เล่า+ระบาย ควรลาออกจากงานดีไหม? ถ้าเป็นแบบนี้

ตั้งแต่จบป.ตรีมาเราก็เริ่มทำงานที่นี่มาได้เกือบ 2 ปี แล้วค่ะ (กลางเดือน พย.นี้ ครบ 2 ปีเต็ม) 
ได้มาทำที่นี่เพราะมีรุ่นพี่ที่รู้จักเขาทำอยู่ + กับใกล้บ้าน เราเลยตัดสินใจสมัครไป รอบแรกเราขอเริ่มงานช้า เพราะต้องรอรับปริญญาค่ะ ก็เลยว่างงานช่วงนึง ก่อนที่พี่เขาจะทักมาอีกรอบว่าเรายังสนใจงานที่เคยสมัครอยู่ไหม เพราะคนอีกแผนกจะออกแล้ว (เวลาห่างกันประมาณ 5 เดือน) เราก็บอกว่าสนใจ ก็เป็นจุดเริ่มต้นให้เรามาทำงานประจำเป็นครั้งแรกหลังจากจบ ประสบการณ์ใหม่เอี่ยมเลย 

เป็นตำแหน่งแอดมิน ทำบัญชี ทำรายรับ-รายจ่ายบริษัท ภาษีซื้อ-ขาย ทำใบเสนอราคา เปิดบิล วางบิล เป็นบริษัทเล็กๆ ค่ะ เราได้มาอยู่ฝ่ายงานก่อสร้าง ส่วนใหญ่บิลที่ออกก็เป็นพวกค่าแรง และก็มีเรื่องดูแลเอกสารของคนงานต่างด้าว จำพวกต่ออายุพาสปอร์ตเอย ต่อบัตรทำงานเอย ซึ่งอันนี้เป็นเรื่องใหม่มากๆ ค่ะ 

มาทำวันแรกเขายังไม่ค่อยให้เราจับอะไร แต่ให้เราศึกษาเรื่องสินค้าเอาไว้เพราะเราต้องดูแลสต๊อคสินค้าต่อจากเขา เราก็พยายามศึกษาสินค้าตามที่เขาบอกไม่ว่าจะเป็นอะไร เราดูทั้งวิธีการทำงานด้วย จนกระทั่งผ่านมาอาทิตย์นึง เราพอจะเข้าใจเนื้องานในตำแหน่งที่สมัครมาทำบ้างแล้ว แต่แทบไม่ได้ลงมือทำความเข้าใจจริงๆ จังๆ สักที พี่ที่แนะนำเราให้มาทำงานนี้ เขาก็จะลาพักร้อนไปเที่ยวต่างประเทศ ซึ่งเราไม่คิดอะไรมากเพราะไม่ว่ายังไงทางหัวหน้าก็ต้องหาคนมาทำแทนพี่เขา แต่ปรากฎว่าหัวหน้ายกงานนั้นให้เราทำแทนรวมถึงต้องเรียนรู้งานแผนกตัวเองด้วย ทั้งที่เราพึ่งมาทำงานได้แค่อาทิตย์เดียว และในขณะเดียวกันพี่คนที่จะออกเขาก็จองตั๋วจะไปทำงานที่ต่างประเทศพอดีในช่วงสิ้นเดือน เป็นช่วงที่ตำแหน่งฝ่ายแอดมินแผนกสินค้า และ แผนกฝ่ายก่อสร้าง ไม่มีคนทำนอกจากเรา และเราจะมีเวลาเรียนรู้กับเขาแค่อาทิตย์เดียวเท่านั้น แต่ว่าหัวหน้าก็ยังคงให้เราเรียนรู้งานจากพี่ที่รู้จักแทนที่จะได้เรียนรู้งานจากตำแหน่งที่เราจะต้องทำหลังจากนี้ อาจจะเพราะเห็นว่าเราสนิทกับพี่เขาเลยให้เราเรียนรู้จากคนนี้แทน แต่สำหรับเราการเก็บเงิน เอกสาร หรืออะไรก็แล้วแต่มันไม่เหมือนกันเลยสักนิด พี่คนที่จะออกไปทำงานต่างประเทศยังพูดเลยว่าทำไมไม่ให้เขาทำแทน เราจะได้มีเวลาไปเรียนรู้งานตัวเอง แต่สุดท้ายก็พูดกันไม่ได้ค่ะ 

