“อยู่ กทม. ควรซื้อมอเตอร์ไซต์ไว้ขับขี่ดีไหม”
.
เป็นคำถามที่เพื่อนที่ทำงาน มักชอบมาถามผม มากที่สุดคำถามหนึ่ง ตัวผมเองใช้รถมอเตอร์ไซต์ ในการขับขี่ในกรุงเทพ ตั้งแต่สมัย ปวช. 1 จนถึงวันนี้ ก็เป็นเวลา 10 ปี เลยคิดว่าตัวเองมีประสบการณ์ในการใช้มอเตอร์ไซต์ในเมืองกรุงพอสมควร
.
และในเมื่อมีเพื่อนที่ทำงานหลายคนชอบมาถาม มาขอคำปรึกษา ผมก็คิดว่าน่าจะมีคนอื่นๆ ที่ยังลังเลอยู่ ว่าควรซื้อมอไซต์ มันไว้ขับขี่ใน กทม. ดีหรือไม่ ผมในฐานะผู้มีประสบการณ์ จึงขอแชร์ เรื่องราว ข้อดี ข้อเสีย ของการขับมอเตอร์ไซต์ใน เมืองกรุง เผื่อจะเป็นประโยชน์แก่คนอื่นๆ
.
ข้อดี
ข้อที่ 1 มันช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย
.
ทุกวันนี้ผมใช้มอเตอร์ไซต์ขับขี่ต่อวัน ระยะทางประมาณ 20 กิโลเมตร ค่าน้ำมันหนึ่งสัปดาห์ของผมอยู่ที่ประมาณ 150 บาท ดังนั้นต่อเดือนค่าน้ำมันอยู่ที่ 600 บาท
.
บวกกับค่าบำรุงรักษาต่างๆ ที่คิดออกมาค่อนข้างยาก แต่ตกแล้วปีนึงผมจะเสียงเงินซ่อมรถ ต่อ พรบ. ต่างๆ ประมาณไม่เกิน 3000 บาท หรือคิดเป็นต่อเดือนอยู่ที่ 250 บาท
.
ดังนั้นค่าใช้จ่ายในการเดินทางด้วยมอเตอร์ไซต์ต่อเดือนจึงอยู่ที่ประมาณ 850 บาท
.
ในขณะที่ถ้าผมใช้รถโดยสารค่ารถต่อวัน ผมคิดโดยเฉลี่ยประมาณวันละ 100 บาท หรือต่อเดือนอยู่ที่ 2600 บาท ดังนั้นการขี่มอเตอร์ไซต์ของผมช่วยประหยัดเงินต่อเดือนให้ผมอยู่ที่ 1750 บาท หรือต่อปีที่ 21000 บาท (ซื้อรถมอไซต์ได้ครึ่งคัน)
.
.
ข้อที่ 2 มันช่วยประหยัดเวลา
.
ต้องยอมรับว่าการขนส่งและการจราจรในกรุงเทพนั้นแย่มาก การเดินทางด้วยรถโดยสารจำเป็นต้องเผื่อเวลารถติด รถไม่มา พอสมควร ข้อนี้ผมอ้างอิงจาก ปสก ส่วนตัวง่ายๆ
.
ถ้าผมนั่งรถโดยสารไปทำงานจะใช้เวลาทั้งสิ้น 2 ชั่วโมง แต่ถ้าขับรถมอเตอร์ไซต์จะใช้เวลา 1 ชั่วโมง หรือคิดเป็น 1 เท่าตัว
.
.
ข้อที่ 3 ไปได้ทุกที่ ที่อยากไป
.
