+ หลุยส์ ปาสเตอร์ (Louis Pasteur)
นักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่
(ค.ศ. 1822 – 1895)
วันหนึ่งๆ นั้นช่างยาวนานเหลือเกิน สำหรับผู้คนที่ยากจนที่อาศัยอยู่ตามหมู่บ้านเชิงเขาชื่อ ยูรา (Jura) ในประเทศฝรั่งเศส ลำพังแต่เสียงเห่าหอนของสุนัขป่าบ้าคลั่งที่ดังมาแต่ไกล ก็เพียงพอที่จะสะกดให้ทุกคนรีบวิ่งเข้าบ้าน ปิดประตูลงกลอน จะโผล่ออกมาอีกครั้งก็ต่อเมื่อเสียงนั้นค่อยๆ จางหายไปในป่าทึบแล้ว
ช่างเป็นเหตุบังเอิญอะไรเช่นนั้น ที่มีชายฝรั่งเศสตระกูลต่ำต้อยคนหนึ่งตั้งแต่วัยเด็กมาแล้ว ก็ได้ยินเสียงเห่าหอนของสุนัขป่า และก็ต้องคอยวิ่งหนีเข้าบ้าน เช่นเดียวกับคนอื่นๆ ในหมู่บ้านเดียวกัน อย่างไรก็ดีทั้งๆ ที่พยายามกักตัวเองอยู่แต่ภายในบริเวณลานตากหนังสัตว์ของบิดาซึ่งมีอาชีพเป็นช่างฟอกหนัง แต่เขาก็ได้กลายเป็นนักค้นพบผู้ยิ่งใหญ่ สามารถช่วยชีวิตมนุษย์นับแสนนับล้านคน มิให้ตกเป็นเหยื่อของโรคพิษสุนัขบ้า ที่ในสมัยนั้นถือว่า ถ้าใครถูกพิษของมันเข้าแล้ว ก็เท่ากับต้องคำพิพากษาให้ประหารชีวิต
อาการเช่นนี้ มิใช่เกิดเฉพาะแต่ในประเทศฝรั่งเศสแห่งเดียว... ทุกแห่งที่มีสุนัข ไม่ว่าจะเป็นสุนัขป่าหรือสุนัขบ้าน เมื่อมันเกิดเป็นบ้าขึ้นมา เที่ยวกัดใครต่อใคร ทุกคนที่ถูกพิษของมัน จะไม่มีทางรอด... นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลก ต่างตระหนักถึงพิษภัยร้ายกาจนี้ และพยายามค้นคว้าเพื่อหาทางเอาชนะโรคร้ายนี้ให้จงได้
ในบรรดานักวิทยาศาสตร์ ที่ศึกษาค้นคว้านี้ก็มีหลุยส์ ปาสเตอร์ (Louis Pasteur) รวมอยู่ด้วย ท่านเป็นนักบัคเตรีวิทยา ท่านได้ค้นพบยาที่รักษาโรคพิษสุนัขบ้าได้ชะงัดว่าเพื่อน. ที่คลินิกท่านที่กรุงปารีส ในช่วง 12 เดือนของปี 1886 มีคนไข้ที่ถูกพิษสุนัขบ้ามาขอรับการรักษา 2,671 ราย. มีเพียง 25 รายเท่านั้นที่เสียชีวิต... นอกนั้นได้รับการรักษาให้หายทั้งหมดเรียกว่าหายกว่า 99% ในระยะต่อๆ มา หลังจากที่ได้มีการปรับปรุงคุณภาพของยาให้ดีขึ้น เปอร์เซ็นต์การหายจากโรคก็ยิ่งเพิ่มสูงขึ้นกว่านี้อีก... ชื่อเสียงของท่านจึงขจรขจายไปยังประเทศต่างๆ
