สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 1
ผมคิดว่าพวกคุณแบ่งหน้าที่งานในบ้าน นอกบ้านกันแล้ว
ไม่ควรเอาเรื่องนี้มาเป็นประเด็น
ถ้าหากคุณไม่ชอบไม่เหมาะจะเป็นแม่บ้าน full time
ทำแล้วไม่มีความสุข เหนื่อยกับมัน
คุณควรจะเลิกฝืนและกลับมาทำงาน จะจ้างคนอื่นๆใช้เงินแก้ก็ว่ากัน
คุณเหนื่อยที่จะทำงานบ้าน สามีคุณเองก็เหนื่อยที่จะต้องหาเงิน
มาเลี้ยงปากท้องทั้ง 4 ชีวิตเช่นกัน ยิ่งเป็นช่วงเศรษฐกิจแบบนี้
การที่คุณยกปัญหาบอกว่าตัวเองเหนื่อย เครียด อย่าลืมว่าสามีคุณก็มีสิ่งที่เขาต้องแบกรับเช่นกัน
ผมคิดว่าเป็นความคิดที่คิดถึงตัวเองมากเกินไปครับ
ส่วนเรื่องการเลี้ยงลูก คุณเองเคยมีปัญหามา
รวมไปถึงเรื่องที่สามีมีวิธีคิดและเลี้ยงลูกแตกต่างกับคุณ
เพื่อไม่ให้เกิดปัญหา เขาเลยไม่มายุ่งเรื่องนี้ปล่อยให้คุณจัดการ
หรือคุณเคยมีปัญหาเรื่องพวกนี้กับเขามาก่อน
เป็นเรื่องของส่วนนั้นหรือไม่ คุณเองก็ต้องกลับไปทบทวนดู
เพราะไม่มีรายละเอียดในส่วนนี้มากพอที่จะบอกได้
ไม่ควรเอาเรื่องนี้มาเป็นประเด็น
ถ้าหากคุณไม่ชอบไม่เหมาะจะเป็นแม่บ้าน full time
ทำแล้วไม่มีความสุข เหนื่อยกับมัน
คุณควรจะเลิกฝืนและกลับมาทำงาน จะจ้างคนอื่นๆใช้เงินแก้ก็ว่ากัน
คุณเหนื่อยที่จะทำงานบ้าน สามีคุณเองก็เหนื่อยที่จะต้องหาเงิน
มาเลี้ยงปากท้องทั้ง 4 ชีวิตเช่นกัน ยิ่งเป็นช่วงเศรษฐกิจแบบนี้
การที่คุณยกปัญหาบอกว่าตัวเองเหนื่อย เครียด อย่าลืมว่าสามีคุณก็มีสิ่งที่เขาต้องแบกรับเช่นกัน
ผมคิดว่าเป็นความคิดที่คิดถึงตัวเองมากเกินไปครับ
ส่วนเรื่องการเลี้ยงลูก คุณเองเคยมีปัญหามา
รวมไปถึงเรื่องที่สามีมีวิธีคิดและเลี้ยงลูกแตกต่างกับคุณ
เพื่อไม่ให้เกิดปัญหา เขาเลยไม่มายุ่งเรื่องนี้ปล่อยให้คุณจัดการ
หรือคุณเคยมีปัญหาเรื่องพวกนี้กับเขามาก่อน
เป็นเรื่องของส่วนนั้นหรือไม่ คุณเองก็ต้องกลับไปทบทวนดู
เพราะไม่มีรายละเอียดในส่วนนี้มากพอที่จะบอกได้
ความคิดเห็นที่ 22
สิ่งหนึ่งที่ไม่เข้าใจ
ทำไม ผู้ ญ บ้างคน ยอมลาออกจากงานมาเลี้ยงลูกอย่างเดียว เป็นแม่บ้านเต็มตัว เพื่ออยากดูแลลูกให้ดีที่สุด
แต่ถ้าวันใดเกิดสามีหมดรัก หรือสามีต้องจากไปก่อนเวลาอันควร มันจะลำบากมาก ถ้าสถานะทางการเงินเราไม่ดี