หากขยายความต่อก็คือ มอเตอร์ไซต์สามารถลัดเลาะไปตามตรอกซอก ซอย หรือเวลารถติดได้ดีมาก ในเมืองที่วางผังเมืองมาเช่นนี้ ดูเหมือนกับขับมอเตอร์ไซต์จะตอบโจทย์มากกว่า คนเดินถนน ที่การขนส่งมวลชนในหลายๆ ครั้ง ไม่สามารถพาเราไปถึงจุดหมายได้ และสุดท้ายเราก็ต้องใช้บริการพี่วินมอเตอร์ไซต์อยู่ดี และอีกข้อดีคือถ้าเราขับมอไซต์การหาที่จอด จะทำได้ค่อนข้างง่าย ไม่เป็นปัญหาเหมือนรถยนต์ ดังนั้นถ้าใครมีมอเตอร์ไซต์ คุณจะมีอิสระในการเดินทาง ไปไหนมาไหน ในเมืองแห่งนี้มาก โดยไม่ต้องกัววลเรื่องค่าใช้จ่ายมากขึ้น
.
โอเคครับ ฟังข้อดีกันไปแล้วมันฟังข้อเสียของการขับมอเตอร์ไซต์กันบ้าง
.
1 มันโคตรอันตราย
.
ผมมักจะบอกทุกคนที่มาขอคำแนะนำว่า การขับมอเตอร์ไซต์ใน กทม. เป็นเรื่องอันตรายสำหรับผมเสมอ เพราะต่อให้เราจะขับขี่ดีอย่างไร ก็ใช่ว่าเราจะรอดพ้นจากอันตรายได้เสมอ การขับขี่ในกทม. จำเป็นต้องใช้สติ และความใจเย็นอย่างมาก เพราะนอกจากอันตรายจากอุบัติเหตุบนท้องถนน เรายังต้องคอยระวังอันตรายจากผู้ใช้เส้นทางด้วยกันอีก…
.
2. มันทำให้เราอารมณ์เสียมาก
.
ต่อจากข้อเมื่อกี้เลยครับ นอกจากมันจะโคตรอันตรายแล้ว สำหรับคนขับมอเตอร์ไซต์อย่างผม ผมว่าเรื่องการควบคุมอารมณ์ ไม่ให้โมโหหงุดหงิด บนท้องถนน บ้านเรานั้นทำได้ยากมาก ทั้งอากาศที่ร้อนอบอ้าว ควันมลพิษ แท็กซี่ที่ชอบเลี้ยวกระชั้นชิด รถเมล์ที่พร้อมจะเบียดเราทุกเมื่อ รถหรูที่คุณต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ และขาแว๊นที่พร้อมจะแซงเฉี่ยวคุณไปแค่คืบ มันพร้อมจะเกิดเรื่องราวกระกระทั่งกันได้เสมอ และคุณจะกลายเป็นคนขี้หงุดหงิดไปได้เลย
.
เอาเป็นว่าข้อเสีย 2 ข้อแรกนี้ เป็นสิ่งสำคัญมาก และควรประเมินให้ดี ก่อนตัดสินใจ เพราะบางครั้งการเกิดอุบัติเหตุเพียงแค่ครั้งเดียว มันก็ไม่คุ้มกับชีวิตเราเสียแล้วละครับ ผมเองช่วงที่เริ่มขับขี่แรกๆ อาจจะด้วยยังเป็นวัยคึกคะนอง กว่าจะขี่มอไซต์แข็งในเมืองกรุงแห่งนี้ ก็ล้มลุกคลุกคลาน ได้แผลถลอกปอกเปลือก มานักต่อนัก โชคดีที่ยังไม่ตายหรือพิการไปเสียก่อน จนมาคำกล่าวในหมู่พวกเรากันว่า คุณต้องล้มสักครั้งเพื่อให้คุณขับขี่แข็งแรง (แต่ถ้าเลือกได้อย่าเลยดีกว่าครับ)
.
3 การต่อสู้กับสภาพดิน ฟ้า อากาศ
การขับขี่มอเตอร์ไซต์ใน กทม. ส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับสภาพอากาศด้วย โดยเฉพาะในหน้าฝน ถ้าฝนตกหนักๆ เราอาจจะต้องติดแหง็ก อยู่ริมถนน จนกว่าฝนจะเบาบาง (เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุด้วย) หรือในฤดูร้อน แม่คุณเอ๋ยยย ทรมานอย่าบอกใครเชียวละ เวลาเจอรถติดๆ ช่วงเช้าหรือเย็น หรือแม้แต่การขับขี่ยามเที่ยง ยังไงซะจุดนี้ การนั่งรถสาธารณะ เบียดเสียดบ้าง ก็รู้สึกดีกว่านะ จะดีหน่อยก็ช่วงปลายปีหน้าหนาว ที่อาจจจะมีลมเย็นๆ ให้คุณขับขี่รับลมในช่วงสั้นๆ บ้าง
.
