เวลาคุณออกไปซื้อของ
หรืออะไรก็แล้วแต่ แล้วมีคนมาขอเงินคุณ คุณทำยังไงกันครับ ให้หรือไม่
สำหรับผม ส่วนมากจะให้ครับ 😅 อย่าตำหนิว่าผม
สร้างคนนิสัยไม่ดีขึ้นใน
สังคมเลยนะครับ
ผมรู้ว่าผมทำไม่ถูก แต่ผมก็มีลิมิตและเหตุผลของผม
คนร้อยคนก็เหตุผลร้อยอย่าง คนที่ไม่ให้ เขาก็คง
มีเหตุผลของเขา และผม
ก็ไม่คิดจะไปตำหนิหรือ
อยากรู้เหตุผลของเขา
เหมือนช้างที่เขาพามาเดิน
เร่ไงครับ บางเสียงก็ตำหนิ
คนให้ บางเสียงก็ตำหนิคน
ไม่ให้ แต่ละคนก็มีเหตุผลของตัวเอง
ผมเป็นคนหนึ่งที่...ให้ครับ
เหตุผลที่ให้คือ...ช้างเป็น
สัตว์ใหญ่ ปกติก็กินไม่ค่อยจะอิ่มอยู่แล้ว ถ้าทุกคนพา
กันหมางเมินหมด เขาจะมีอะไรตกถึงท้อง ผมก็เลย
ใช้ใจตัดสิน แทนสมอง
เจอเมื่อไหร่ก็แบ่ง ๆกัน
ช้างได้กิน ควาญก็พอได้กิน
และผมก็ไม่ถึงกะจน แม้ว่า
จะค่อนข้างจนอยู่แต่เดิม
ก็ตาม
ผมจะใช้ใจแทนสมองเสมอ ถ้ารู้สึกว่า อยากช่วย
ช่วยแล้ว ให้แล้ว ผมก็จะแค่
ถามตัวเองว่า คนรับพอใจไหม ตัวผมเองเล่ามีความสุขไหม
ถ้าประโยชน์สองสิ่งนี้ครบ
แล้ว ผมก็ไม่สนใจใครอื่น
แล้วครับ จะมองอย่างไร
ก็แล้วแต่เลย
ผมเคยลำบาก เคยอดชนิดแทบไม่มีจะกิน
ดังนั้นถ้าหากจะมีสักครั้ง
ที่ผมจะได้ช่วยเหลือคนอื่น
ผมจะไม่ลังเลเลย
เพียงแต่ต้องใช้ใจคัดกรองอีกนิดหน่อย
ผมเคยคุยกับพ่อเรื่องนี้
เพราะพ่อจะห่วง กลัวผม
โดนหลอกจากความใจอ่อน
แต่ ..พ่อไม่รู้หรอกว่าผมแค่ใจอ่อนแต่ไม่ได้โง่นี่ครับ
ผมจะช่วยอะไรใคร
ก็จะยึดหลักว่า ช่วยเท่าที่ช่วยได้เสมอ
และ ผมไม่เคยอยากได้ของใคร คนอื่นมีเงินล้านก็ช่าง
ปะไร ผมพอใจแค่เงินของผม ถึงจะมีแค่หลักสิบก็ตาม
เกริ่นมาเสียยาว เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ เกิดขึ้นในตลาดนัดแห่งหนึ่งครับ
ทุกวันเสาร์และอาทิตย์
ผมจะรับงานพิเศษ(วันธรรมดาผมเป็นชาวไร่-ชาวนาและชาวสวน)
บางวันเลิกงานแล้วก็ตรง
กลับบ้านเลย แต่บางวันก็
ต้องแวะตลาด แลัวแต่จำเป็น
อย่างเมื่อวันอาทิตย์ที่แล้ว แม่อยากกิน ขนมกุยช่าย
ผมก็เลยต้องแวะซื้อให้
ตลาดที่ผมแวะนี้ มีของ
