สำหรับคนทั่วไปแล้วภาพยนตร์ชุด เจมส์ บอนด์ ก็คงจะเป็นหนังเกี่ยวกับสายลับตีๆ ต่อยๆ ทำภารกิจอะไรซักอย่างถูกต้องไหมครับ
แต่สำหรับผมแล้วเจมส์ บอนด์ เป็นหนังที่ผมรักแล้วก็ติดตามมานานน่าจะเป็น 20 ปีได้ และแน่นอนครับ แดนเนียล เคร๊ก ก็เป็นนักแสดงคนหนึ่งที่หลายๆ คนรวมทั้งตัวผมเองต่างก็ปรามาสตั้งแต่แรก ว่าเค้าดูไม่ค่อยเหมาะสมที่จะเป็นเจมส์ บอนด์ เลย แต่ ณ ตอนนี้เค้าก็ได้พิสูจน์ให้คนทั้งโลกเห็นแล้วว่า เค้าเป็นหนึ่งในเจมส์ บอนด์ ดีที่สุดเสียด้วยซ้ำ แล้วก็ตอนนี้ภาพยนตร์ภาคจบตำนานของเจมส์ บอนด์ แบบฉบับของ แดเนียล เคร๊ก ที่ดำเนินมากว่า 15 ปี ตั้งแต่ Casino Royale , Quantum of Solace , Skyfall , Spectre ก็มาถึงกับภาพยนตร์ที่ชื่อว่า No Time To Die ครับ
สำหรับ No Time To Die ผมว่าแบ่งออกเป็น 2 แนวคิดนะครับก็ คือคนที่เป็นติ่งเจมส์ บอนด์ แบบผมเนี่ยขณะที่ดูไปนั้นก็ชอบการที่ผู้กำกับคนนี้ที่เป็นชาวอเมริกันคนแรกที่ได้กำกับภาพยนตร์ชุดเจมส์ บอนด์ ได้นำเอาองค์ประกอบหรือว่า Easter Egg จากเจมส์ บอนด์ ภาคเก่าๆ ตั้งแต่ยุคสมัยของ Sean Connery , Roger More และนักแสดงคนอื่นๆ เอามาแทรกอยู่ข้างในหนังอยู่เรื่อยๆ ทำให้ขณะที่ผมดูไปรู้สึกว่าผมใจฟูขึ้นทุกครั้งที่ได้เห็นอะไรที่เราเคยเห็นมาก่อนนะครับ ดูสักพักก็แบบเฮ้ยภาพนี้เคยมีแบบนี้ เฮ้ยภาคนี้เคยมีแบบนั้น ซึ่งมันเป็นสิ่งที่เราหลงรักมาตั้งนานแล้วการดำเนินเรื่องก็ได้เห็นมุมมองในมิติหลายๆ อย่างครับผม
สิ่งที่ต้องชมมากๆ อย่างแรกก็คือการแสดงของแดเนียล เคร๊ก ในภาคนี้ครับ รู้สึกว่านอกจากจะเป็นพ่อหนุ่มเลือดร้อน มุทะลุดุดัน ชอบต่อยตีก็กลับมากลายเป็นนักแสดงที่ใช้ซีนอารมณ์ได้ดี ตามอายุตามวัยที่มากขึ้นดูสุขุมมากขึ้น รู้สึกว่า เออ....นี่แหละคำว่านักแสดงมืออาชีพนะครับ เฮ้ยยยย ตาลุงเคร๊ก ก็แสดงเก่งไม่น้อยทั้งสีหน้าแววตาและอารมณ์
เรื่องที่ต้องชมต่อมา นั้นก็คือภาพและกลิ่นอายของการนำเสนอครับ ผมว่างานภาพน่ะสวยมากๆ เลยมีมุมกล้องและจังหวะการเล่าเรื่องที่แปลกออกไปจากฉบับของแดนเนียล เคร๊ก ภาค อื่นๆ แต่มันก็เหมือนเจมส์ บอนด์ ยุคเก่า ที่เราเคยติดตามมาเป็นหลายสิบปี ซึ่งมันดูมีมนต์เสน่ห์ของมัน แล้วก็คิดในใจบอกว่านี่แหละเจมส์ บอนด์ ที่ฉันเคยรู้จัก (ไม่ได้หมายถึงว่ายุค ของแดนเนียล เคร๊ก ไม่ดีนะครับแค่เหมือนเรากลับไปเจอเพื่อนเก่าบรรยากาศเก่าๆ ที่เราเคยผูกพันมาก็เท่านั้นเอง)