ช่วงก่อนที่พี่เขาจะไปเราหัวหมุนอยู่คนเดียวเลยค่ะ ทำงานดึกเกือบหกโมงทุกวัน (แต่ไม่เคยได้โอทีเลย) รู้สึกว่าตัวเองทำงานช้ามาก งงๆ ไปหมดเพราะไม่รู้จะต้องทำไงดี เรากำลังจะเรียนรู้งานในตำแหน่งตัวเองได้แล้ว แต่สุดท้ายก็ต้องแบ่งสมองไปจำตำแหน่งฝ่ายแผนกสินค้าด้วย ซึ่งยอมรับว่ามันเกินความสามารถเราจริงๆ ค่ะ จนแบบเรากลับบ้านมาเป็นครั้งแรกที่ผ่านไปแค่สองอาทิตย์คือเราร้องไห้ค่ะ พูดไปทั้งน้ำตาว่าทุกคนคือเร่งให้เราเร็วจนเราทำอะไรไม่ถูก พอทำผิดบอสก็ด่าเราอีก ช่วงนั้นเป็นอะไรที่เหนื่อยทั้งกายและใจมากค่ะ

แต่สุดท้ายเราก็ยอมลดทิฐิลงยอมให้โดนด่า(ทั้งที่ผิดเล็กน้อย ขนาดที่ว่ายังมีเวลาแก้ไข แต่โดนบ่นโดนด่าแบบมโหฬารมาก) โดนหัวหน้าแกล้งบ้าง เคยคิดอคตินะคะ แต่ก็ได้แม่ช่วยให้มองโลกในแง่ดีเราเลยยอมทนมาจนได้ 5-6 เดือนกว่า ตอนนี้ก็ทำให้เราพอเข้าใจเจ้านายได้บ้าง (แต่บางเรื่องเราก็ไม่โอเคกับเขาจริงๆ นะ) พอผ่านมา 7 เดือนเราก็พอปรับการทำงานมาได้บ้างแล้ว มีบ้างที่บางครั้งพอได้ยินเสียงเจ้านายเรียกชื่อทีสะดุ้งระแวงทุกครั้ง กลัวว่าจะโดนด่าอะไรบ้าง 

จนเวลาล่วงเลยมาถึงเดือนที่ 9 พี่ที่แนะนำให้เรามาทำที่นี่เขาก็บอกเราว่าจะลาออกจากงาน เพราะเขาไม่ไหวที่ต้องมาโดนบ่นโดยที่เขาไม่เคยผิด และเจ้านายไม่เคยขอโทษเลยด้วยซ้ำ ซึ่งเราก็ยอมรับในการตัดสินใจ จนกระทั่งได้คนใหม่มาทำงานเราก็ทำงานของเราไปและด้วยความใจดีเกินเหตุเห็นคนใหม่ทำงานไม่ทัน และช่วงนั้นงานฝ่ายก่อสร้างน้อย เราเลยอาสาช่วย แต่สุดท้ายพอผ่านมาปีใหม่ เจ้านายนัดประชุมงานก็กลายเป็นว่ายกงานทำใบเสนอราคาฝ่ายสินค้าให้เราทำไปโดยปริยายอย่างๆ งง เราก็แบบอึ้งพูดไม่ออก ยอมรับว่าเขาขึ้นเงินเดือนให้เราเพิ่ม 1500 บาท เราก็เลยตัดสินใจไม่เอาอะไรเพราะเห็นว่าเพิ่มเงินให้ แต่ว่าพอผ่านไปนานวันเข้า แผนกฝ่ายก่อสร้างและฝ่ายขายสินค้าก็งานเยอะทั้งคู่ จนเราทำไม่ทัน (รวมถึงเราต้องเตรียมตัวอย่างให้เซลล์ไปพรู๊ฟงานหน้าไซต์ด้วย แถมสต๊อคสินค้าก็ต้องดูแลอีก) 

