คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 4
1. ถ้าเก่งแบบสอบหมอสบายๆ แนะนำเข้า วิศวะ จุฬา ภาคคอม ครับ ที่บอกว่าถ้าเก่งก็เพราะว่าปีหนึ่งต้องแข่งทำเกรดเพื่อเลือกภาค
แล้วภาคคอมคะแนนสูงสุด
ถ้ากลางๆ แนะนำเข้า วิศวะ คอม ไม่ก็ วิทยาศาสตร์คอมครับ มหาลัยก็แล้วแต่สอบได้เลยครับ อย่าเข้าคณะเฉพาะ AI ตรงๆ
ให้เลือกเรียนกว้างๆ ก่อน เพราะไม่แน่ว่าเข้าไปแล้วอาจจะชอบอย่างอื่นมากกว่า
แล้วก็อย่า mindset เหมือนเด็กคอมทั่วไปที่ทิ้งเลข ถ้าทำ AI(ML) ต้องรู้เรื่อง calculus, statistics ด้วย
แล้วก็ฝึกฝนภาษาอังกฤษให้ดี สายนี้อังกฤษจำเป็น
2. มีเยอะครับ ที่ดังๆทั่วไปก็ data science จริงๆของพวกนี้ถูกใช้โดยทั่วไปในชีวิตประจำวันของเราเลยครับ มีหลายแขนงเลือก search หาข้อมูลเพิ่ม
เติมเองดีกว่า (Computer Vision, Autonomous Car, NLP, OCR)
3. ถ้าเตรียมตัวเรื่องภาษา ตั้งแต่ตอนนี้ไม่ยากครับ งานสายนี้ขาดคนเก่งเยอะครับ
4. หนักครับ เพราะเข้าไปแล้ว จะมีพวกเก่งๆ ที่ฝึกมาตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว แล้วเราจะล่กๆหน่อย ทำไมเพื่อนเก่งจัง ถ้าเป็นไปได้ฝึกไว้ก่อนก็ดีครับ
5. course CS50 Harvard College
ภาษา เริ่ม python จะดีต่อกำลังใจในการเรียนสุดครับ c++ ยากสุด แต่ทำงานจริงๆ ใช้ c++ ในการพัฒนาตัว AI เป็นหลักซึ่งค่อยเรียนก็ได้
เอาจริง login ได้ก็เขียนภาษาไหนก็ได้ มันต่างกันไม่เยอะ
6. แพทย์ดีและมั่นคงจริงครับ แต่อย่าลืมว่า โลกใบนี้มันไม่แน่นอน สิ่งที่แน่นอนที่สุด คือความสามารถและความรู้ของเราที่ไม่มีใครพรากไปได้
ฉะนั้นถ้าเก่งและขยัน ไม่มีทางอดตาย
หมอจบใหม่ ทำงานวันละ 30 ชม เงินเดือน 70,000
สายคอมทั่วไปจบใหม่ 25,000 ถ้าเก่งก็ 30-40k ทำงานประมาณ 8 - 12 ชม
ลองหารดูครับว่าอันไหนเงินต่อชั่วโมงได้เยอะกว่า
อีกอย่างทำงานสาย IT เราแก้ปัญหาให้คนได้ตั้งแต่ 1 ถึง infinity คน ตอนเราหลับมันก็ทำงานให้เราอยู่
แต่เป็นหมอได้ทีละ 1 ต่อ 1 เท่านั้น เราต้องตื่นมาทำตลอด ถึงจะมีเงิน
เรียนหมอเหมือนใช้ชีวิตแบบ survival mode ตลอดเวลา ตอนเรียนก็แข่งกับคนเก่ง แบบสุดๆ
ปี 1 - 3 เรียนปกติ
ปี 4 - 6 ขึ้นclinic ต้องเรียนไปด้วย ตรวจคนไข้ด้วย ถึงรพ 7:00 ทุกเช้า บางทีต้องอ่านหนังสือแบบไม่ได้นอนแล้วไปสอบ เข้าเวรแบบไม่ได้นอนอีก
จบมาใช้ทุน 3 ปี หนักกว่าตอน ปี 4 - 6 อีก ไปทำงานรักษาคนไข้จริงๆ ถ้าคุณทำอะไรพลาด ก็จะมีคนพร้อมกินหัวคุณทันที ทั้งอาจารย์และรุ่นพี่