ต่อเนื่องจากเรื่องของภาพครับผมว่าเป็นมาตรฐานของเจมส์ บอนด์ นะครับที่มักจะไปถ่ายโลเคชั่นสวยๆ มุมมองสุดลูกหูลูกตา จะทำให้เราเหมือนได้ไปเที่ยวด้วยกับทีมงาน ซึ่งในภาคนี้ก็ไม่ได้ลดมาตรฐานลงเลย แต่ก็ดูสวยมากยิ่งขึ้นและยังตื่นตามากขึ้นกว่าที่เราเคยเห็นในภาคก่อนๆ เสียด้วยซ้ำครับ
เอาละชมมาก็เยอะแล้ว ผมว่าเราลองมองในด้านของคนที่ไม่ใช่ติ่งเจมส์ บอนด์ อย่างผมบ้างดีกว่า ด้วยตัวเรื่องที่มีความยาว 2 ชม. 43 นาที มันทำให้เป็นภาพยนตร์เจมส์ บอนด์ ที่ยาวที่สุดเท่าที่เคยทำมา แน่นอนครับ ด้วยความยาวขนาดนี้มันก็ต้องมีจังหวะที่ดูยืดเยื้อ แล้วก็ช้าลงบ้าง เลยทำให้คนที่ไม่ได้อินเท่าไหร่ รู้สึกง่วงแล้วก็เบื่อขึ้นมาเหมือนกันครับ ยิ่งเวลาที่เห็น Easter Egg เค้าอาจจะไม่รู้ แล้วผมว่าคนที่เค้าดูก็น่าจะรู้สึกเฉยๆ แล้วก็บอกว่า อ๋อ.....มันก็สวยดีไม่ได้รู้สึกว่าอินแล้วก็ใจฟูเหมือนผม ประมานนั้นนะครับ
ส่วนเรื่ององค์ประกอบอื่นๆ อย่างเช่นนักแสดงหน้าเก่าหน้าใหม่ ที่เข้ามาผมว่าแต่ละคนได้แสดงบทบาทออกมาดีนะครับ แต่ว่าบางคนกว่าจะออกมาน้อยไปนิดหนึ่ง ซึ่งรู้สึกว่า เออ....แฮะ นึกว่าจะได้เห็นมากกว่านี้ อะไรประมาณนี้ครับส่วนตัวร้ายก็รู้สึกว่าโปรเจคที่พี่แกทำ ใหญ่ซะขนาดนี้ ก็น่าจะมีอะไรมากกว่านี้หน่อยประมาณนั้นนะครับ
บทสรุปของ No Time To Die ถ้าในมุมมองของคนที่ติดตามเจมส์ บอนด์ มาโดยตลอดผมว่าเป็นภาคจบที่ดูสมศักศรีของการเป็นนักแสดงเจมส์ บอนด์ ของ แดเนี ยล เคร๊ก มาตลอด 15 ปี ครับ ทุกสิ่งทุกอย่างก็ได้มีการเล่าแล้วก็ได้เฉลยและคลายปมออกให้หมด แล้วก็เป็นการจบที่น่าจดจำแล้ว แล้วก็รู้สึกทรงพลังยังไงก็ไม่รู้แฮะ ก็ทำให้เรารู้สึกว่า เออนี่แหละ มันก็คือสมบูรณ์แบบแล้วในสิ่งที่จะเป็นไปได้ ซึ่งผมว่ามันเป็นสุดยอดอีกเรื่องหนึ่งเลยครับ ถ้ารู้สึกว่าตอนจบของเรื่อง สำหรับคนที่ผูกพันธ์และติดตามเจมส์ บอนด์ ฉบับของแดนเนียล เคร๊ก มาโดยตลอด ไม่ได้ผูกพันธ์หรือกินใจ ประทับใจ กระชากใจ คนดูแล้วก็ ผมให้ยันหน้าเลยอ่ะ 😅
แต่ถ้าหากว่ามองแบบคนทั่วไปผมว่ามันก็เป็นหนังที่มีมิติในการเล่าเรื่อง การนำเสนอที่น่าสนใจนะครับ รวมถึงเป็นหนังที่มีภาพสวยๆ ให้เราได้ดูแล้วก็ความสามารถของนักแสดง ที่สื่อออกมาผมว่าทำได้ยอดเยี่ยมเลยทีเดียว แต่ก็อาจจะเบื่อๆ บ้างสำหรับเนื้อหาแล้วก็ระยะเวลาที่ค่อนข้างจะยาวนานครับผม แต่ผมว่ามันก็คงจะไม่ขนาดกับน่าเบื่อหรือไม่มีจุดให้เราจับความสนใจขนาดนั้น