เป็นแม่บ้านมา 5-6 ปี กลับไปสมัครงานใหม่ เริ่มใหม่ ผมคิดว่ามันยากนะ
ถ้าชีวิตเราไม่ได้พร้อมกับความเสี่ยงด้านการเงิน ผมคิดว่าน่าจะ พยายามทำงานหรือสร้างรายได้อื่นไปด้วย
ทำไม ผู้ ญ บ้างคน ยอมลาออกจากงานมาเลี้ยงลูกอย่างเดียว เป็นแม่บ้านเต็มตัว เพื่ออยากดูแลลูกให้ดีที่สุด
แต่ถ้าวันใดเกิดสามีหมดรัก หรือสามีต้องจากไปก่อนเวลาอันควร มันจะลำบากมาก ถ้าสถานะทางการเงินเราไม่ดี
เป็นแม่บ้านมา 5-6 ปี กลับไปสมัครงานใหม่ เริ่มใหม่ ผมคิดว่ามันยากนะ
ถ้าชีวิตเราไม่ได้พร้อมกับความเสี่ยงด้านการเงิน ผมคิดว่าน่าจะ พยายามทำงานหรือสร้างรายได้อื่นไปด้วย
ความคิดเห็นที่ 26
เรื่องพวกนี้ ควรคุยก่อนมีลูก ไม่สิ ควรคุยก่อนแต่งงานมากกว่า
ทั้งเรื่องงานบ้าน การเงิน การเลี้ยงลูก
ซึ่งเราไม่เห็นคนรอบตัวเราจะคุยกันสักเท่าไหร่
มันเหมือนพอไม่มีการวางแผน ไม่มีการตกลงกัน ผู้หญิงก็หวังว่าผู้ชายจะสำนึกได้เอง
แต่มันเป็นไปไม่ได้ค่ะ ผู้ชายส่วนใหญ่ต้องบอก ต้องตกลงก่อน ไม่ใช่อยู่ๆ จะมาโวยวาย มันไม่ได้
เอาละต่อไปนี้ ในเมื่อไม่เคยคุยกันมาก่อน ตอนนี้ก็คงจะได้เวลานั่งเปิดอกคุยกันแล้ว
ลิสต์รายละเอียดงานบ้านทั้งหมด แล้วแบ่งกันทำค่ะ
เรื่องลูกก็เหมือนกัน จะให้เขาทำอะไรบ้าง ตอนกี่โมง
เขียนตารางของทั้งคู่ เอามาวางเลย แล้วก็ตกลงกันตามนั้น
ใครไม่ทำตามก็มีบทลงโทษไป เช่น ปรับเป็นเงินหรืออะไรก็ว่าไป
ทำได้ไม่ได้ค่อยว่ากันอีกที
ถ้างานบ้านไม่อยากทำ หรือทำไม่ได้ ก็จ้างแม่บ้านรายครั้งไปเลย สัปดาห์ละ 2 - 3 ครั้งก็ว่าไป
อาหาร ถ้าไม่อยากทำ หรือเหนื่อย ลองผูกปิ่นโตดู หรือซื้อมากินแทน ก็ลดความเหนื่อยลงได้เยอะค่ะ
จขกท ก็มีหน้าที่ดูลูกไปอย่างเดียว งานบ้านหรือทำอาหารไม่ต้อง
อย่างเพื่อนเราคนนึง สามีเป็นญี่ปุ่น
ก็ตกลงกันชัดเจน สามีทำงานนอกบ้าน ภรรยาทำงานบ้านกับดูลูก
โดยที่แต่ละคนต้องมี KPI ชัดเจน เหมือนทำงานเลย
การหาเงินต้องหาได้มากพอที่เมียและลูกจะไม่ลำบาก
งานบ้านก็ต้องเนี๊ยบในจุดที่ลูกไม่ได้รื้อไม่ได้ซน
ใครไม่ไหว ก็สลับหน้าที่กันทันที
ที่บ้านเรา ตอนที่พ่อแม่เราทำงานทั้งคู่ งานบ้านก็แบ่งกันทำค่ะ
ตอนที่แม่ลาออกมาเลี้ยงน้อง งานบ้านก็ยังแบ่งกันทำอยู่ดี เพราะพ่อเขาชอบทำ