แผนการรักษาของท่านได้นำไปปฏิบัติตามประเทศต่างๆ และเป็นที่ยอมรับกันในวงการแพทย์ว่าเป็นการรักษาโรคพิษสุนัขบ้าที่ได้ผลชะงัดที่สุด ผู้ป่วยบางคนที่มีฐานะการเงินดี ไม่ว่าจะอยู่ห่างไกลเพียงไร ก็ยังอุตส่าห์ดั้นด้นมาให้ท่านปาสเตอร์รักษาดังเช่น เยาวชนอเมริกัน 4 คน อยู่ถึงนิวยอร์ก ยังอุตส่าห์มาให้ท่านปาสเตอร์รักษา... เพียงไม่กี่วัน ก็หายเป็นปรกติ ยิ้มกลับบ้านได้
นอกจากค้นพบยาแก้โรคพิษสุนัขบ้าแล้วท่านปาสเตอร์ยังค้นพบว่าความร้อนสามารถฆ่าจุลินทรีย์ได้... นักวิทยาศาสตร์จึงได้นำเอาความรู้ไปใช้ ก่อให้เกิดคุณประโยชน์มหาศาลแก่วงการแพทย์ และนักวิทยาศาสตร์เรียกวิธีการฆ่าเชื้อแบบนี้ในภาษาอังกฤษว่า “พาสเจอไรซ์” (Pasteurize) คือใช้ชื่อของท่านมาทับศัพท์นั่นเอง... วิทยาการนี้เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของเราอย่างใกล้ชิด เช่นนมสดที่รีดจากแม่โคนมใหม่ๆ ต้องผ่านปาสเจอไร้ส์ คือผ่านความร้อนที่อุณภูมิหนึ่ง ชั่วระยะเวลาหนึ่งเพื่อฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ นมสดจึงจะเก็บไว้ได้นานไม่เสีย
ในสมัยท่านปาสเตอร์ กสิกรเลี้ยงไหมทางภาคใต้ฝรั่งเศส ต้องประสบปัญหากับโรคระบาดชนิดหนึ่งที่เกิดกับตัวไหม ทำให้ลำตัวเป็นจุดๆ เรียกว่า โรคเพบริน (Pebrine) และตายไปในที่สุด อุตสาหกรรมไหมได้รับการกระทบกระเทือนอย่างหนัก... ท่านปาสเตอร์ใช้เวลาศึกษาค้นคว้าอยู่ถึง 5 ปี จึงพบยาที่ใช้ปราบโรคเปบรีนได้ กสิกรเลี้ยงไหมได้รอดพ้น จากความหายนะก็โดยอาศัยท่านปาสเตอร์ผู้นี้
ทุกวันนี้ ทั่วโลกยกย่องหลุยส์ปาสเตอร์ ในฐานะผู้ทำคุณประโยชน์แก่สาธารณชนแต่มีอยู่สิ่งหนึ่งทุกคนมักจะมองข้ามเสีย คือความศรัทธาที่ท่านมีต่อบิดาของท่าน ในฐานะที่บิดาของท่านมีความเชื่อในพระเจ้าอย่างแรงกล้า ตัวท่านเองก็ได้รับเอาความเชื่อนั้นเป็นมรดกตกทอดมาด้วย ในความเปรื่องปราดของท่าน ท่านมองเห็นภาพพระผู้สร้างสะท้อนอยู่ในทุกสิ่งที่อยู่รอบกายท่าน และท่านก็อดแปลกใจไม่ได้ว่าทำไมนักวิทยาศาสตร์รุ่นราวคราวเดียวกับท่านหลายคนจึงมองไม่เห็นสัจธรรมข้อนี้
+ บิดาของหลุยส์ ปาสเตอร์ (Louis Pasteur)