.
มันก็มีทั้งข้อดี ข้อเสียแหละครับการใช้มอเตอร์ไซต์เป็นพาหนะ ถ้าให้สรุปรวบยอดอีกครั้ง ในมุมมองส่วนตัว ถ้าคุณคิดว่าตัวเองเป็นคนไม่มั่นใจเรื่องการขับขี่ หรือขับไม่แข็ง ก็ใช้รถสาธารณะสารธณะไปก่อนก็ดีครับ แต่ถ้าอยากขับจริงๆ ก็ควรค่อยๆ เริ่มจากระยะทางใกล้ๆ หรือออกเดินทางในช่วงเวลาที่การจราจรไม่หนาแน่นมาก สำหรับผมการใช้มอเตอร์ไซต์ ผมจะท่องไว้เสมอว่า เรากำลังแลกความรวดเร็ว การประหยัดค่าใช้จ่าย กับชีวิตของเรา
.
เพราะคุณต้องยอมรับตรงจุดนี้ก่อนว่า การใช้มอเตอร์ไซต์เป็นยานพาหนะนั้น เป็นการสัญจรที่อันตราย และคุณสามารถเกิดอุบัติเหตุ ได้มากกว่าการเดินทางด้วยวิธีอื่นๆ แต่ก็แลกมากับเวลาและเงินที่คุณจะมีเยอะขึ้น
.
สุดท้ายสำหรับคนที่ขี่มอเตอร์ไซต์มานานๆ เช่นผม ในอนาคตถ้ามีฐานะดีขึ้นก็คงซื้อรถยนต์ขับละครับ ถ้าในระยะทางที่ต้องออกถนนใหญ่ หรือไกลหน่อยยังไงก็ปลอดภัยกว่า และคงใช้การขับขี่มอเตอร์ไซต์แค่ในระยะทางใกล้ๆ ซึ่งทุกวันนี้ผมเปลี่ยนที่ทำงานซึ่งอยู่ไกลมาก ยังต้องขี่มอเตอร์ไซต์ไปจอดไว้หน้าปากซอย และนั่งรถเมล์ดีกว่าครับ เพราะมันปลอดภัยกว่า ขี่ไกลๆ
เหล็กหุ้มเนื้อของรถยนต์ ยังไงก็ปลอดภัยกว่าเนื้อหุ้มเหล็กขอมอไซต์
.
และที่ไม่พูดถึงไม่ได้ ก็คือเรื่องระบบการขนส่งของประเทศไทยเราครับ ถ้าระบบมันดีกว่านี้ ใครหลายคนคงไม่ต้องใช้มอเตอร์ไซต์เพื่อความอันตราย ผมยังจำประสบการณ์ไปเที่ยวญี่ปุ่นได้ดี
(ไหนๆ ก็พูดถึงแล่ว ฝากลิ้ง รีวิว การไปเที่ยวญี่ปุ่นของผมไว้ให้ได้อ่านกันครับ
https://ppantip.com/topic/39412307)
.
ที่ญี่ปุ่นแทบจะไม่มีมอเตอร์ไซต์บนท้องถนนเลย เพราะคนส่วนใหญ่เลือกขี่จักรยานไปจอดไว้ตาม สถานีรถไฟ และนั่งรถไฟฟ้าไปทำงาน ถ้าวันนึง ระบบการขนส่งเราดีกว่านี้ คนคงหันจากการขับขี่มอเตอร์ไซต์ มาปั่นจักรยานและใช้รถสาธารณะมากขึ้น ในวันที่ราคามันเข้าถึงและครอบคลุม ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ใครหลายคนคงไม่ต้องมานั่งเสียภัยอันตรายบนท้องถนน ด้วยรถมอเตอร์ไซต์
อยู่ กทม. ควรซื้อมอเตอร์ไซต์ไว้ใช้ขับขี่ดีไหม
.