จากที่เล่ามาทั้งหมดนั่นแหละค่ะก็อดไม่ได้ที่จะให้คะแนนในเรื่อง No Time To Die เอาไปเลย 10 เต็ม 10 ครับ ถึงแม้ว่าจะเป็นภาพยนตร์ที่ยอดเยี่ยมมากแค่ไหนก็ตาม แต่ส่วนตัวแล้ว Casino Royale ก็ยังเป็นหนึ่งในใจของผมเสมอแน่นอนครับ แต่ถึงกระนั้น No Time To Die ก็เป็นสองในอันดับที่ติดๆ กันเลยทีเดียว
ฝากนิดๆ ก่อนจากครับ สำหรับใครที่กังวลว่า ไม่ได้ดูภาคก่อนหน้า จะดูรู้เรื่องไหม ตอบได้เลยครับ .....ไม่ รู้ เรื่อง.... ครับ แต่ก็ไม่ได้ร้ายกาจขนาดนั้นนะ มันก็ดูรู้เรื่องเข้าใจในตัวหนังที่จะเป็นไปหละครับ แต่หากทำการบ้าน ดูภาคก่อนหน้ามาก่อน อย่างน้อยก็ Spectre (หากพ่วงกับกับ Casino Royale ด้วยจะดีมาก) ผมว่าก็เพียงพอแล้ว ครับผม
สุดท้ายขอให้ทุกคนมีความสุขกับการชมภาพยนตร์นะครับ รวมไปดูบทสรุปของเจมส์บอนด์ ฉบับ แดนเนียล เคร๊ก ด้วยกันในโรงหนังนะครับแล้วโอกาศหน้าพบกันใหม่สวัสดีครับ
ขอฝากคลิ๊ป Youtube นิดนึงครับ พึ่งหัดทำ เข้าใจว่ายังไม่ดีเท่าไหร่ แต่จะพยายามให้ดียิ่งๆ ขึ้นไปครับผม
[-No Spoil-] Reviews ภาพยนต์ No Time To Die พยัคร้ายฝ่าเวลามรณะ -10/10-
สำหรับคนทั่วไปแล้วภาพยนตร์ชุด เจมส์ บอนด์ ก็คงจะเป็นหนังเกี่ยวกับสายลับตีๆ ต่อยๆ ทำภารกิจอะไรซักอย่างถูกต้องไหมครับ
แต่สำหรับผมแล้วเจมส์ บอนด์ เป็นหนังที่ผมรักแล้วก็ติดตามมานานน่าจะเป็น 20 ปีได้ และแน่นอนครับ แดนเนียล เคร๊ก ก็เป็นนักแสดงคนหนึ่งที่หลายๆ คนรวมทั้งตัวผมเองต่างก็ปรามาสตั้งแต่แรก ว่าเค้าดูไม่ค่อยเหมาะสมที่จะเป็นเจมส์ บอนด์ เลย แต่ ณ ตอนนี้เค้าก็ได้พิสูจน์ให้คนทั้งโลกเห็นแล้วว่า เค้าเป็นหนึ่งในเจมส์ บอนด์ ดีที่สุดเสียด้วยซ้ำ แล้วก็ตอนนี้ภาพยนตร์ภาคจบตำนานของเจมส์ บอนด์ แบบฉบับของ แดเนียล เคร๊ก ที่ดำเนินมากว่า 15 ปี ตั้งแต่ Casino Royale , Quantum of Solace , Skyfall , Spectre ก็มาถึงกับภาพยนตร์ที่ชื่อว่า No Time To Die ครับ
สำหรับ No Time To Die ผมว่าแบ่งออกเป็น 2 แนวคิดนะครับก็ คือคนที่เป็นติ่งเจมส์ บอนด์ แบบผมเนี่ยขณะที่ดูไปนั้นก็ชอบการที่ผู้กำกับคนนี้ที่เป็นชาวอเมริกันคนแรกที่ได้กำกับภาพยนตร์ชุดเจมส์ บอนด์ ได้นำเอาองค์ประกอบหรือว่า Easter Egg จากเจมส์ บอนด์ ภาคเก่าๆ ตั้งแต่ยุคสมัยของ Sean Connery , Roger More และนักแสดงคนอื่นๆ เอามาแทรกอยู่ข้างในหนังอยู่เรื่อยๆ ทำให้ขณะที่ผมดูไปรู้สึกว่าผมใจฟูขึ้นทุกครั้งที่ได้เห็นอะไรที่เราเคยเห็นมาก่อนนะครับ ดูสักพักก็แบบเฮ้ยภาพนี้เคยมีแบบนี้ เฮ้ยภาคนี้เคยมีแบบนั้น ซึ่งมันเป็นสิ่งที่เราหลงรักมาตั้งนานแล้วการดำเนินเรื่องก็ได้เห็นมุมมองในมิติหลายๆ อย่างครับผม