ตอนที่เกษียนแล้ว พ่อก็เหมางานบ้านหนักๆ ไปทำ เช่น ตัดต้นไม้ ต้นหญ้า ซ่อมโน่นนี่ ยาแนว ฯลฯ
แม่เหลืองานบ้านเล็กๆ น้อยๆ เช่น ซักผ้า ล้างจาน ฯลฯ
สุดท้าย มันไม่มีครอบครัวไหนที่มีหน้าที่เหมือนกันหรอกค่ะ ขึ้นอยู่กับตกลงกับคู่ของตัวเองน่ะแหละ
ทั้งเรื่องงานบ้าน การเงิน การเลี้ยงลูก
ซึ่งเราไม่เห็นคนรอบตัวเราจะคุยกันสักเท่าไหร่
มันเหมือนพอไม่มีการวางแผน ไม่มีการตกลงกัน ผู้หญิงก็หวังว่าผู้ชายจะสำนึกได้เอง
แต่มันเป็นไปไม่ได้ค่ะ ผู้ชายส่วนใหญ่ต้องบอก ต้องตกลงก่อน ไม่ใช่อยู่ๆ จะมาโวยวาย มันไม่ได้
เอาละต่อไปนี้ ในเมื่อไม่เคยคุยกันมาก่อน ตอนนี้ก็คงจะได้เวลานั่งเปิดอกคุยกันแล้ว
ลิสต์รายละเอียดงานบ้านทั้งหมด แล้วแบ่งกันทำค่ะ
เรื่องลูกก็เหมือนกัน จะให้เขาทำอะไรบ้าง ตอนกี่โมง
เขียนตารางของทั้งคู่ เอามาวางเลย แล้วก็ตกลงกันตามนั้น
ใครไม่ทำตามก็มีบทลงโทษไป เช่น ปรับเป็นเงินหรืออะไรก็ว่าไป
ทำได้ไม่ได้ค่อยว่ากันอีกที
ถ้างานบ้านไม่อยากทำ หรือทำไม่ได้ ก็จ้างแม่บ้านรายครั้งไปเลย สัปดาห์ละ 2 - 3 ครั้งก็ว่าไป
อาหาร ถ้าไม่อยากทำ หรือเหนื่อย ลองผูกปิ่นโตดู หรือซื้อมากินแทน ก็ลดความเหนื่อยลงได้เยอะค่ะ
จขกท ก็มีหน้าที่ดูลูกไปอย่างเดียว งานบ้านหรือทำอาหารไม่ต้อง
อย่างเพื่อนเราคนนึง สามีเป็นญี่ปุ่น
ก็ตกลงกันชัดเจน สามีทำงานนอกบ้าน ภรรยาทำงานบ้านกับดูลูก
โดยที่แต่ละคนต้องมี KPI ชัดเจน เหมือนทำงานเลย
การหาเงินต้องหาได้มากพอที่เมียและลูกจะไม่ลำบาก
งานบ้านก็ต้องเนี๊ยบในจุดที่ลูกไม่ได้รื้อไม่ได้ซน
ใครไม่ไหว ก็สลับหน้าที่กันทันที
ที่บ้านเรา ตอนที่พ่อแม่เราทำงานทั้งคู่ งานบ้านก็แบ่งกันทำค่ะ
ตอนที่แม่ลาออกมาเลี้ยงน้อง งานบ้านก็ยังแบ่งกันทำอยู่ดี เพราะพ่อเขาชอบทำ
ตอนที่เกษียนแล้ว พ่อก็เหมางานบ้านหนักๆ ไปทำ เช่น ตัดต้นไม้ ต้นหญ้า ซ่อมโน่นนี่ ยาแนว ฯลฯ
แม่เหลืองานบ้านเล็กๆ น้อยๆ เช่น ซักผ้า ล้างจาน ฯลฯ
สุดท้าย มันไม่มีครอบครัวไหนที่มีหน้าที่เหมือนกันหรอกค่ะ ขึ้นอยู่กับตกลงกับคู่ของตัวเองน่ะแหละ
แสดงความคิดเห็น
****สามีแบบนี้โอเคไหม เราเริ่มรู้สึกไม่มีความสุข***
ความเหนื่อยล้ามันเพิ่มทวีคูณ ช่วงลอคดาวน์โควิด สามี work from home ลูกเรียนออนไลน์