เป็นคำถามที่เพื่อนที่ทำงาน มักชอบมาถามผม มากที่สุดคำถามหนึ่ง ตัวผมเองใช้รถมอเตอร์ไซต์ ในการขับขี่ในกรุงเทพ ตั้งแต่สมัย ปวช. 1 จนถึงวันนี้ ก็เป็นเวลา 10 ปี เลยคิดว่าตัวเองมีประสบการณ์ในการใช้มอเตอร์ไซต์ในเมืองกรุงพอสมควร
.
และในเมื่อมีเพื่อนที่ทำงานหลายคนชอบมาถาม มาขอคำปรึกษา ผมก็คิดว่าน่าจะมีคนอื่นๆ ที่ยังลังเลอยู่ ว่าควรซื้อมอไซต์ มันไว้ขับขี่ใน กทม. ดีหรือไม่ ผมในฐานะผู้มีประสบการณ์ จึงขอแชร์ เรื่องราว ข้อดี ข้อเสีย ของการขับมอเตอร์ไซต์ใน เมืองกรุง เผื่อจะเป็นประโยชน์แก่คนอื่นๆ
.
ข้อดี
ข้อที่ 1 มันช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย
.
ทุกวันนี้ผมใช้มอเตอร์ไซต์ขับขี่ต่อวัน ระยะทางประมาณ 20 กิโลเมตร ค่าน้ำมันหนึ่งสัปดาห์ของผมอยู่ที่ประมาณ 150 บาท ดังนั้นต่อเดือนค่าน้ำมันอยู่ที่ 600 บาท
.
บวกกับค่าบำรุงรักษาต่างๆ ที่คิดออกมาค่อนข้างยาก แต่ตกแล้วปีนึงผมจะเสียงเงินซ่อมรถ ต่อ พรบ. ต่างๆ ประมาณไม่เกิน 3000 บาท หรือคิดเป็นต่อเดือนอยู่ที่ 250 บาท
.
ดังนั้นค่าใช้จ่ายในการเดินทางด้วยมอเตอร์ไซต์ต่อเดือนจึงอยู่ที่ประมาณ 850 บาท
.
ในขณะที่ถ้าผมใช้รถโดยสารค่ารถต่อวัน ผมคิดโดยเฉลี่ยประมาณวันละ 100 บาท หรือต่อเดือนอยู่ที่ 2600 บาท ดังนั้นการขี่มอเตอร์ไซต์ของผมช่วยประหยัดเงินต่อเดือนให้ผมอยู่ที่ 1750 บาท หรือต่อปีที่ 21000 บาท (ซื้อรถมอไซต์ได้ครึ่งคัน)
.
.
ข้อที่ 2 มันช่วยประหยัดเวลา
.
ต้องยอมรับว่าการขนส่งและการจราจรในกรุงเทพนั้นแย่มาก การเดินทางด้วยรถโดยสารจำเป็นต้องเผื่อเวลารถติด รถไม่มา พอสมควร ข้อนี้ผมอ้างอิงจาก ปสก ส่วนตัวง่ายๆ
.
ถ้าผมนั่งรถโดยสารไปทำงานจะใช้เวลาทั้งสิ้น 2 ชั่วโมง แต่ถ้าขับรถมอเตอร์ไซต์จะใช้เวลา 1 ชั่วโมง หรือคิดเป็น 1 เท่าตัว
.
.
ข้อที่ 3 ไปได้ทุกที่ ที่อยากไป
.
