JJNY : ไทยไม่ติดกลุ่มน่าลงทุนปีหน้า│ATK ยี่ห้อไหน“ผลตรวจ”แม่นยำ│ปภ.เตือน22จว.│น้ำท่วมนับเดือนส่งกลิ่น พิมายเดือดร้อนหนัก

เผยผลสำรวจ EIU ไทยไม่ติดกลุ่ม ประเทศน่าลงทุนปีหน้า
https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_2987828
  
 
กรุงเทพฯ 12 ตุลาคม 2564 – ธนาคารซิตี้แบงก์ เผยผลรายงานการวิจัยเรื่อง อนาคตของห่วงโซ่อุปทานในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (Disruption, Digitization, Resilience: The Future of Asia-Pacific supply chains)” จัดทำโดย “The Economist Intelligence Unit” (EIU) สำรวจข้อมูลช่วงไตรมาสแรกของปี 2564 จากบริษัทด้านซัพพลายเชน 175 คนทั่วโลก ครอบคลุมอุตสาหกรรมหลัก 6 ประเภท ประกอบด้วย 
1. ยานยนต์ 
2. รองเท้าและเครื่องแต่งกาย 
3. อาหารและเครื่องดื่ม 
4. การผลิต 
5. ไอที/เทคโนโลยี/อิเล็กทรอนิกส์ 
และ 6. การดูแลสุขภาพ/ยาเทคโนโลยีชีวภาพ
 
ผลสำรวจพบว่า 5 ปัจจัยของการหยุดชะงักในซัพพลายเชนจากการแพร่ระบาดของโควิด-19  ได้แก่ หยุดการผลิต 36.4% ตามมาด้วยปัญหาการขนส่งทางอากาศ ทะเล รถไฟ และถนน 20.9% ปัญหาการเข้าถึงวัตถุดิบการผลิตหลัก เช่น ฝ้าย แร่เหล็ก แร่หายาก 17.3%  ข้อจำกัดทางการค้า เช่น การควบคุมการส่งออก ภาษีนำเข้า 11.8% และการเข้าถึงปัจจัยการผลิตของสินค้าขั้นกลาง เช่น เหล็ก ส่วนประกอบ เซมิคอนดักเตอร์ 6.4%
 
ภาคอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบเรียงจากมากไปน้อยคือ ยานยนต์ ตามด้วยรองเท้าและเครื่องแต่งกาย การผลิต อาหารและเครื่องดื่ม การดูแลสุขภาพ/ยา/เทคโนโลยีชีวภาพ และไอที/เทคโนโลยี/อิเล็กทรอนิกส์ ตามลำดับ
 
สาเหตุหลักของการหยุดชะงักในซัพพลายเชนของอุตสาหกรรมยานยนต์คือหยุดการผลิต และข้อจำกัดทางการค้า เช่น การควบคุมการส่งออก รวมถึงการเข้าถึงวัตถุดิบหรือปัจจัยการผลิตหลัก การจัดหาเทคโนโลยี รวมถึงการขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์ในอุตสาหกรรมยานยนต์ที่กำลังเป็นปัญหาอย่างมาก ในขณะที่ด้านการขนส่งเป็นสาเหตุสำคัญของการหยุดชะงักของซัพพลายเชนในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม ส่วนปัจจัยการเข้าถึงวัตถุดิบหรือข้อมูลเบื้องต้นเป็นสาเหตุสำคัญของการหยุดชะงักของซัพพลายเชนในอุตสาหกรรมการดูแลสุขภาพและเภสัชกรรม เป็นต้น
 
ผลสำรวจครั้งนี้ยังเผยให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์ซัพพลายเชนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกในช่วง 18 เดือนที่ผ่านมา พบว่า 44.6% ดำเนินการเปลี่ยนแปลงบางอย่างแต่กลยุทธ์หลักยังคงเหมือนเดิม 32.6% กำลังดำเนินการยกเครื่องกลยุทธ์ใหม่ทั้งหมด และ 22.9% ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ
 
โดย 5 กลยุทธ์หลักสำหรับการเปลี่ยนแปลงในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ได้แก่ 
1.  การกระจายความหลากหลาย เช่น ปรับซัพพลายเชนของบริษัทให้มาจากซัพพลายเออร์ที่หลากหลาย หรือขายในตลาดที่กว้างขึ้น 
2. ย้ายซัพพลายเชนของบริษัทไปยังประเทศรอบ ๆ ตลาดหลัก หรือตลาดของผู้ใช้ปลายทาง
3. การโลคัลไลเซชันด้วยการย้ายซัพพลายเชนให้อยู่ในตลาดหลักหรือตลาดผู้ใช้ปลายทาง 
4. ย้ายการผลิตกลับไปยังประเทศบ้านเกิดของบริษัท 
และ 5. China Plus One แนวคิดการลงทุนในประเทศอื่นที่ไม่ใช่จีนอย่างเดียว