สามีจะเป็นคนไม่ทำงานบ้าน ต้องบอกให้ช่วยซึ่งก็ช่วยได้ไม่มาก ไม่บอกไม่ทำ ทำก็เป็นงานเล็กน้อย เช่นล้างจาน
แต่จะคนไปซื้อของข้างนอก ว่างคือ เล่นเกม ดูหนัง
เราทำงานบ้านหลักทุกอย่าง ขัดห้องน้ำ กวาดถูบ้านทั้งหลัง เตรียมอาหาร และไม่เคยมีเวลาว่างขนาดที่จะได้นั่งทำอะไรยาวๆ
เช่น ดูหนังเลย 8 ปีมาแล้ว หนำซ้ำยังต้องเป็นคนตามงาน คอยติวลูกคนโตเวลาเรียน เวลาสอบ ดูลูกคนเล็กด้วย
ประเด็นคือ เรารู้สึกว่าสามีเฉื่อยชา ไม่ค่อยเป็นผู้นำ ไม่คิดสร้างสรรค์ช่วยวางแผนในชีวิตประจำวัน เช่นการจัดการลูก
การดูแลบ้าน เหมือนรอให้เราสั่ง ให้เราเป็นคนกำหนดทุกอย่างเว้นเรื่องของเขา
เช่น ลูกจะกินข้าวตอนไหน จะอาบน้ำตอนไหน จะทำการบ้านตอนไหน เขาจะเล่นเกมรอ ดูหนังรอ ในขณะที่เราทำงานบ้านยังไม่ได้หยุด
ต้องออกมาบอกลูกว่า ไปอาบน้ำ กินข้าวได้แล้ว ทำการบ้านให้เสร็จ
ซึ่งเราทำงานบ้านหลายอย่าง เราไม่มีเวลาประกบลูกได้ตลอดเวลาทำการบ้าน แต่จะมาตรวจเป็นระยะ
ในขณะที่สามีเรานั่งดูหนังใกล้ๆลูก แต่ก็ไม่ไปดูไปกระตุ้นให้ลูกทำให้เสร็จ เหมือนคนไม่เดือดร้อนว่าลูกจะทำเสร็จไหม ลูกมีงานค้างอะไร
คือไม่เคยถาม ไม่เคยเปิด classroom ลูกดูว่ามีงานอะไร เหมือนลอยตัวว่า เดี๋ยวเราก็จัดการดูแลเอง
เรื่องเงินตอนนี้ยังไม่มีปัญหา เขาให้เราตามอัตภาพที่เขาหาได้ ไม่ได้รวยแต่ไม่มีหนี้
แต่ยังไม่มีบ้าน เขาบอกยังตังค์ไม่พอ ถ้าซื้อการเงินจะลำบาก อยู่แบบนี้กินใช้จะไม่ลำบาก
สามีไม่กินเหล้า สูบบุหรี่ ไม่เคยมีเรื่องผู้หญิง
เราเห็นสามีเพื่อนๆ ดูเป็นผู้นำ สร้างสรรค์อะไรใหม่ๆ วางแผน จัดการอะไรให้ลูกให้ครอบครัว ก็รู้สึกว่า
ทำไม สามีเราเหมือนเด็กๆ แค่ทำงานเป็นหลักอย่างเดียว เรื่องอื่นๆที่ควรต้องคิดต้องจัดการเพิ่มขึ้น เมื่อเรามีภาระเพิ่มขึ้นมาเช่นเรื่องลูก
กลับปล่อยเรื่อยๆเปื่อยๆ ไม่ช่วยฝึกวินัย ฝึกความรับผิดชอบ อะไรให้ลูก อยู่แบบเหมือนตัวเองยังเป็นวัยรุ่นชิลๆ
หรือเราคาดหวังมากเกินไป แต่เรารู้สึกว่าชีวิตคนอื่นเหมือนเดินไปข้างหน้ากัน ทำไมชีวิตเราย่ำอยู่กับที่ แต่ละวันที่ผ่านไปเราเหนื่อยล้ากับชีวิตแม่บ้าน full time ที่เหมือนคิดไปคนละทางกับสามี