จีน-โยเซฟ ปาสเตอร์ (Jean-Joseph Pasteur) บิดาของท่านนั้นมีฐานะยากจน ประกอบอาชีพเป็นนักฟอกหนัง แต่ก็มีความศรัทธาแก่กล้าในพระศาสนาคาทอลิกเป็นอย่างยิ่ง และได้ถ่ายทอดความศรัทธานั้นให้แก่ลูกชายอย่างครบถ้วน หลุยส์ปาสเตอร์ สมัยเมื่อเป็นเด็กๆ ชอบวาดภาพต่างๆ ไว้มาก... วันดีคืนดีโยเซฟ ปาสเตอร์ ผู้เป็นพ่อมักจะเอาภาพเหล่านั้นออกมาอวดเพื่อนๆ... ที่แปลกก็คือทุกภาพจะต้องมีรูปกางเขนติดอยู่ อันเป็นฝีมือของปาสเตอร์ผู้พ่อ... ปาสเตอร์ผู้ลูกก็ยอมรับ... ถึงกับเล่าไว้ในจดหมายที่เขียนถึงภรรยาว่า ส่วนที่สวยที่สุดของภาพวาดเหล่านั้น ก็คือภาพกางเขนนั่นเอง
เมื่อบิดาสุดที่รักตายไปในปี 1865 บุตรก็มีความศรัทธามาก ตลอดเวลา 30 ปี หลังจากนั้น บุตรไม่เคยลืมบิดาเลยยังคงเฝ้าระลึกถึง อธิษฐานภาวนา และทำบุญขอมิซซษอุทิศให้บิดาตลอดเวลา ท่านสำนึกเสมอว่าตอนท่านเป็นเด็กเป็นบิดาเองที่คอยกีดกันมิให้ท่านคลุกคลีกับเพื่อนที่ไม่ดี , หัดให้ท่านขยันขันแข็งในการทำงานและมีความซื่อสัตย์สุจริตอย่างไม่มีที่ติ , มีความเชื่อมั่นในพระเป็นเจ้า และท่านก็ปฏิบัติอย่างครบถ้วน
ท่านเองคือ 1ใน นักวิทยาศาสตร์ ที่ทำให้เหล่านักนิยมทฤษฎีที่เชื่อว่าสิ่งมีชีวิตเกิดได้เอง รวมทั้งผู้นิยมชาร์ล ดาร์วิน ต้องกลับไปคิดทบทวนใหม่ เพราะท่านได้ทำการทดลองพิสูจน์ว่า สิ่งมีชีวิต ไม่สามารถเกิดขึ้นเองได้ ในสมัยนั้นผู้นิยมทฤษฎีวิวัฒฒนาการของ ชาร์ล ดาวิน มักอ้างว่าสิ่งมีชีวิตเกิดเองได้ไม่จำเป็นต้องมีพระเจ้า เช่นถ้าเราทิ้งเนื้อไว้เฉยๆ จะเกิดหนอนขึ้นมา แปลว่าหนอน(สิ่งมีชีวิต) เกิดจากก้อนเนื้อ(ไม่มีชีวิต) ได้ ถ้าหากมีอาหาร และมีอุณหภูมิเหมาะสม แต่50ปีต่อมา หลุยส์ ปาสเตอร์ ก็ได้พิสูจน์ โดยการเก็บเนื้อ2ชิ้น ชิ้นหนึ่งวางทิ้งไว้ ชิ้นหนึ่งเก็บไว้ในที่ปิดมิดชิด ปรากฎว่าเนื้อที่เก็บในครอบแก้วอย่างไรก็ไม่มีทางเกิดหนอน ท่านอธิบายว่าไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ เกิดเองได้ หนอนนั้น เกิดจากแมลงวันที่มาตอมชิ้นเนื้อแล้ววางไข่ไว้ต่างหาก
อุปกรณ์ที่ท่านใช้สมัยมีชีวิต
+ “ลุงยังเชื่อสิ่งที่ถืออยู่ในมือหรือ?