อร่อยขึ้นชื่อ หลายอย่าง
โดยเฉพาะขนมครกโบราณ
และข้าวหมูแดง บอกเลย
ว่ายังไม่เจอที่ไหนอร่อยกว่า
ผมแวะไปสั่งชานมเจ้าประจำ(เข้าทีไรก็โดนแทะโลมตลอด แต่..ของเขาอร่อยจริงครับ)
เสร็จแล้วก็แว่บไปร้านกุยช่าย ตอนเดินออกมา
ผมเพิ่งมองเห็น เด็กชายหญิงคู่หนึ่ง แกนั่งอยู่กับพื้นโดยข้างหน้ามีถังใส่ทราย สำหรับปัก
ของบางอย่างตั้งอยู่
ผู้คนก็เดินผ่านกันพลุกพล่านแต่ไม่มีใครหยุด
มองสองเด็กที่นั่งก้มหน้าอยู่
ที่พื้นเลย
ผมหยุดสังเกตอยู่ประมาณ
สิบนาทีก็เห็นว่า ของที่เด็กปักไว้ในถังคือ ตั๊กแตน,กุ้ง,ปูและนกหางยาวซึ่งทำจาก
ทางมะพร้าวโดยบางตัว
ทางมะพร้าวเริ่มห่อแล้ว
เมื่อมองสินค้าแล้ว ผมก็เริ่ม
มองเด็ก เด็กผู้ชายน่าจะ
ประมาณสิบขวบ ส่วนเด็กผู้หญิงคงสักเจ็ดถึงแปดขวบ
ได้
เด็กผู้หญิงยังมีเงยหน้าขึ้นมามองคนที่เดินผ่านไปผ่านมาบ้าง แต่เด็กผู้ชายเอาแต่
ก้มหน้านิ่ง และที่ทำให้ผม
เศร้าใจคือ เหมือนไม่มีใคร
มองเห็นเด็กเล็กสองคนนี้
เลย พูดอย่างเรา ๆก็คือ
กับขอทาน ผมยังเห็นมีคนให้เงินไม่มากก็น้อย
แต่กับเด็กเล็กสองคนนี้กลับไม่ได้รับการเหลียวแลแม้แค่หยุดมองสักนิด
ไม่รู้ว่าทำไมผมถึงรู้สึกเจ็บ
แม้สินค้าของสองเด็กอาจใช้ทำอะไรไม่ได้(แม้จะน่ารักก็ตาม) แต่ความเป็นเด็ก
แล้วมานั่งขายของก็หน้าจะพอหยุดสายตาของใครได้บ้าง แต่นี่...กลับไม่มีเลย
และผมก็อดไม่ได้ที่จะแวะ
เข้าไปดูสินค้าของทั้งสอง
แค่ผมย่อตัวลงนั่งและเด็ก
ผู้ชายเงยหน้าขึ้นสบตา
ผมก็จุกในอกโดยไม่มีสาเหตุ แววตาแกดูตื่นเต้น
ยินดีเหลือเกินทั้งที่ผมยังไม่ได้พูดอะไรสักคำ
"คุณลุง สนใจตั๊กแตนของเราไหมคะ"
เด็กผู้หญิงทำตาหยีจนเป็น
สระอิใส่ผม แกคงกำลังยิ้ม
เหมือนที่ผมก็ยิ้มให้แก
"สนใจครับ หนูทำเองหรือ"
"ค่ะ..หนูทำตั๊กแตน แต่ปูแล้วก็นกแล้วก็กุ้งพี่ปูทำ"
อ้อ..เด็กผู้ชายคงชื่อปูสินะ
"สวยทุกตัวเลย ว่าแต่ขายได้กี่ตัวแล้วครับ"
พอเจอคำถามนี้ สองเด็กก็
ส่ายหน้าหวือพร้อมกัน
"ไม่มีใครหยุดดูเลยค่ะ
เราอยากกินข้าวหมูแดง
แต่พ่อไม่มีตังค์ อุตส่าห์ทำ
ตั๊กแตนมาขาย แต่ไม่มีใคร
ซื้อเลย"
