม่ทอดทิ้งคนของฉันอีกต่อไป ความรู้จะไม่มีวันทำลายการดำรงอยู่ของผู้คน แต่เป็นการเห็นแต่ประโยชน์ส่วนตนมากเกินไปต่างหากล่ะ”
 
Dozens of sheets lined the walls. Ink stained his hands. Crumpled-up papers littered the room, drafts he deemed failures, too complex. His wife told the council members he had fallen ill, and he needed time to recover as he crafted his script.
 
กระดาษหลายสิบแผ่นแปะบนกำแพง คราบน้ำหมึกเปรอะมือ กระดาษหลายแผ่นที่ใช้ไม่ได้เพราะตัวอักษรดูยุ่งเหยิงถูกเซจองขยำทิ้งเกลื่อนห้อง ภรรยาบอกเหล่ากุนซือว่าเขาป่วย ต้องการเวลาพักผ่อน แต่แท้จริงแล้วเซจองประดิษฐ์ตัวอักษร
 
Sejong spoke until his throat grew sore, attaching noises like ‘ch’ and ‘tah’ to some symbols while discarding others entirely. He kept his work common and crude, strong and tough, easy and efficient.
 
เซจองออกเสียงจนเจ็บคอ พยายามเชื่อมเสียง ‘เช’ และ ‘ทา’ เข้ากับสัญลักษณ์เท่าที่จำเป็น ทำให้ดูสามัญเป็นธรรมชาติ มั่นคงหนักแน่น ง่ายและใช้งานได้จริง
 
He had to write letters that would last a thousand years. 
 
เขาได้ตกแต่งตัวอักษรที่จะได้งานจริงมาถึงทุกวันนี้
 
The vowels remained as lines and dots. A silent ‘ㅇ’ shape came before each to signify an open mouth. Consonants followed suit. ‘ㄴ’, an ‘n’ sound, signified the tongue touching the back of one’s teeth. ‘ㄱ’, a ‘kuh’ noise, showed a raised tongue blocking air from one’s throat.
 
สระยังคงเป็นเส้นและจุด รูปร่าง 'ㅇ' จะไม่ออกเสียง จะวางไว้ข้างหน้าหมายถึงอ้าปากค้าง พยัญชนะต่อมาจะเป็น ‘ㄴ’ เสียง ‘อึน’ ทำให้ลิ้นสัมผัสด้านหลังของฟัน ‘ㄱ’ เสียง ‘คู’ ลิ้นจะยกขึ้นเพื่อปิดลมที่มาจากคอ 
 
Lingual, dental, molar and glottal sounds made up for his script of twenty-eight letters. Seventeen consonants and eleven vowels, blocked together for organization, compared to the thousands needed for Chinese.
 
เกี่ยวกับลิ้น ฟัน ฟันกราม และเส้นเสียงทำให้เกิดระบบการเขียนประกอบกันเป็น 28 ตัวอักษร พยัญชนะสิบเจ็ดตัวและสระสิบเอ็ดตัว เมื่อเอามาจัดเรียงผสมกันจะเทียบเท่ากับอักษรจีนนับพันตัว
 
He wrote short sentences from top to bottom. Candles melted down beside him. Incense burned, releasing the scent of sandalwood throughout his chambers, and Sejong sat cross-legged on the floor. Weeks of work came down to reading aloud.
 
เขาเขียนประโยคสั้น ๆ จากบนลงล่าง เครื่องหอมกลิ่นไม้จันทร์ถูกเผาโดยเทียนตลบอบอวนทั่วห้อง เซจองนั่งลงกับพื้นเพื่อทดลองออกเสียงนับสัปดาห์
 
남자는 인내했다 - The man persevered. 
 
남자는 인내했다 – ชายคนนั้นอดทน
 
The language flowed off his tongue like water.
 
ถ้อยคำพรั่งพรูออกจากปากเขาเหมือนสายน้ำไหล
 
He presented his script to the council at first light. Two charts, one for consonants and the other for vowels, each letter with its phonetic equal written next to it. Easy to follow stroke orders. He sat upon his throne, royals whispering before him.
 
เขานำเสนอระบบการเขียนในสภาเป็นครั้งแรก มีสองตาราง ตารางแรกสำหรับพยัญชนะ ตารางที่สองสำหรับสระ โดยแต่ละตัวอักษรจะออกเสียงเท่า ๆ กันเพื่อง่ายต่อการเขียนตาม เซจองนั่งบนบัลลังก์ เหล่าราชวงศ์ต่างพรึมพรัม
แสดงความคิดเห็น
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ  แต่งเรื่องสั้น เรื่องสั้นภาษาอังกฤษ
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่