ท่านปาสเตอร์แม้ว่าตอนนั้น จะมีชื่อเสียงโด่งดังมากแล้ว แต่ท่านก็ยังคงเป็นคนสุภาพถ่อมตน เจริญชีวิตแบบเรียบง่าย มีเรื่องเล่าว่า ครั้งหนึ่งท่านกลับจากการประชุมนักวิทยาศาสตร์ครั้งสำคัญที่กรุงปารีส มีนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงจากทั่วโลกมาร่วมประชุม... เมื่อเสร็จสิ้นการประชุมแล้วต่างก็แยกย้ายกันกลับบ้าน... ผู้เข้าร่วมประชุมส่วนใหญ่จะมาในมาดใหม่ๆ ทั้งสิ้น ไปมาโดยมีรถยนต์คันงามรับส่ง
แต่สำหรับท่านปาสเตอร์แล้วท่านโดยสารรถไฟชั้นธรรมดา ขณะมากลางทาง พบเด็กหนุ่มคนหนึ่งท่าทางเป็นคนฉลาดปราดเปรียวและหยิ่งผยองและถูกลัทธิอเทวนิยมล้างสมอง เมื่อเห็นท่านสุภาพบุรุษสูงอายุ น่าเคารพนั่งอยู่คนเดียว นัยน์ตามองออกไปทางหน้าต่าง มือขวาถือสายประคำ เด็กหนุ่มคนนั้นก็ปราดเข้ามาทักทายพลางแนะนำตัวเองเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย พร้อมกับกล่าวอย่างเยาะเย้ยว่า
“ลุงยังเชื่อสิ่งที่ถืออยู่ในมือหรือ?”
ท่านปาสเตอร์ไม่ตอบว่ากระไร ส่วนเด็กหนุ่มยังไม่ยอมแพ้ คงเซ้าซี้ชวนท่านคุยเละแจ้งความประสงค์อยากจะรู้จักชื่อเสียงเรียงนามของท่าน
ท่านปาสเตอร์อดทนไม่ได้ก็จำใจหยิบนามบัตรขึ้นมาใบหนึ่งส่งให้เด็กหนุ่มคนนั้น... พอเห็นชื่อ “หลุยส์ ปาสเตอร์” เท่านั้น ถึงกับหน้าถอดสีละล่ำละลักกล่าวคำขอโทษและรีบขอตัวจากไป
+ ถึงแก่กรรม
หลุยส์ ปาสเตอร์ ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 28 กันยายน 1895 ในมือยังคงถือสายประคำอยู่ ท่ามกลางการห้อมล้อมของสมาชิกในครอบครัว , ลูกศิษย์ลูกหาที่รักใคร่เคารพในตัวท่าน... ในช่วงที่อาการของท่านทรุดหนัก จนไม่สามารถอ่านหนังสือด้วยตนเองได้แล้ว ท่านก็ขอให้คนอ่านชีวประวัติของท่านนักบุญ วินเซนต์ เดอปอล บุตรชาวนาผู้ยากจนเช่นเดียวกับท่าน แต่ได้บำเพ็ญประโยชน์แก่ชาวโลก มากมายเหลือคณานับ ท่านเองก็หวังว่า ผลงานของท่านคงจะได้ช่วยให้คนเป็นอันมาก ได้พ้นทุกข์ทรมาน เป็นต้นพวกเด็กๆ และคนยากจนทั้งหลาย
เหนือหีบศพที่เรียบง่ายของท่านในโบสถ์บริเวณสถาบันปาสเตอร์
บนหีบศพของท่าน ภายในโบสถ์บริเวณสถาบันปาสเตอร์ (Pasteur Institute) ที่กรุงปารีสมีข้อความที่คัดมาจากบทประพันธ์ของนักวิทยาศาสตร์จารึกไว้ดังนี้ :