สิ่งที่ต้องชมมากๆ อย่างแรกก็คือการแสดงของแดเนียล เคร๊ก ในภาคนี้ครับ รู้สึกว่านอกจากจะเป็นพ่อหนุ่มเลือดร้อน มุทะลุดุดัน ชอบต่อยตีก็กลับมากลายเป็นนักแสดงที่ใช้ซีนอารมณ์ได้ดี ตามอายุตามวัยที่มากขึ้นดูสุขุมมากขึ้น รู้สึกว่า เออ....นี่แหละคำว่านักแสดงมืออาชีพนะครับ เฮ้ยยยย ตาลุงเคร๊ก ก็แสดงเก่งไม่น้อยทั้งสีหน้าแววตาและอารมณ์
เรื่องที่ต้องชมต่อมา นั้นก็คือภาพและกลิ่นอายของการนำเสนอครับ ผมว่างานภาพน่ะสวยมากๆ เลยมีมุมกล้องและจังหวะการเล่าเรื่องที่แปลกออกไปจากฉบับของแดนเนียล เคร๊ก ภาค อื่นๆ แต่มันก็เหมือนเจมส์ บอนด์ ยุคเก่า ที่เราเคยติดตามมาเป็นหลายสิบปี ซึ่งมันดูมีมนต์เสน่ห์ของมัน แล้วก็คิดในใจบอกว่านี่แหละเจมส์ บอนด์ ที่ฉันเคยรู้จัก (ไม่ได้หมายถึงว่ายุค ของแดนเนียล เคร๊ก ไม่ดีนะครับแค่เหมือนเรากลับไปเจอเพื่อนเก่าบรรยากาศเก่าๆ ที่เราเคยผูกพันมาก็เท่านั้นเอง)
ต่อเนื่องจากเรื่องของภาพครับผมว่าเป็นมาตรฐานของเจมส์ บอนด์ นะครับที่มักจะไปถ่ายโลเคชั่นสวยๆ มุมมองสุดลูกหูลูกตา จะทำให้เราเหมือนได้ไปเที่ยวด้วยกับทีมงาน ซึ่งในภาคนี้ก็ไม่ได้ลดมาตรฐานลงเลย แต่ก็ดูสวยมากยิ่งขึ้นและยังตื่นตามากขึ้นกว่าที่เราเคยเห็นในภาคก่อนๆ เสียด้วยซ้ำครับ
เอาละชมมาก็เยอะแล้ว ผมว่าเราลองมองในด้านของคนที่ไม่ใช่ติ่งเจมส์ บอนด์ อย่างผมบ้างดีกว่า ด้วยตัวเรื่องที่มีความยาว 2 ชม. 43 นาที มันทำให้เป็นภาพยนตร์เจมส์ บอนด์ ที่ยาวที่สุดเท่าที่เคยทำมา แน่นอนครับ ด้วยความยาวขนาดนี้มันก็ต้องมีจังหวะที่ดูยืดเยื้อ แล้วก็ช้าลงบ้าง เลยทำให้คนที่ไม่ได้อินเท่าไหร่ รู้สึกง่วงแล้วก็เบื่อขึ้นมาเหมือนกันครับ ยิ่งเวลาที่เห็น Easter Egg เค้าอาจจะไม่รู้ แล้วผมว่าคนที่เค้าดูก็น่าจะรู้สึกเฉยๆ แล้วก็บอกว่า อ๋อ.....มันก็สวยดีไม่ได้รู้สึกว่าอินแล้วก็ใจฟูเหมือนผม ประมานนั้นนะครับ
