เตือนภัยออนไลน์หลอกขาย “หน้ากากอนามัยราคาถูก

เมื่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสวิด-19 กลับมาระบาดรุนแรงอีกครั้ง ใครหลายๆ คนกำลังหวาดวิตก และมีคำถามที่ผุดขึ้นมา “เราจะติดโรคนี้มั้ย” หรือ “เราติดมันไปแล้วหรือยัง” ยิ่งคิดก็ยิ่งเครียด จึงจำเป็นต้องดูแลตัวเองด้วยการรักษาระยะห่างทางสังคม และสวมหน้ากากอนามัย ทำให้การเลือกซื้อหน้ากากอนามัย ผ่านช่องทางแพลตฟอร์มออนไลน์ ถือเป็นช่องทางที่ได้รับความนิยม จึงทำให้กลุ่มมิจฉาชีพอาศัยใช้ช่องทางแพลตฟอร์มออนไลน์เหล่านี้ ในการหลอกลวงผู้บริโภคด้วยวิธีต่างๆ เช่น พอสั่งซื้อไปแล้วกลับไม่ได้ส่งและติดต่อไม่ได้ รวมถึงสินค้าไม่มีคุณภาพ ทำให้ศูนย์เสียเงินกันไปฟรีๆ อีก

    ด้วยความห่วงใยจากสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค จึงขอแนะนำผู้บริโภคถึงวิธีการรับมือเมื่อถูกมิจฉาชีพละเมิดสิทธิ์ในการซื้อสินค้าออนไลน์ ดังนี้
     1. เตรียมหลักฐาน รวบรวมหลักฐานที่เราติดต่อกับพ่อค้าแม่ค้าไว้ทั้งหมดแล้วปริ้นท์เอกสารออกมา เช่น หน้าเว็บไซต์ที่ขายของ รูปโปรไฟล์ของร้านค้า ชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ เลขที่บัญชีของร้านค้า ข้อความในแชทที่เราพูดคุยกับพ่อค้าแม่ค้า ไม่ว่าจะเป็นการสอบถาม สั่งซื้อยืนยันการชำระเงิน ฯลฯ ที่ผ่านทางแพลตฟอร์มออนไลน์ หลักฐานการโอนเงินเข้าบัญชี เช่น สลิปการโอนเงิน ใบนำฝาก สมุดบัญชีธนาคาร
     2. แจ้งความให้นำหลักฐานทั้งหมด เข้าแจ้งความที่สถานีตำรวจในท้องที่เกิดเหตุ (สน. ที่ได้โอนเงิน) ภายใน 3 เดือน ตั้งแต่วันที่รู้ว่าถูกโกง โดยระบุว่าต้องการแจ้งความ เพื่อดำเนินคดีจนกว่าจะถึง
ที่สุด หรือจะเข้าแจ้งความที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) ที่ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ ถนนแจ้งวัฒนะ ก็ได้ ทั้งนี้ หลังจากแจ้งความแล้วพนักงานสอบสวนจะส่งหมายเลขบัญชีให้ธนาคารตรวจสอบว่า เจ้าของบัญชีเป็นใคร จากนั้นจะออกหมายเรียกเจ้าของบัญชีมาสอบปากคำก่อนจะดำเนินการ ตามกระบวนการตามกฎหมายต่อไป


     ดังนั้น ก่อนจะตัดสินใจเลือกซื้อหน้ากากอนามัยผ่านช่องทางแพลตฟอร์มออนไลน์ ควร “ฉุกคิดสักหน่อย ค่อยสั่งซื้อ” ดูรีวิวการซื้อขายสินค้าของผู้ขาย ตรวจสอบผู้ขาย และเลขบัญชีจากโซเชียลมีเดียว่ามีความน่าเชื่อถือหรือไม่ หรือสอบถามกลุ่มซื้อขายว่ามีคนถูกโกงหรือไม่ ที่สำคัญอย่างเห็นแก่ของถูก ถ้าตรวจสอบทั้งหมดทั้งมวลจนมั่นใจแล้ว จึงค่อยสั่งซื้อ และสำหรับใครที่คิดจะทำผิดเป็นมิจาชีพ จะต้องความผิดไม่ว่าจะเป็น “ฉ้อโกง”ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 โทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ “ฉ้อโกงประชาชน” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 โทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และ “พ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์” ตามมาตรา 14 (1) โทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท (มีอายุความ 10 ปี)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่