“ผู้ที่ธำรงฉายาลักษณ์พระเจ้าและเจริญชีวิตตามนั้น คือความงามที่ล้ำเลิศ , วิทยาการที่ทรงคุณค่า , ความภาคภูมิของประเทศชาติ และคุณธรรมแห่งพระวรสาร”
CR. :
http://www.newmana.com/phpbb/viewtopic.php?f=35&t=1102
หลุยส์ ปาสเตอร์ นักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ธำรงฉายาลักษณ์
นักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่
(ค.ศ. 1822 – 1895)
วันหนึ่งๆ นั้นช่างยาวนานเหลือเกิน สำหรับผู้คนที่ยากจนที่อาศัยอยู่ตามหมู่บ้านเชิงเขาชื่อ ยูรา (Jura) ในประเทศฝรั่งเศส ลำพังแต่เสียงเห่าหอนของสุนัขป่าบ้าคลั่งที่ดังมาแต่ไกล ก็เพียงพอที่จะสะกดให้ทุกคนรีบวิ่งเข้าบ้าน ปิดประตูลงกลอน จะโผล่ออกมาอีกครั้งก็ต่อเมื่อเสียงนั้นค่อยๆ จางหายไปในป่าทึบแล้ว
ช่างเป็นเหตุบังเอิญอะไรเช่นนั้น ที่มีชายฝรั่งเศสตระกูลต่ำต้อยคนหนึ่งตั้งแต่วัยเด็กมาแล้ว ก็ได้ยินเสียงเห่าหอนของสุนัขป่า และก็ต้องคอยวิ่งหนีเข้าบ้าน เช่นเดียวกับคนอื่นๆ ในหมู่บ้านเดียวกัน อย่างไรก็ดีทั้งๆ ที่พยายามกักตัวเองอยู่แต่ภายในบริเวณลานตากหนังสัตว์ของบิดาซึ่งมีอาชีพเป็นช่างฟอกหนัง แต่เขาก็ได้กลายเป็นนักค้นพบผู้ยิ่งใหญ่ สามารถช่วยชีวิตมนุษย์นับแสนนับล้านคน มิให้ตกเป็นเหยื่อของโรคพิษสุนัขบ้า ที่ในสมัยนั้นถือว่า ถ้าใครถูกพิษของมันเข้าแล้ว ก็เท่ากับต้องคำพิพากษาให้ประหารชีวิต
อาการเช่นนี้ มิใช่เกิดเฉพาะแต่ในประเทศฝรั่งเศสแห่งเดียว... ทุกแห่งที่มีสุนัข ไม่ว่าจะเป็นสุนัขป่าหรือสุนัขบ้าน เมื่อมันเกิดเป็นบ้าขึ้นมา เที่ยวกัดใครต่อใคร ทุกคนที่ถูกพิษของมัน จะไม่มีทางรอด... นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลก ต่างตระหนักถึงพิษภัยร้ายกาจนี้ และพยายามค้นคว้าเพื่อหาทางเอาชนะโรคร้ายนี้ให้จงได้
ในบรรดานักวิทยาศาสตร์ ที่ศึกษาค้นคว้านี้ก็มีหลุยส์ ปาสเตอร์ (Louis Pasteur) รวมอยู่ด้วย ท่านเป็นนักบัคเตรีวิทยา ท่านได้ค้นพบยาที่รักษาโรคพิษสุนัขบ้าได้ชะงัดว่าเพื่อน. ที่คลินิกท่านที่กรุงปารีส ในช่วง 12 เดือนของปี 1886 มีคนไข้ที่ถูกพิษสุนัขบ้ามาขอรับการรักษา 2,671 ราย. มีเพียง 25 รายเท่านั้นที่เสียชีวิต... นอกนั้นได้รับการรักษาให้หายทั้งหมดเรียกว่าหายกว่า 99% ในระยะต่อๆ มา หลังจากที่ได้มีการปรับปรุงคุณภาพของยาให้ดีขึ้น เปอร์เซ็นต์การหายจากโรคก็ยิ่งเพิ่มสูงขึ้นกว่านี้อีก... ชื่อเสียงของท่านจึงขจรขจายไปยังประเทศต่างๆ