ส่วนใหญ่ช่วงนี้ เป็นช่วงที่มีหมอฆ่าตัวตาย ประสบอุบัติเหตุเพราะหลับใน และเสียสุขภาพจิตไปเยอะพอสมควร
จะต่อเฉพาะทาง ก็ต้องใช้เส้นสายเป็นหลักในการเข้าเรียน แถมต้องเป็นทาส อาจารย์ที่สอนไปอีกหลายปี ถ้าอาจารย์ดี ก็ดีไป
มาถึงตอนนี้ คุณก็จะประมาณ 34 - 35 แล้ว รับได้ไหมกับชีวิตแบบนี้ ลองถามตัวเองดู
อันนี้เป็นปสกตรง จากที่ผมเห็นจากพี่ของผม และเพื่อนๆ และรุ่นน้อง
ข้อดีของการเป็นหมอก็เยอะ แต่คิดว่าทุกคนรู้หมดแล้วเลยขอไม่พูดดีกว่า
"การเรียนสายนี้จบมาก็เป็นได้แค่ช่างซ่อมคอม"
ตั้งแต่ตื่นจนนอน เราใช้งาน software ตลอดเวลา ในทุกๆ device ก็มี software
บริษัทใหญ่ๆรวยๆ ระดับโลกก็บริษัท software บริษัทใหญ่แบบ SCB ยังต้องแปลงร่างตัวเองเป็น SCBX มาทำ software แข่งเลย
ฉะนั้นผมว่า มันมีโอกาสเยอะมากกว่าช่างซ่อมคอมแน่นอน
ข้อเสีย ผมอยากแนะนำว่า ถ้าเป็นไปได้ในพยายามหางานต่างประเทศหรือเล็งตปท มากกว่าที่จะทำงานในไทย เพราะว่าในไทย เราจะเป็นแนวๆ
End-user มากกว่าที่ dev เอง ทำให้บางทีเรียนมาแล้วใช้งานความรู้ไม่คุ้ม ก็คือ ถ้าจะสร้างหุ่นยนตร์ และAI ประเทศเราไม่ค่อยมีครับ
ส่วนใหญ่จะเป็น ซื้อมาใช้ ซื้อมา implement มากกว่า แล้วก็หาคนมา maintence เอา
ปล. ขอให้โชคดีครับ
แล้วภาคคอมคะแนนสูงสุด
ถ้ากลางๆ แนะนำเข้า วิศวะ คอม ไม่ก็ วิทยาศาสตร์คอมครับ มหาลัยก็แล้วแต่สอบได้เลยครับ อย่าเข้าคณะเฉพาะ AI ตรงๆ
ให้เลือกเรียนกว้างๆ ก่อน เพราะไม่แน่ว่าเข้าไปแล้วอาจจะชอบอย่างอื่นมากกว่า
แล้วก็อย่า mindset เหมือนเด็กคอมทั่วไปที่ทิ้งเลข ถ้าทำ AI(ML) ต้องรู้เรื่อง calculus, statistics ด้วย
แล้วก็ฝึกฝนภาษาอังกฤษให้ดี สายนี้อังกฤษจำเป็น
2. มีเยอะครับ ที่ดังๆทั่วไปก็ data science จริงๆของพวกนี้ถูกใช้โดยทั่วไปในชีวิตประจำวันของเราเลยครับ มีหลายแขนงเลือก search หาข้อมูลเพิ่ม
เติมเองดีกว่า (Computer Vision, Autonomous Car, NLP, OCR)
3. ถ้าเตรียมตัวเรื่องภาษา ตั้งแต่ตอนนี้ไม่ยากครับ งานสายนี้ขาดคนเก่งเยอะครับ
4. หนักครับ เพราะเข้าไปแล้ว จะมีพวกเก่งๆ ที่ฝึกมาตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว แล้วเราจะล่กๆหน่อย ทำไมเพื่อนเก่งจัง ถ้าเป็นไปได้ฝึกไว้ก่อนก็ดีครับ
5. course CS50 Harvard College
ภาษา เริ่ม python จะดีต่อกำลังใจในการเรียนสุดครับ c++ ยากสุด แต่ทำงานจริงๆ ใช้ c++ ในการพัฒนาตัว AI เป็นหลักซึ่งค่อยเรียนก็ได้