โธ่เอ๋ยเด็กหนอเด็ก ขนาดขายไม่ได้แต่ก็ยังยิ้มได้
ผมเหลือบตามองเด็กผู้ชาย
ก็เห็นเขาจ้องมองผม อย่าง
มีความหวัง
"ตัวไหนทำยากที่สุดครับ"
"ทำง่ายทุกตัวเลยครับ แต่คงเพราะมันทำง่ายนี่แหละก็เลย...ขายไม่ได้"
"ใครบอกว่าขายไม่ได้
ลุงก็จะซื้ออยู่นี่ไง ขายยังไง
กันล่ะ ราคาเท่ากันทุกตัวหรือเปล่า"
"ตัวละห้าบาทครับ"
เด็กชายบอกอย่างกระตือรือร้น
ผมกะด้วยสายตาหมดนี่
หน้าจะประมาณร้อยบาท
ถ้ามองว่าทำจากใบมะพร้าว
ก็ดูไม่มีต้นทุนอะไร แต่ถ้า
คำนวณราคาฝีมือ กลับตกต่ำจนน่าใจหาย
"งั้น อยากขายลุงกี่ตัวก็นับ
มาเลย"
"คุณลุง..เอาไปเลี้ยงทั้งหมดได้ไหมคะ เพราะ
คงไม่มีใครซื้อเราแล้ว"
เด็กหญิงต่อรองพร้อมรอย
ยิ้ม
เด็กเล็ก ๆสองคน กับทาง
มะพร้าวรูปสัตว์ยี่สิบตัว
เป็นผมจะทำได้อย่างเด็ก
สองคนนี้หรือเปล่า
แม้จะไม่มี.. แต่ก็ไม่ขอใคร
"ถ้าลุงเหมาหมด จะเอาตังค์ไปซื้ออะไรบ้าง"
"ข้าวหมูแดงค่ะ/ครับ"
สองเด็กตอบพร้อมกันก่อน
หัวเราะ เล่นเอาผมขำไปด้วย
"งั้นจัดมาเลย ขายหมดแล้ว พาลุงไปร้านข้าวหมูแดงด้วย ลุงเลี้ยงเอง"
"จริงหรือคะ งั้นหนูใส่ถุงเลยนะคะ"
จากนั้นลุงร่วมโลกก็พา
หลานร่วมโลกไปซื้อข้าวหมู
แดง ค่าแรงที่ได้รับมาในวันนั้น อาจถูกใช้ซื้อของที่ไม่มีประโยชน์สำหรับคนอื่น
ไปร้อยกว่าบาทแต่สำหรับผม มันยิ่งกว่ามีประโยชน์อีกครับ เพราะ...
มันซื้อรอยยิ้มของสองเด็ก
น้อยและอาหารมื้อเย็น(ที่
เด็กหญิงปลากิมบอกว่า
อร่อยที่สุดในโลก)ได้หนึ่ง
มื้อ
ก่อนโบกมือลากัน ผมถาม
สองเด็กว่า ครั้งหน้าจะขาย
อะไร เด็กหญิงก็รีบตอบ
"เราต้องเปลี่ยนของขาย
แล้วค่ะ อาจเป็นผักหรือ
อะไรสักอย่าง ถ้าคุณลุง
ผ่านมา ต้องอุดหนุนเราด้วย
นะคะ"
"ลุงจะมาแวะทุกเสาร์อาทิตย์ ถ้าเห็นลุง ก็เรียกละกัน เพราะลุงความจำสั้น"
และขณะที่ผมกำลังเขียน
เรื่องนี้ลงในห้องนักเขียน
งานฝีมือของสองเด็กก็ปักอยู่ในแก้วใส่ทรายตรงหน้า
ผมนี่แหละ ไว้ไปทำงาน
พิเศษอาทิตย์หน้า แล้วจะมาเล่าให้ฟังนะครับว่า..
เจอ พี่ปูกับหนูปลากิมหรือเปล่า และแกขายอะไรกัน
ขอบคุณครับ
..เพื่อนร่วมโลก...