แผนการรักษาของท่านได้นำไปปฏิบัติตามประเทศต่างๆ และเป็นที่ยอมรับกันในวงการแพทย์ว่าเป็นการรักษาโรคพิษสุนัขบ้าที่ได้ผลชะงัดที่สุด ผู้ป่วยบางคนที่มีฐานะการเงินดี ไม่ว่าจะอยู่ห่างไกลเพียงไร ก็ยังอุตส่าห์ดั้นด้นมาให้ท่านปาสเตอร์รักษาดังเช่น เยาวชนอเมริกัน 4 คน อยู่ถึงนิวยอร์ก ยังอุตส่าห์มาให้ท่านปาสเตอร์รักษา... เพียงไม่กี่วัน ก็หายเป็นปรกติ ยิ้มกลับบ้านได้
นอกจากค้นพบยาแก้โรคพิษสุนัขบ้าแล้วท่านปาสเตอร์ยังค้นพบว่าความร้อนสามารถฆ่าจุลินทรีย์ได้... นักวิทยาศาสตร์จึงได้นำเอาความรู้ไปใช้ ก่อให้เกิดคุณประโยชน์มหาศาลแก่วงการแพทย์ และนักวิทยาศาสตร์เรียกวิธีการฆ่าเชื้อแบบนี้ในภาษาอังกฤษว่า “พาสเจอไรซ์” (Pasteurize) คือใช้ชื่อของท่านมาทับศัพท์นั่นเอง... วิทยาการนี้เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของเราอย่างใกล้ชิด เช่นนมสดที่รีดจากแม่โคนมใหม่ๆ ต้องผ่านปาสเจอไร้ส์ คือผ่านความร้อนที่อุณภูมิหนึ่ง ชั่วระยะเวลาหนึ่งเพื่อฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ นมสดจึงจะเก็บไว้ได้นานไม่เสีย
ในสมัยท่านปาสเตอร์ กสิกรเลี้ยงไหมทางภาคใต้ฝรั่งเศส ต้องประสบปัญหากับโรคระบาดชนิดหนึ่งที่เกิดกับตัวไหม ทำให้ลำตัวเป็นจุดๆ เรียกว่า โรคเพบริน (Pebrine) และตายไปในที่สุด อุตสาหกรรมไหมได้รับการกระทบกระเทือนอย่างหนัก... ท่านปาสเตอร์ใช้เวลาศึกษาค้นคว้าอยู่ถึง 5 ปี จึงพบยาที่ใช้ปราบโรคเปบรีนได้ กสิกรเลี้ยงไหมได้รอดพ้น จากความหายนะก็โดยอาศัยท่านปาสเตอร์ผู้นี้
ทุกวันนี้ ทั่วโลกยกย่องหลุยส์ปาสเตอร์ ในฐานะผู้ทำคุณประโยชน์แก่สาธารณชนแต่มีอยู่สิ่งหนึ่งทุกคนมักจะมองข้ามเสีย คือความศรัทธาที่ท่านมีต่อบิดาของท่าน ในฐานะที่บิดาของท่านมีความเชื่อในพระเจ้าอย่างแรงกล้า ตัวท่านเองก็ได้รับเอาความเชื่อนั้นเป็นมรดกตกทอดมาด้วย ในความเปรื่องปราดของท่าน ท่านมองเห็นภาพพระผู้สร้างสะท้อนอยู่ในทุกสิ่งที่อยู่รอบกายท่าน และท่านก็อดแปลกใจไม่ได้ว่าทำไมนักวิทยาศาสตร์รุ่นราวคราวเดียวกับท่านหลายคนจึงมองไม่เห็นสัจธรรมข้อนี้