หากขยายความต่อก็คือ มอเตอร์ไซต์สามารถลัดเลาะไปตามตรอกซอก ซอย หรือเวลารถติดได้ดีมาก ในเมืองที่วางผังเมืองมาเช่นนี้ ดูเหมือนกับขับมอเตอร์ไซต์จะตอบโจทย์มากกว่า คนเดินถนน ที่การขนส่งมวลชนในหลายๆ ครั้ง ไม่สามารถพาเราไปถึงจุดหมายได้ และสุดท้ายเราก็ต้องใช้บริการพี่วินมอเตอร์ไซต์อยู่ดี และอีกข้อดีคือถ้าเราขับมอไซต์การหาที่จอด จะทำได้ค่อนข้างง่าย ไม่เป็นปัญหาเหมือนรถยนต์ ดังนั้นถ้าใครมีมอเตอร์ไซต์ คุณจะมีอิสระในการเดินทาง ไปไหนมาไหน ในเมืองแห่งนี้มาก โดยไม่ต้องกัววลเรื่องค่าใช้จ่ายมากขึ้น
.
โอเคครับ ฟังข้อดีกันไปแล้วมันฟังข้อเสียของการขับมอเตอร์ไซต์กันบ้าง
.
1 มันโคตรอันตราย
.
ผมมักจะบอกทุกคนที่มาขอคำแนะนำว่า การขับมอเตอร์ไซต์ใน กทม. เป็นเรื่องอันตรายสำหรับผมเสมอ เพราะต่อให้เราจะขับขี่ดีอย่างไร ก็ใช่ว่าเราจะรอดพ้นจากอันตรายได้เสมอ การขับขี่ในกทม. จำเป็นต้องใช้สติ และความใจเย็นอย่างมาก เพราะนอกจากอันตรายจากอุบัติเหตุบนท้องถนน เรายังต้องคอยระวังอันตรายจากผู้ใช้เส้นทางด้วยกันอีก…
.
2. มันทำให้เราอารมณ์เสียมาก
.
ต่อจากข้อเมื่อกี้เลยครับ นอกจากมันจะโคตรอันตรายแล้ว สำหรับคนขับมอเตอร์ไซต์อย่างผม ผมว่าเรื่องการควบคุมอารมณ์ ไม่ให้โมโหหงุดหงิด บนท้องถนน บ้านเรานั้นทำได้ยากมาก ทั้งอากาศที่ร้อนอบอ้าว ควันมลพิษ แท็กซี่ที่ชอบเลี้ยวกระชั้นชิด รถเมล์ที่พร้อมจะเบียดเราทุกเมื่อ รถหรูที่คุณต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ และขาแว๊นที่พร้อมจะแซงเฉี่ยวคุณไปแค่คืบ มันพร้อมจะเกิดเรื่องราวกระกระทั่งกันได้เสมอ และคุณจะกลายเป็นคนขี้หงุดหงิดไปได้เลย
.
เอาเป็นว่าข้อเสีย 2 ข้อแรกนี้ เป็นสิ่งสำคัญมาก และควรประเมินให้ดี ก่อนตัดสินใจ เพราะบางครั้งการเกิดอุบัติเหตุเพียงแค่ครั้งเดียว มันก็ไม่คุ้มกับชีวิตเราเสียแล้วละครับ ผมเองช่วงที่เริ่มขับขี่แรกๆ อาจจะด้วยยังเป็นวัยคึกคะนอง กว่าจะขี่มอไซต์แข็งในเมืองกรุงแห่งนี้ ก็ล้มลุกคลุกคลาน ได้แผลถลอกปอกเปลือก มานักต่อนัก โชคดีที่ยังไม่ตายหรือพิการไปเสียก่อน จนมาคำกล่าวในหมู่พวกเรากันว่า คุณต้องล้มสักครั้งเพื่อให้คุณขับขี่แข็งแรง (แต่ถ้าเลือกได้อย่าเลยดีกว่าครับ)
.
3 การต่อสู้กับสภาพดิน ฟ้า อากาศ
การขับขี่มอเตอร์ไซต์ใน กทม. ส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับสภาพอากาศด้วย โดยเฉพาะในหน้าฝน ถ้าฝนตกหนักๆ เราอาจจะต้องติดแหง็ก อยู่ริมถนน จนกว่าฝนจะเบาบาง (เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุด้วย) หรือในฤดูร้อน แม่คุณเอ๋ยยย ทรมานอย่าบอกใครเชียวละ เวลาเจอรถติดๆ ช่วงเช้าหรือเย็น หรือแม้แต่การขับขี่ยามเที่ยง ยังไงซะจุดนี้ การนั่งรถสาธารณะ เบียดเสียดบ้าง ก็รู้สึกดีกว่านะ จะดีหน่อยก็ช่วงปลายปีหน้าหนาว ที่อาจจจะมีลมเย็นๆ ให้คุณขับขี่รับลมในช่วงสั้นๆ บ้าง
.