ตอนแรกเราเคยคิดว่าเจ้านายจะเข้าใจเราเพราะเรางานเยอะ แต่เรากลับได้ยินเจ้านายพูดว่า เธองานเยอะขนาดนั้นเลยหรอ ทำเอาเราอึ้งไปเลยค่ะ น้ำตาคลอเลยแต่ไม่ถึงกับไหลออกมานะคะ คือเรามาย้อนดูว่าทั้งที่ตัวเองโดนเซลล์สามคนเรียกใช้งานพร้อมกัน แต่หัวหน้ากลับบอกงานเราไม่เยอะ เราก็แบบใจเสียเลยค่ะไม่โอเคมากๆ จนเราเกือบจะเขียนใบลาออกเดี๋ยวนั้นเลย (แต่สุดท้ายก็ต้องติดไว้เพราะเป็นช่วงโควิด บริษัทเลิกจ้างไปเยอะพอสมควรทำให้เราต้องยึดงานบริษัทนี้ไว้ทั้งที่เราไม่โอเคมากๆ แล้ว) 

แล้วก็เหมือนโลกยังคงแกล้งเราอยู่ หัวหน้ารับคนมาเพิ่มมาช่วยงานเรา ซึ่งเราก็สบายมาเปราะหนึ่งแต่งานฝ่ายก่อสร้างยังคงขายดีเหมือนเดิม แต่สุดท้ายผ่านไปไม่กี่เดือนคนที่มาช่วยก็ขอลาออกไปอีก ทำเอาเรารู้สึกว่างานเราต้องกลับมาเยอะอีกแล้ว แต่โชคดีที่พี่แผนกฝ่ายสินค้าเขาเป็นงานบ้างแล้วเขาเลยอาสาทำของตัวเองแทน ตรงนี้ก็ลดภาระหน้าที่เราไป แต่เรื่องทำตัวอย่าง ทำบอร์ดเสนอลูกค้าก็ยังเป็นหน้าที่เราเหมือนเดิม 

เราทำแบบนี้มาจนถึงปัจจุบัน บางทีก็มีหน้าที่นอกเหนือจากนั้นมาบ้าง จนเราทำงานดึกหัวหน้าก็ยอมให้โอทีกับเรา (แต่ช่วงก่อนไม่เคยได้เลย) แต่ตั้งแต่ทำงานมาเรารู้สึกไม่มีเวลาให้ตัวเอง เพราะงานเราทำตั้งแต่วัน จ.-ส. หยุดวันอาทิตย์ และวันนักขัตฯ 13 วัน (วันไหนที่สงกรานต์อยู่กลางสัปดาห์ วันหยุดปลายปีแทบไม่มีเลย เพราะไปหยุดต้นปีหมดแล้ว) 

เราเลยคิดมาสักพักแล้วว่าควรลาออกจากงานดีไหม? งานท้าทายใหม่ๆ มีบ้าง แต่ก็ไม่ได้ชอบทำขนาดนั้น เราคิดว่าบางครั้งบางอย่างมันก็เกินหน้าที่แอดมินอย่าง คิดตรม.ห้อง ที่ต้องติดกระเบื้องบ้าง (ซึ่งจริงๆ เราไม่เคยไปหน้างานเลย) คิดจำนวนเมตรของบัว เตรียมของให้คนงานไปทำงานอีก ล่าสุดได้งานเสิร์ฟน้ำแขกไปทำเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่หัวหน้าบอกเราได้แค่ว่าก็ต้องช่วยๆ กันนะ เราก็แบบไหนใครมาช่วยบ้างวะ? 55555

และล่าสุดปลายปีที่แล้วเราไปหาหมอมาเพราะรู้สึกแน่นหน้าอก หายใจไม่ออก (กลัวเป็นโควิด-19) แต่สุดท้ายหมอวินิจฉัยว่าเราเป็นโรคอาการแพนิค (โรคจิตเภทชนิดหนึ่ง คนวัยทำงานมักเป็น หมอบอกมาแบบนั้น) ทั้งที่เมื่อก่อนเราไม่เคยเป็นถึงขั้นนั้นเลยค่ะ ตอนนี้ก็ยังทานยาอยู่แต่หมอก็นัดห่างมาบ้างแล้วค่ะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่