+ บิดาของหลุยส์ ปาสเตอร์ (Louis Pasteur)
จีน-โยเซฟ ปาสเตอร์ (Jean-Joseph Pasteur) บิดาของท่านนั้นมีฐานะยากจน ประกอบอาชีพเป็นนักฟอกหนัง แต่ก็มีความศรัทธาแก่กล้าในพระศาสนาคาทอลิกเป็นอย่างยิ่ง และได้ถ่ายทอดความศรัทธานั้นให้แก่ลูกชายอย่างครบถ้วน หลุยส์ปาสเตอร์ สมัยเมื่อเป็นเด็กๆ ชอบวาดภาพต่างๆ ไว้มาก... วันดีคืนดีโยเซฟ ปาสเตอร์ ผู้เป็นพ่อมักจะเอาภาพเหล่านั้นออกมาอวดเพื่อนๆ... ที่แปลกก็คือทุกภาพจะต้องมีรูปกางเขนติดอยู่ อันเป็นฝีมือของปาสเตอร์ผู้พ่อ... ปาสเตอร์ผู้ลูกก็ยอมรับ... ถึงกับเล่าไว้ในจดหมายที่เขียนถึงภรรยาว่า ส่วนที่สวยที่สุดของภาพวาดเหล่านั้น ก็คือภาพกางเขนนั่นเอง
เมื่อบิดาสุดที่รักตายไปในปี 1865 บุตรก็มีความศรัทธามาก ตลอดเวลา 30 ปี หลังจากนั้น บุตรไม่เคยลืมบิดาเลยยังคงเฝ้าระลึกถึง อธิษฐานภาวนา และทำบุญขอมิซซษอุทิศให้บิดาตลอดเวลา ท่านสำนึกเสมอว่าตอนท่านเป็นเด็กเป็นบิดาเองที่คอยกีดกันมิให้ท่านคลุกคลีกับเพื่อนที่ไม่ดี , หัดให้ท่านขยันขันแข็งในการทำงานและมีความซื่อสัตย์สุจริตอย่างไม่มีที่ติ , มีความเชื่อมั่นในพระเป็นเจ้า และท่านก็ปฏิบัติอย่างครบถ้วน
ท่านเองคือ 1ใน นักวิทยาศาสตร์ ที่ทำให้เหล่านักนิยมทฤษฎีที่เชื่อว่าสิ่งมีชีวิตเกิดได้เอง รวมทั้งผู้นิยมชาร์ล ดาร์วิน ต้องกลับไปคิดทบทวนใหม่ เพราะท่านได้ทำการทดลองพิสูจน์ว่า สิ่งมีชีวิต ไม่สามารถเกิดขึ้นเองได้ ในสมัยนั้นผู้นิยมทฤษฎีวิวัฒฒนาการของ ชาร์ล ดาวิน มักอ้างว่าสิ่งมีชีวิตเกิดเองได้ไม่จำเป็นต้องมีพระเจ้า เช่นถ้าเราทิ้งเนื้อไว้เฉยๆ จะเกิดหนอนขึ้นมา แปลว่าหนอน(สิ่งมีชีวิต) เกิดจากก้อนเนื้อ(ไม่มีชีวิต) ได้ ถ้าหากมีอาหาร และมีอุณหภูมิเหมาะสม แต่50ปีต่อมา หลุยส์ ปาสเตอร์ ก็ได้พิสูจน์ โดยการเก็บเนื้อ2ชิ้น ชิ้นหนึ่งวางทิ้งไว้ ชิ้นหนึ่งเก็บไว้ในที่ปิดมิดชิด ปรากฎว่าเนื้อที่เก็บในครอบแก้วอย่างไรก็ไม่มีทางเกิดหนอน ท่านอธิบายว่าไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ เกิดเองได้ หนอนนั้น เกิดจากแมลงวันที่มาตอมชิ้นเนื้อแล้ววางไข่ไว้ต่างหาก
อุปกรณ์ที่ท่านใช้สมัยมีชีวิต
+ “ลุงยังเชื่อสิ่งที่ถืออยู่ในมือหรือ?