อย่างไรก็ดียังพบว่าอุตสาหกรรมไอที เทคโนโลยี และอิเล็กทรอนิกส์ มีการเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์ซัพพลายเชนน้อยกว่าภาคอุตสาหกรรมอื่น ๆ เนื่องจากการผลิตในอุตสาหกรรมนี้ต้องมีความเชี่ยวชาญสูง และมีความต้องการสิ่งอำนวยความสะดวกในการผลิตเฉพาะทาง ซึ่งไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ง่ายเนื่องจากความซับซ้อนเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมอื่น ๆ
 
พร้อมกันนี้ผลสำรวจยังเผยให้เห็นประเทศที่บริษัทต่างๆ ลงทุนตลอดทั้งปีที่ผ่านมาหรือกำลังวางแผนที่จะทำในปีหน้า โดยบริษัทในเอเชียมีการลงทุนในประเทศ อินโดนีเซีย บังคลาเทศ ออสเตรเลีย ฮ่องกง เกาหลีใต้ เมียนมาร์ มาเลเซีย และศรีลังกา
 
ส่วนบริษัทที่อยู่ในอเมริกาเหนือและยุโรปมีความสนใจลงทุนในฟิลิปปินส์ อินเดีย จีน สิงคโปร์ เวียดนาม และญี่ปุ่น โดยปัจจัยที่ทำให้ประเทศเหล่านี้เป็นที่น่าลงทุนจากมากไปน้อย ประกอบด้วย 
1. ค่าแรง 
2. ที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ 
3. เข้าถึงตลาดหลัก โครงสร้างพื้นฐาน และสภาพแวดล้อมด้านกฎระเบียบ 
4. ผลผลิต  
5. ฝีมือแรงงาน  
6. เงินอุดหนุน/สิ่งจูงใจจากรัฐบาล และทักษะต่าง ๆ  
7. การแปลงสกุลเงิน 
8. เสถียรภาพทางการเมือง และอัตราภาษี 
9. การเข้าถึงการเงิน  ตามลำดับ
 
สุดท้ายนี้ผลสำรวจแสดงให้เห็นถึงความกังวลในอนาคตที่อาจส่งผลกระทบ  พบว่า บริษัททั่วโลกส่วนใหญ่มีความกังวลในเรื่อง 
1. โรคระบาดครั้งต่อไป 
2. การล่มสลายของระบบการค้าโลก 
และ 3. วิกฤตเศรษฐกิจหรือการเงิน  ตามลำดับ
 
อย่างไรก็ตามการระบาดของโรคโควิด-19 ได้นำไปสู่การเพิ่มการลงทุนในเครื่องมือและกระบวนการดิจิทัลเพื่อจัดการซัพพลายเชน โดยบริษัทส่วนใหญ่มีการลงทุนเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวในเครื่องมือและกระบวนการดิจิทัล ทั้งกระบวนการผลิต การบริการลูกค้า การคาดการณ์ความต้องการซื้อและความต้องการขาย การจัดการสินค้าคงคลัง ฯลฯ ซึ่งเหตุผลหลักในการลงทุนในเครื่องมือและกระบวนการดิจิทัลมีความแตกต่างกันไปในแต่ละภูมิภาค เช่น บริษัทในเอเชียส่วนใหญ่ลงทุนในเครื่องมือดิจิทัลเพื่อปรับปรุงการบริการลูกค้าและการจัดการสินค้าคงคลัง รวมถึงการลงทุนในกระบวนการดิจิทัลสำหรับคู่ค้า คือการคาดการณ์การผลิต และการคาดการณ์ความต้องการซื้อและความต้องการขายรายงานดังกล่าวได้แสดงให้เห็นว่าทุกภาคอุตสาหกรรมต่างมีการตอบสนองต่อความท้าทายต่าง ๆ ที่กำลังเผชิญ ซึ่งทั้งหมดล้วนมีเป้าหมายร่วมกันเพื่อรักษาความยั่งยืนของการดำเนินธุรกิจในระยะยาว รวมถึงทำให้ภาคธุรกิจในภูมิภาคมีความยืดหยุ่นมากขึ้นเพื่อรองรับผลกระทบจากสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ซิตี้แบงก์ในฐานะธนาคารชั้นนำที่มีการดำเนินงานอยู่ในกว่า 100 ตลาดทั่วโลก มีความมุ่งมั่นในการใช้ประโยชน์จากเครือข่ายด้วยความสามารถในการให้คำปรึกษาผสานความเชี่ยวชาญในระดับท้องถิ่น พร้อมการเดินหน้าสำรวจภาคธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่หยุดนิ่ง เพื่อการปรับให้เข้ากับท้องถิ่นหรือเปลี่ยนตำแหน่งใหม่เพื่อเข้าใกล้ตลาดปลายทาง หรือขยายไปสู่ตลาดใหม่เพื่อลดต้นทุนและกระจายซัพพลายเชน โดยให้มีความสมดุลระหว่างความยืดหยุ่นและการเติบโต ซึ่งทั้งหมดจะเป็นประโยชน์ต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ควบคู่ไปกับการเป็นพันธมิตรกับลูกค้านักลงทุนอย่างใกล้ชิด
 