เอาจริง login ได้ก็เขียนภาษาไหนก็ได้ มันต่างกันไม่เยอะ
6. แพทย์ดีและมั่นคงจริงครับ แต่อย่าลืมว่า โลกใบนี้มันไม่แน่นอน สิ่งที่แน่นอนที่สุด คือความสามารถและความรู้ของเราที่ไม่มีใครพรากไปได้
ฉะนั้นถ้าเก่งและขยัน ไม่มีทางอดตาย
หมอจบใหม่ ทำงานวันละ 30 ชม เงินเดือน 70,000
สายคอมทั่วไปจบใหม่ 25,000 ถ้าเก่งก็ 30-40k ทำงานประมาณ 8 - 12 ชม
ลองหารดูครับว่าอันไหนเงินต่อชั่วโมงได้เยอะกว่า
อีกอย่างทำงานสาย IT เราแก้ปัญหาให้คนได้ตั้งแต่ 1 ถึง infinity คน ตอนเราหลับมันก็ทำงานให้เราอยู่
แต่เป็นหมอได้ทีละ 1 ต่อ 1 เท่านั้น เราต้องตื่นมาทำตลอด ถึงจะมีเงิน
เรียนหมอเหมือนใช้ชีวิตแบบ survival mode ตลอดเวลา ตอนเรียนก็แข่งกับคนเก่ง แบบสุดๆ
ปี 1 - 3 เรียนปกติ
ปี 4 - 6 ขึ้นclinic ต้องเรียนไปด้วย ตรวจคนไข้ด้วย ถึงรพ 7:00 ทุกเช้า บางทีต้องอ่านหนังสือแบบไม่ได้นอนแล้วไปสอบ เข้าเวรแบบไม่ได้นอนอีก
จบมาใช้ทุน 3 ปี หนักกว่าตอน ปี 4 - 6 อีก ไปทำงานรักษาคนไข้จริงๆ ถ้าคุณทำอะไรพลาด ก็จะมีคนพร้อมกินหัวคุณทันที ทั้งอาจารย์และรุ่นพี่
ส่วนใหญ่ช่วงนี้ เป็นช่วงที่มีหมอฆ่าตัวตาย ประสบอุบัติเหตุเพราะหลับใน และเสียสุขภาพจิตไปเยอะพอสมควร
จะต่อเฉพาะทาง ก็ต้องใช้เส้นสายเป็นหลักในการเข้าเรียน แถมต้องเป็นทาส อาจารย์ที่สอนไปอีกหลายปี ถ้าอาจารย์ดี ก็ดีไป
มาถึงตอนนี้ คุณก็จะประมาณ 34 - 35 แล้ว รับได้ไหมกับชีวิตแบบนี้ ลองถามตัวเองดู
อันนี้เป็นปสกตรง จากที่ผมเห็นจากพี่ของผม และเพื่อนๆ และรุ่นน้อง
ข้อดีของการเป็นหมอก็เยอะ แต่คิดว่าทุกคนรู้หมดแล้วเลยขอไม่พูดดีกว่า
"การเรียนสายนี้จบมาก็เป็นได้แค่ช่างซ่อมคอม"
ตั้งแต่ตื่นจนนอน เราใช้งาน software ตลอดเวลา ในทุกๆ device ก็มี software
บริษัทใหญ่ๆรวยๆ ระดับโลกก็บริษัท software บริษัทใหญ่แบบ SCB ยังต้องแปลงร่างตัวเองเป็น SCBX มาทำ software แข่งเลย
ฉะนั้นผมว่า มันมีโอกาสเยอะมากกว่าช่างซ่อมคอมแน่นอน
ข้อเสีย ผมอยากแนะนำว่า ถ้าเป็นไปได้ในพยายามหางานต่างประเทศหรือเล็งตปท มากกว่าที่จะทำงานในไทย เพราะว่าในไทย เราจะเป็นแนวๆ
End-user มากกว่าที่ dev เอง ทำให้บางทีเรียนมาแล้วใช้งานความรู้ไม่คุ้ม ก็คือ ถ้าจะสร้างหุ่นยนตร์ และAI ประเทศเราไม่ค่อยมีครับ
ส่วนใหญ่จะเป็น ซื้อมาใช้ ซื้อมา implement มากกว่า แล้วก็หาคนมา maintence เอา
ปล. ขอให้โชคดีครับ
แสดงความคิดเห็น
อยากทราบข้อมูลเกี่ยวกับคณะและอาชีพที่เกี่ยวข้องกับการเขียนโปรแกรมปัญญาประดิษฐ์หน่อยค่ะ