ส่วนเรื่ององค์ประกอบอื่นๆ อย่างเช่นนักแสดงหน้าเก่าหน้าใหม่ ที่เข้ามาผมว่าแต่ละคนได้แสดงบทบาทออกมาดีนะครับ แต่ว่าบางคนกว่าจะออกมาน้อยไปนิดหนึ่ง ซึ่งรู้สึกว่า เออ....แฮะ นึกว่าจะได้เห็นมากกว่านี้ อะไรประมาณนี้ครับส่วนตัวร้ายก็รู้สึกว่าโปรเจคที่พี่แกทำ ใหญ่ซะขนาดนี้ ก็น่าจะมีอะไรมากกว่านี้หน่อยประมาณนั้นนะครับ
บทสรุปของ No Time To Die ถ้าในมุมมองของคนที่ติดตามเจมส์ บอนด์ มาโดยตลอดผมว่าเป็นภาคจบที่ดูสมศักศรีของการเป็นนักแสดงเจมส์ บอนด์ ของ แดเนี ยล เคร๊ก มาตลอด 15 ปี ครับ ทุกสิ่งทุกอย่างก็ได้มีการเล่าแล้วก็ได้เฉลยและคลายปมออกให้หมด แล้วก็เป็นการจบที่น่าจดจำแล้ว แล้วก็รู้สึกทรงพลังยังไงก็ไม่รู้แฮะ ก็ทำให้เรารู้สึกว่า เออนี่แหละ มันก็คือสมบูรณ์แบบแล้วในสิ่งที่จะเป็นไปได้ ซึ่งผมว่ามันเป็นสุดยอดอีกเรื่องหนึ่งเลยครับ ถ้ารู้สึกว่าตอนจบของเรื่อง สำหรับคนที่ผูกพันธ์และติดตามเจมส์ บอนด์ ฉบับของแดนเนียล เคร๊ก มาโดยตลอด ไม่ได้ผูกพันธ์หรือกินใจ ประทับใจ กระชากใจ คนดูแล้วก็ ผมให้ยันหน้าเลยอ่ะ 😅
แต่ถ้าหากว่ามองแบบคนทั่วไปผมว่ามันก็เป็นหนังที่มีมิติในการเล่าเรื่อง การนำเสนอที่น่าสนใจนะครับ รวมถึงเป็นหนังที่มีภาพสวยๆ ให้เราได้ดูแล้วก็ความสามารถของนักแสดง ที่สื่อออกมาผมว่าทำได้ยอดเยี่ยมเลยทีเดียว แต่ก็อาจจะเบื่อๆ บ้างสำหรับเนื้อหาแล้วก็ระยะเวลาที่ค่อนข้างจะยาวนานครับผม แต่ผมว่ามันก็คงจะไม่ขนาดกับน่าเบื่อหรือไม่มีจุดให้เราจับความสนใจขนาดนั้น
จากที่เล่ามาทั้งหมดนั่นแหละค่ะก็อดไม่ได้ที่จะให้คะแนนในเรื่อง No Time To Die เอาไปเลย 10 เต็ม 10 ครับ ถึงแม้ว่าจะเป็นภาพยนตร์ที่ยอดเยี่ยมมากแค่ไหนก็ตาม แต่ส่วนตัวแล้ว Casino Royale ก็ยังเป็นหนึ่งในใจของผมเสมอแน่นอนครับ แต่ถึงกระนั้น No Time To Die ก็เป็นสองในอันดับที่ติดๆ กันเลยทีเดียว
ฝากนิดๆ ก่อนจากครับ สำหรับใครที่กังวลว่า ไม่ได้ดูภาคก่อนหน้า จะดูรู้เรื่องไหม ตอบได้เลยครับ .....ไม่ รู้ เรื่อง.... ครับ แต่ก็ไม่ได้ร้ายกาจขนาดนั้นนะ มันก็ดูรู้เรื่องเข้าใจในตัวหนังที่จะเป็นไปหละครับ แต่หากทำการบ้าน ดูภาคก่อนหน้ามาก่อน อย่างน้อยก็ Spectre (หากพ่วงกับกับ Casino Royale ด้วยจะดีมาก) ผมว่าก็เพียงพอแล้ว ครับผม
สุดท้ายขอให้ทุกคนมีความสุขกับการชมภาพยนตร์นะครับ รวมไปดูบทสรุปของเจมส์บอนด์ ฉบับ แดนเนียล เคร๊ก ด้วยกันในโรงหนังนะครับแล้วโอกาศหน้าพบกันใหม่สวัสดีครับ
ขอฝากคลิ๊ป Youtube นิดนึงครับ พึ่งหัดทำ เข้าใจว่ายังไม่ดีเท่าไหร่ แต่จะพยายามให้ดียิ่งๆ ขึ้นไปครับผม