ท่านปาสเตอร์แม้ว่าตอนนั้น จะมีชื่อเสียงโด่งดังมากแล้ว แต่ท่านก็ยังคงเป็นคนสุภาพถ่อมตน เจริญชีวิตแบบเรียบง่าย มีเรื่องเล่าว่า ครั้งหนึ่งท่านกลับจากการประชุมนักวิทยาศาสตร์ครั้งสำคัญที่กรุงปารีส มีนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงจากทั่วโลกมาร่วมประชุม... เมื่อเสร็จสิ้นการประชุมแล้วต่างก็แยกย้ายกันกลับบ้าน... ผู้เข้าร่วมประชุมส่วนใหญ่จะมาในมาดใหม่ๆ ทั้งสิ้น ไปมาโดยมีรถยนต์คันงามรับส่ง
แต่สำหรับท่านปาสเตอร์แล้วท่านโดยสารรถไฟชั้นธรรมดา ขณะมากลางทาง พบเด็กหนุ่มคนหนึ่งท่าทางเป็นคนฉลาดปราดเปรียวและหยิ่งผยองและถูกลัทธิอเทวนิยมล้างสมอง เมื่อเห็นท่านสุภาพบุรุษสูงอายุ น่าเคารพนั่งอยู่คนเดียว นัยน์ตามองออกไปทางหน้าต่าง มือขวาถือสายประคำ เด็กหนุ่มคนนั้นก็ปราดเข้ามาทักทายพลางแนะนำตัวเองเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย พร้อมกับกล่าวอย่างเยาะเย้ยว่า
“ลุงยังเชื่อสิ่งที่ถืออยู่ในมือหรือ?”
ท่านปาสเตอร์ไม่ตอบว่ากระไร ส่วนเด็กหนุ่มยังไม่ยอมแพ้ คงเซ้าซี้ชวนท่านคุยเละแจ้งความประสงค์อยากจะรู้จักชื่อเสียงเรียงนามของท่าน
ท่านปาสเตอร์อดทนไม่ได้ก็จำใจหยิบนามบัตรขึ้นมาใบหนึ่งส่งให้เด็กหนุ่มคนนั้น... พอเห็นชื่อ “หลุยส์ ปาสเตอร์” เท่านั้น ถึงกับหน้าถอดสีละล่ำละลักกล่าวคำขอโทษและรีบขอตัวจากไป
+ ถึงแก่กรรม
หลุยส์ ปาสเตอร์ ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 28 กันยายน 1895 ในมือยังคงถือสายประคำอยู่ ท่ามกลางการห้อมล้อมของสมาชิกในครอบครัว , ลูกศิษย์ลูกหาที่รักใคร่เคารพในตัวท่าน... ในช่วงที่อาการของท่านทรุดหนัก จนไม่สามารถอ่านหนังสือด้วยตนเองได้แล้ว ท่านก็ขอให้คนอ่านชีวประวัติของท่านนักบุญ วินเซนต์ เดอปอล บุตรชาวนาผู้ยากจนเช่นเดียวกับท่าน แต่ได้บำเพ็ญประโยชน์แก่ชาวโลก มากมายเหลือคณานับ ท่านเองก็หวังว่า ผลงานของท่านคงจะได้ช่วยให้คนเป็นอันมาก ได้พ้นทุกข์ทรมาน เป็นต้นพวกเด็กๆ และคนยากจนทั้งหลาย
เหนือหีบศพที่เรียบง่ายของท่านในโบสถ์บริเวณสถาบันปาสเตอร์
บนหีบศพของท่าน ภายในโบสถ์บริเวณสถาบันปาสเตอร์ (Pasteur Institute) ที่กรุงปารีสมีข้อความที่คัดมาจากบทประพันธ์ของนักวิทยาศาสตร์จารึกไว้ดังนี้ :
“ผู้ที่ธำรงฉายาลักษณ์พระเจ้าและเจริญชีวิตตามนั้น คือความงามที่ล้ำเลิศ , วิทยาการที่ทรงคุณค่า , ความภาคภูมิของประเทศชาติ และคุณธรรมแห่งพระวรสาร”
CR. : http://www.newmana.com/phpbb/viewtopic.php?f=35&t=1102