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับรายงานดังกล่าวสามารถดูได้ที่ Citi Report The Future of Asia-Pacific supply chains หรือ www.citibank.co.th 
 


ATK ผลลบลวง กลบความเชื่อมั่น เช็คยี่ห้อไหน “ผลตรวจ” แม่นยำ
https://www.prachachat.net/general/news-780167

ชุดตรวจโควิดประเภท ATK อุปกรณ์ที่นำมาใช้ตรวจหาเชื้อโควิด-19 โดยตนเอง แต่ก็ยังมีความแม่นยำเป็นรอง RT-PCR ทำให้หลายครั้ง เกิดข้อสงสัยจนลดทอนความเชื่อมั่นของผู้ใช้งาน 
 
แม้ว่าชุดทดสอบหาเชื้อโควิด-19 ด้วยตนเอง Antigen Test Kit (ATK) จะได้รับอนุญาตให้นำมาใช้ตรวจหาเชื้อโควิด-19 สำหรับประชาชนทั่วไป แทนการตรวจแบบแยงจมูก (RT-PCR) เพื่อความรวดเร็วในการรู้ผล และนำเข้าระบบการรักษา แต่การตรวจจับหาเชื้อโควิดของ ATK ยังคงมีความคลาดเคลื่อน ทำให้เกิดผลบวก-ลบ “ลวง”
 
“ประชาชาติธุรกิจ” ตรวจสอบพบว่าชุดตรวจ ATK ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) มีทั้งสิ้น 72 ยี่ห้อ (ข้อมูล 11 ต.ค.) โดยมี 3 ยี่ห้อพบว่ามีการรายงานผลการตรวจวัดระดับความแม่นยำของการตรวจหาเชื้อ (ข้อมูล : National Center for Biotechnology Information หรือ เป็นส่วนหนึ่งของห้องสมุดแพทย์แห่งชาติของอเมริกา หรือ United States National Library of Medicine (NLM)) ดังนี้

ATK จาก Roche
ใช้ชื่อ SARS-CoV-2 Rapid Antigen Test (Roche) จัดจำหน่ายโดย Roche Diagnostics ผลิตโดย SD Biosensor มีต้นกำเนิดจากประเทศเกาหลีใต้ และมีรายงานความแม่นยำการตรวจจับเชื้อโควิด-19 ดังนี้
• ความแม่นยำจากผลบวก (Positive) : 49.4%
• ความแม่นยำจากผลลบ (Negative) : 100%
  
ATK จาก Abbot
ใช้ชื่อ COVID-19 Rapid Test Device (Abbott) จัดจำหน่ายโดย Abbott Rapid Diagnostics ผลิตโดย Panbio Ltd. มีต้นกำเนิดจากประเทศออสเตรเลีย และมีรายงานความแม่นยำการตรวจจับเชื้อโควิด-19 ดังนี้
• ความแม่นยำจากผลบวก (Positive) : 44.6%
• ความแม่นยำจากผลลบ (Negative) : 100%
 
ATK จาก Siemens
ใช้ชื่อ CLINITEST Rapid COVID.19 Antigen Test นำเข้าและจัดจำหน่ายโดย บริษัท ซีเมนส์เฮลท์แคร์จำกัด ผลิตโดย Zhenjiang Orient Gene Biotech Co. Ltd, มีต้นกำเนิดจากประเทศจีน และมีรายงานความแม่นยำการตรวจจับเชื้อโควิด-19 ดังนี้
• ความแม่นยำจากผลบวก (Positive) : 54.9%
• ความแม่นยำจากผลลบ (Negative) : 100%
 