.
มันก็มีทั้งข้อดี ข้อเสียแหละครับการใช้มอเตอร์ไซต์เป็นพาหนะ ถ้าให้สรุปรวบยอดอีกครั้ง ในมุมมองส่วนตัว ถ้าคุณคิดว่าตัวเองเป็นคนไม่มั่นใจเรื่องการขับขี่ หรือขับไม่แข็ง ก็ใช้รถสาธารณะสารธณะไปก่อนก็ดีครับ แต่ถ้าอยากขับจริงๆ ก็ควรค่อยๆ เริ่มจากระยะทางใกล้ๆ หรือออกเดินทางในช่วงเวลาที่การจราจรไม่หนาแน่นมาก สำหรับผมการใช้มอเตอร์ไซต์ ผมจะท่องไว้เสมอว่า เรากำลังแลกความรวดเร็ว การประหยัดค่าใช้จ่าย กับชีวิตของเรา
.
เพราะคุณต้องยอมรับตรงจุดนี้ก่อนว่า การใช้มอเตอร์ไซต์เป็นยานพาหนะนั้น เป็นการสัญจรที่อันตราย และคุณสามารถเกิดอุบัติเหตุ ได้มากกว่าการเดินทางด้วยวิธีอื่นๆ แต่ก็แลกมากับเวลาและเงินที่คุณจะมีเยอะขึ้น
.
สุดท้ายสำหรับคนที่ขี่มอเตอร์ไซต์มานานๆ เช่นผม ในอนาคตถ้ามีฐานะดีขึ้นก็คงซื้อรถยนต์ขับละครับ ถ้าในระยะทางที่ต้องออกถนนใหญ่ หรือไกลหน่อยยังไงก็ปลอดภัยกว่า และคงใช้การขับขี่มอเตอร์ไซต์แค่ในระยะทางใกล้ๆ ซึ่งทุกวันนี้ผมเปลี่ยนที่ทำงานซึ่งอยู่ไกลมาก ยังต้องขี่มอเตอร์ไซต์ไปจอดไว้หน้าปากซอย และนั่งรถเมล์ดีกว่าครับ เพราะมันปลอดภัยกว่า ขี่ไกลๆ เหล็กหุ้มเนื้อของรถยนต์ ยังไงก็ปลอดภัยกว่าเนื้อหุ้มเหล็กขอมอไซต์
.
และที่ไม่พูดถึงไม่ได้ ก็คือเรื่องระบบการขนส่งของประเทศไทยเราครับ ถ้าระบบมันดีกว่านี้ ใครหลายคนคงไม่ต้องใช้มอเตอร์ไซต์เพื่อความอันตราย ผมยังจำประสบการณ์ไปเที่ยวญี่ปุ่นได้ดี
(ไหนๆ ก็พูดถึงแล่ว ฝากลิ้ง รีวิว การไปเที่ยวญี่ปุ่นของผมไว้ให้ได้อ่านกันครับ https://ppantip.com/topic/39412307)
.
ที่ญี่ปุ่นแทบจะไม่มีมอเตอร์ไซต์บนท้องถนนเลย เพราะคนส่วนใหญ่เลือกขี่จักรยานไปจอดไว้ตาม สถานีรถไฟ และนั่งรถไฟฟ้าไปทำงาน ถ้าวันนึง ระบบการขนส่งเราดีกว่านี้ คนคงหันจากการขับขี่มอเตอร์ไซต์ มาปั่นจักรยานและใช้รถสาธารณะมากขึ้น ในวันที่ราคามันเข้าถึงและครอบคลุม ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ใครหลายคนคงไม่ต้องมานั่งเสียภัยอันตรายบนท้องถนน ด้วยรถมอเตอร์ไซต์