หรืออะไรก็แล้วแต่ แล้วมีคนมาขอเงินคุณ คุณทำยังไงกันครับ ให้หรือไม่
สำหรับผม ส่วนมากจะให้ครับ 😅 อย่าตำหนิว่าผม
สร้างคนนิสัยไม่ดีขึ้นใน
สังคมเลยนะครับ
ผมรู้ว่าผมทำไม่ถูก แต่ผมก็มีลิมิตและเหตุผลของผม
คนร้อยคนก็เหตุผลร้อยอย่าง คนที่ไม่ให้ เขาก็คง
มีเหตุผลของเขา และผม
ก็ไม่คิดจะไปตำหนิหรือ
อยากรู้เหตุผลของเขา
เหมือนช้างที่เขาพามาเดิน
เร่ไงครับ บางเสียงก็ตำหนิ
คนให้ บางเสียงก็ตำหนิคน
ไม่ให้ แต่ละคนก็มีเหตุผลของตัวเอง
ผมเป็นคนหนึ่งที่...ให้ครับ
เหตุผลที่ให้คือ...ช้างเป็น
สัตว์ใหญ่ ปกติก็กินไม่ค่อยจะอิ่มอยู่แล้ว ถ้าทุกคนพา
กันหมางเมินหมด เขาจะมีอะไรตกถึงท้อง ผมก็เลย
ใช้ใจตัดสิน แทนสมอง
เจอเมื่อไหร่ก็แบ่ง ๆกัน
ช้างได้กิน ควาญก็พอได้กิน
และผมก็ไม่ถึงกะจน แม้ว่า
จะค่อนข้างจนอยู่แต่เดิม
ก็ตาม
ผมจะใช้ใจแทนสมองเสมอ ถ้ารู้สึกว่า อยากช่วย
ช่วยแล้ว ให้แล้ว ผมก็จะแค่
ถามตัวเองว่า คนรับพอใจไหม ตัวผมเองเล่ามีความสุขไหม
ถ้าประโยชน์สองสิ่งนี้ครบ
แล้ว ผมก็ไม่สนใจใครอื่น
แล้วครับ จะมองอย่างไร
ก็แล้วแต่เลย
ผมเคยลำบาก เคยอดชนิดแทบไม่มีจะกิน
ดังนั้นถ้าหากจะมีสักครั้ง
ที่ผมจะได้ช่วยเหลือคนอื่น
ผมจะไม่ลังเลเลย
เพียงแต่ต้องใช้ใจคัดกรองอีกนิดหน่อย
ผมเคยคุยกับพ่อเรื่องนี้
เพราะพ่อจะห่วง กลัวผม
โดนหลอกจากความใจอ่อน
แต่ ..พ่อไม่รู้หรอกว่าผมแค่ใจอ่อนแต่ไม่ได้โง่นี่ครับ
ผมจะช่วยอะไรใคร
ก็จะยึดหลักว่า ช่วยเท่าที่ช่วยได้เสมอ
และ ผมไม่เคยอยากได้ของใคร คนอื่นมีเงินล้านก็ช่าง
ปะไร ผมพอใจแค่เงินของผม ถึงจะมีแค่หลักสิบก็ตาม
เกริ่นมาเสียยาว เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ เกิดขึ้นในตลาดนัดแห่งหนึ่งครับ
ทุกวันเสาร์และอาทิตย์
ผมจะรับงานพิเศษ(วันธรรมดาผมเป็นชาวไร่-ชาวนาและชาวสวน)
บางวันเลิกงานแล้วก็ตรง
กลับบ้านเลย แต่บางวันก็
ต้องแวะตลาด แลัวแต่จำเป็น
อย่างเมื่อวันอาทิตย์ที่แล้ว แม่อยากกิน ขนมกุยช่าย
ผมก็เลยต้องแวะซื้อให้
ตลาดที่ผมแวะนี้ มีของ
อร่อยขึ้นชื่อ หลายอย่าง