เป็นตัวอย่าง ATK 3 ใน 72 ยี่ห้อที่ขึ้นทะเบียนกับ อย. ไทย และมีผลการศึกษาถึงประสิทธิภาพการตรวจจับเชื้อโควิด-19
 
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจาก ศูนย์ข้อมูลโควิด-19 (เมื่อ 2 สิงหาคม 2564) ให้ข้อมูลว่า ปัจจัยที่อาจส่งผลให้ ATK เกิดผลตรวจ “ลวง” ทั้งบวก-ลบ เกิดได้จากหลายสาเหตุ ดังนี้
 
ผลบวกปลอม (False Positive)
 
Antigen Test Kit ให้ผลเป็น “บวก” ปลอม คือ ไม่ได้ติดเชื้อ แต่ให้ผลการทดสอบเป็นบวก เกิดจากสาเหตุ ดังนี้
• การปนเปื้อนจากพื้นที่ที่ทำการทดสอบอุปกรณ์ที่ใช้
• การติดเชื้อไวรัส หรือจุลชีพอื่น ๆ
• ดำเนินการตามขั้นตอนวิธีทดสอบไม่ถูกต้อง เช่น อ่านผลเกินเวลาที่กำหนด
• สภาพสิ่งส่งตรวจไม่เหมาะสม
 
ผลลบปลอม (False Negative)
 
Antigen Test Kit ให้ผลเป็น “ลบ” ปลอม คือ ติดเชื้อ แต่ให้ผลการทดสอบเป็นลบ เกิดจากสาเหตุ ดังนี้

• เพิ่งติดเชื้อในระยะแรกมีปริมาณไวรัสต่ำ
• การเก็บสิ่งส่งตรวจไม่ถูกต้อง
• ดำเนินการตามขั้นตอนวิธีทดสอบไม่ถูกต้อง เช่น ไม่ผ่านผลในช่วงเวลาที่กำหนด หรือ ปริมาณตัวอย่างที่หยดไม่เป็นไปตามที่กำหนด
 
ผลลบ “ลวง” เกิดได้ทุกยี่ห้อ ATK
 
นายแพทย์จรัสพงษ์ สุขกรี นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนครศรีธรรมราช ออกมาเปิดเผย (5 ตุลาคม) ถึงการใช้ ATK ยี่ห้อ เลอปู๋ ที่นำเข้าโดยองค์การเภสัชกรรม กว่า 8.5 ล้านชุด ว่า พบผลตรวจที่มีความเบี่ยงเบนสูงจำนวนมาก
 
โดยมีเจ้าหน้าที่รายงานว่า พบการติดเชื้อจากการตรวจ RT-PCR จากกลุ่มเสี่ยงสูงที่ตรวจด้วย ATK ก่อนหน้านี้ แต่กลับไม่พบเชื้อ ซึ่งทำให้ต้องตรวจหาเชื้อซ้ำซ้อน พร้อมแนะนำว่า ให้นำไปใช้กับกลุ่มเสี่ยงต่ำ ไม่ควรนำมาใช้กับกลุ่มเสี่ยงสูง
 
ด้าน นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ (11 ตุลาคม) ระบุถึงการเจอผลตรวจจาก ATK เป็นผลลบลวง ว่า ไม่ได้เกิดจากคุณภาพของตัวชุดตรวจ แต่เป็นข้อจำกัดของเครื่องมือ ไม่ว่ายี่ห้อใดก็ได้ผลแบบนั้น โดยชี้แจงสาเหตุ ดังนี้
 
1. ตรวจในเวลาที่เร็วเกินไป รับเชื้อเมื่อวาน (11 ต.ค.) แล้ว 1-2 วันมาตรวจหาเชื้อยังไม่ทันเพิ่มจำนวนก็ตรวจไม่ได้ บางที RT-PCR ยังตรวจไม่เจอ ดังนั้น ATK ที่มีความไวน้อยกว่าก็จะตรวจไม่เจอได้
 
2. เชื้อมีปริมาณน้อย ไม่ว่าก่อนหรือหลังติดเชื้อ เช่น ติดเชื้อไปแล้วร่างกายกำจัดเชื้อไปมากแล้ว ตรวจ RT-PCR ยังเจอแต่เป็นซากเชื้อ แต่มาตรวจ ATK ก็ไม่เจอ
 
ขณะที่ ข้อมูลจากกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข รายงานการติดเชื้อเข้าข่าย/ผลตรวจ ATK (10 ต.ค.) พบผลเป็นบวกถึง 10,055 ราย ซึ่งเป็นครั้งแรกที่พบผลตรวจจาก ATK เกินหลักหมื่นราย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่