โดยเฉพาะขนมครกโบราณ
และข้าวหมูแดง บอกเลย
ว่ายังไม่เจอที่ไหนอร่อยกว่า
ผมแวะไปสั่งชานมเจ้าประจำ(เข้าทีไรก็โดนแทะโลมตลอด แต่..ของเขาอร่อยจริงครับ)
เสร็จแล้วก็แว่บไปร้านกุยช่าย ตอนเดินออกมา
ผมเพิ่งมองเห็น เด็กชายหญิงคู่หนึ่ง แกนั่งอยู่กับพื้นโดยข้างหน้ามีถังใส่ทราย สำหรับปัก
ของบางอย่างตั้งอยู่
ผู้คนก็เดินผ่านกันพลุกพล่านแต่ไม่มีใครหยุด
มองสองเด็กที่นั่งก้มหน้าอยู่
ที่พื้นเลย
ผมหยุดสังเกตอยู่ประมาณ
สิบนาทีก็เห็นว่า ของที่เด็กปักไว้ในถังคือ ตั๊กแตน,กุ้ง,ปูและนกหางยาวซึ่งทำจาก
ทางมะพร้าวโดยบางตัว
ทางมะพร้าวเริ่มห่อแล้ว
เมื่อมองสินค้าแล้ว ผมก็เริ่ม
มองเด็ก เด็กผู้ชายน่าจะ
ประมาณสิบขวบ ส่วนเด็กผู้หญิงคงสักเจ็ดถึงแปดขวบ
ได้
เด็กผู้หญิงยังมีเงยหน้าขึ้นมามองคนที่เดินผ่านไปผ่านมาบ้าง แต่เด็กผู้ชายเอาแต่
ก้มหน้านิ่ง และที่ทำให้ผม
เศร้าใจคือ เหมือนไม่มีใคร
มองเห็นเด็กเล็กสองคนนี้
เลย พูดอย่างเรา ๆก็คือ
กับขอทาน ผมยังเห็นมีคนให้เงินไม่มากก็น้อย
แต่กับเด็กเล็กสองคนนี้กลับไม่ได้รับการเหลียวแลแม้แค่หยุดมองสักนิด
ไม่รู้ว่าทำไมผมถึงรู้สึกเจ็บ
แม้สินค้าของสองเด็กอาจใช้ทำอะไรไม่ได้(แม้จะน่ารักก็ตาม) แต่ความเป็นเด็ก
แล้วมานั่งขายของก็หน้าจะพอหยุดสายตาของใครได้บ้าง แต่นี่...กลับไม่มีเลย
และผมก็อดไม่ได้ที่จะแวะ
เข้าไปดูสินค้าของทั้งสอง
แค่ผมย่อตัวลงนั่งและเด็ก
ผู้ชายเงยหน้าขึ้นสบตา
ผมก็จุกในอกโดยไม่มีสาเหตุ แววตาแกดูตื่นเต้น
ยินดีเหลือเกินทั้งที่ผมยังไม่ได้พูดอะไรสักคำ
"คุณลุง สนใจตั๊กแตนของเราไหมคะ"
เด็กผู้หญิงทำตาหยีจนเป็น
สระอิใส่ผม แกคงกำลังยิ้ม
เหมือนที่ผมก็ยิ้มให้แก
"สนใจครับ หนูทำเองหรือ"
"ค่ะ..หนูทำตั๊กแตน แต่ปูแล้วก็นกแล้วก็กุ้งพี่ปูทำ"
อ้อ..เด็กผู้ชายคงชื่อปูสินะ
"สวยทุกตัวเลย ว่าแต่ขายได้กี่ตัวแล้วครับ"
พอเจอคำถามนี้ สองเด็กก็
ส่ายหน้าหวือพร้อมกัน
"ไม่มีใครหยุดดูเลยค่ะ
เราอยากกินข้าวหมูแดง
แต่พ่อไม่มีตังค์ อุตส่าห์ทำ
ตั๊กแตนมาขาย แต่ไม่มีใคร
ซื้อเลย"
โธ่เอ๋ยเด็กหนอเด็ก ขนาดขายไม่ได้แต่ก็ยังยิ้มได้
ผมเหลือบตามองเด็กผู้ชาย
ก็เห็นเขาจ้องมองผม อย่าง
มีความหวัง
"ตัวไหนทำยากที่สุดครับ"
"ทำง่ายทุกตัวเลยครับ แต่คงเพราะมันทำง่ายนี่แหละก็เลย...ขายไม่ได้"
"ใครบอกว่าขายไม่ได้
ลุงก็จะซื้ออยู่นี่ไง ขายยังไง
กันล่ะ ราคาเท่ากันทุกตัวหรือเปล่า"
"ตัวละห้าบาทครับ"
เด็กชายบอกอย่างกระตือรือร้น
ผมกะด้วยสายตาหมดนี่
หน้าจะประมาณร้อยบาท
ถ้ามองว่าทำจากใบมะพร้าว
ก็ดูไม่มีต้นทุนอะไร แต่ถ้า
คำนวณราคาฝีมือ กลับตกต่ำจนน่าใจหาย
"งั้น อยากขายลุงกี่ตัวก็นับ
มาเลย"
"คุณลุง..เอาไปเลี้ยงทั้งหมดได้ไหมคะ เพราะ
คงไม่มีใครซื้อเราแล้ว"
เด็กหญิงต่อรองพร้อมรอย
ยิ้ม
เด็กเล็ก ๆสองคน กับทาง
มะพร้าวรูปสัตว์ยี่สิบตัว
เป็นผมจะทำได้อย่างเด็ก
สองคนนี้หรือเปล่า
แม้จะไม่มี.. แต่ก็ไม่ขอใคร
"ถ้าลุงเหมาหมด จะเอาตังค์ไปซื้ออะไรบ้าง"
"ข้าวหมูแดงค่ะ/ครับ"
สองเด็กตอบพร้อมกันก่อน
หัวเราะ เล่นเอาผมขำไปด้วย
"งั้นจัดมาเลย ขายหมดแล้ว พาลุงไปร้านข้าวหมูแดงด้วย ลุงเลี้ยงเอง"
"จริงหรือคะ งั้นหนูใส่ถุงเลยนะคะ"
จากนั้นลุงร่วมโลกก็พา
หลานร่วมโลกไปซื้อข้าวหมู
แดง ค่าแรงที่ได้รับมาในวันนั้น อาจถูกใช้ซื้อของที่ไม่มีประโยชน์สำหรับคนอื่น
ไปร้อยกว่าบาทแต่สำหรับผม มันยิ่งกว่ามีประโยชน์อีกครับ เพราะ...
มันซื้อรอยยิ้มของสองเด็ก
น้อยและอาหารมื้อเย็น(ที่
เด็กหญิงปลากิมบอกว่า
อร่อยที่สุดในโลก)ได้หนึ่ง
มื้อ
ก่อนโบกมือลากัน ผมถาม
สองเด็กว่า ครั้งหน้าจะขาย
อะไร เด็กหญิงก็รีบตอบ
"เราต้องเปลี่ยนของขาย
แล้วค่ะ อาจเป็นผักหรือ
อะไรสักอย่าง ถ้าคุณลุง
ผ่านมา ต้องอุดหนุนเราด้วย
นะคะ"
"ลุงจะมาแวะทุกเสาร์อาทิตย์ ถ้าเห็นลุง ก็เรียกละกัน เพราะลุงความจำสั้น"
และขณะที่ผมกำลังเขียน
เรื่องนี้ลงในห้องนักเขียน
งานฝีมือของสองเด็กก็ปักอยู่ในแก้วใส่ทรายตรงหน้า
ผมนี่แหละ ไว้ไปทำงาน
พิเศษอาทิตย์หน้า แล้วจะมาเล่าให้ฟังนะครับว่า..
เจอ พี่ปูกับหนูปลากิมหรือเปล่า และแกขายอะไรกัน
ขอบคุณครับ