Lost in Paradise
“ตัวตนของฉันไม่ว่าจะอยู่ในโลกใบไหน ต่างก็สลายหายไป กลายเป็นแค่สิ่งสมมติไปเสียแล้ว”
นกสีเหลืองอ่อนเกาะอยู่บนกิ่งไม้ก่อนจะทะยานตัวขึ้นโผบินผ่านมวลแมกไม้ในป่าโปร่งที่กำลังโยกไสวล้อไปตามสายลม เงาดำร่อนผ่านทุ่งหญ้าเขียวขจีอันมีดอกไม้หลากหลายสีดูสดใสขึ้นแซมอยู่อย่างละลานตาบนเนินเขา ทิวเขาสูงทอดตัวตั้งตระหง่านไปตามทางราวกับระลอกคลื่นที่ถูกแช่แข็งโดยกาลเวลา แอ่งกลางหุบเขาบรรจุทะเลสาบสีเขียวมรกตกว้างใหญ่ไพศาลซึ่งช่วยเติมเต็มให้ภาพฉากธรรมชาติสมบูรณ์งดงามไร้ที่ติ
นกน้อยร่อนตัวลงเกาะบนกิ่งไม้ที่ยื่นขยายออกมาจากต้นไม้สูงใหญ่ซึ่งกำลังให้ร่มเงาเย็นสบายแก่สรรพสิ่งเบื้องล่างราวกับชายชราผู้เอื้ออาทร ทุ่งดอกไม้ห่างออกไปอยู่ไม่ไกล กลิ่นหอมของมวลดอกไม้อันแสนอ่อนหวานลอยอ้อยอิ่งไปตามสายลมเอื่อยๆ ท่ามกลางแสงแดดอ่อนๆ ยามเช้า อากาศบริสุทธิ์แผ่ความเย็นสบายให้สรรพชีวิตรอบๆ สายลมบางเบาเคล้าคลอล้อให้ดอกไม้สั่นไหวน้อยๆ ไปตามแรงลมอันอ่อนโยน
นิ้วมือเรียวค่อยๆ ละเลียดสัมผัสดอกไม้สีขาวดอกหนึ่งที่ชูช่อเบ่งบานสดใสท่ามกลางหมู่มวลดอกไม้หลากสี เธอเริ่มต้นสัมผัสก้านดอกสีเขียวสด ไล้ไปยังใบเขียวเข้มเรียวยาว แวะจับตุ่มดอกเล็กที่ยังคงตูมอยู่ ก่อนจะเด็ดดึงเอาดอกไม้สีขาวกำลังบานสะพรั่ง เกสรเล็กๆ ด้านในสั่นไหวน้อยๆ ราวกับกำลังประท้วงด้วยแรงน้อยนิดที่มี
“ทำอะไรนะ”
ดอกไม้ในมือที่ถูกเด็ดสั่นไหว เช่นเดียวกับผู้ที่เด็ดมัน ทั้งๆ ที่การเด็ดดอกไม้สักดอกไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ทำไมเธอต้องรู้สึกผิดด้วย
“ก็แค่เด็ดดอกไม้ไง ทำน้ำเสียงแบบนั้นทำไมกันเล่า”
เอลิน พยายามทำท่าทางสบายๆ กลบเกลื่อนความรู้สึกผิดที่ต้องทำให้ดอกไม้บอบบางแสนสวยดอกนั้นต้องถูกพรากจากลำต้น
“ไม่ใช่ว่ามีแผนอะไรในใจเหรอกหรือ” เลย่าจ้องมองกิริยาท่าทางของเพื่อนสาวของเธออย่างสงบ น้ำเสียงของเลย่าแช่มชื่นอย่างที่เป็นมาเสมอ
ที่นี่คือสถานที่ที่ผู้คนเรียกกันว่า สรวงสวรรค์
ที่นี่ทุกอย่างสมบูรณ์ไร้ที่ติด้วยตัวของมันเอง ไม่มีสิ่งใดทนทุกข์ ไม่มีสิ่งใดจะต้องตาย ทุกอย่างที่อยู่ที่นี่จะดำรงอยู่ตลอดไป หากไม่มีผู้ใดประสงค์ร้ายต่อมัน ดั่งเช่น ดอกไม้ดอกนั้นที่คงจะเบ่งบานสวยงามและส่งกลิ่นหอมไปนานแสนนาน หากว่าเอลินไม่ตั้งใจไปเด็ดพรากมันออกจากลำต้น
“ฉันน่ะ จะลงไปที่โลกมนุษย์” เอลินมองหน้าเลย่าด้วยสีหน้าเด็ดเดี่ยว ในมือยังถือกำดอกไม้นั้นไว้แน่น
“ที่นี่ไม่ใช่ที่ของฉัน เธอก็รู้”
ทำไม อะไรๆ ที่นี่ดูสมบูรณ์แบบไร้ที่ติไปเสียหมด ทว่ากลับรู้สึกเหมือนตัวตนของเธอตกหล่นหายไปอยู่ที่ไหนสักที่
การที่เราไม่มีตัวตน ไม่มีอัตตา มันก็เป็นเรื่องที่ดีนี่หน่า ทำไมเธอยังไม่รู้สึกดีขึ้น ทั้งๆ ที่จำเป็นต้องรู้สึกดี เอลินได้กลิ่นบางสิ่งผิดปกติในตัวของเธอ ไม่ใช่ในร่างกายของเธอ หากเป็นความรู้สึกลึกซึ้งที่ซ่อนอยู่ในก้นบึ้งของหัวใจ สมองของเธอยังคงประมวลผลได้อย่างยอดเยี่ยมสมบูรณ์แบบ ดั่งเช่นสิ่งอื่นๆ ที่ดำรงอยู่ ณ ที่นี้ แต่ลึกๆ ลงไปในจุดใดจุดหนึ่งของสมองมีบางอย่างขาดหายไปจริงๆ อะไรบางอย่างที่ทำให้ข้างในตัวกลวงโบ๋ สิ่งสิ่งนั้น ทำให้ตัวเธอยังไม่สมบูรณ์
จริงสิ ถ้าอย่างนั้น ที่นี่ สวรรค์แห่งนี้ก็ยังไม่อาจเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบได้อย่างแท้จริง หลักฐานก็คือ การมีอยู่ของเธอ ผู้ซึ่งไม่สมบูรณ์แบบ ยิ่งกว่าสิ่งใดๆ ณ ที่แห่งนี้
เธอจะต้องละทิ้งความสมบูรณ์แบบบนสวรรค์แห่งนี้ แล้วกระโจนเข้าสู่อีกโลกหนึ่ง โลกที่ยังไม่สมบูรณ์ บางทีโลกนั้น อาจมีคำตอบมาเติมเต็มตัวตนของเธอ
“กำลังคิดเรื่องการอวตารลงไปเป็นมนุษย์จริงๆ เลยน่ะหรือ” เลย่าพยายามทำหน้าประหลาดใจ ซึ่งเอลินดูออกว่าเธอไม่ได้ประหลาดใจจริงๆ ด้วยน้ำเสียงของเลย่ายังคงราบเรียบ เลย่าจ้องลึกเข้าไปดวงตาของเอลินราวกับกำลังรุกล้ำเข้าไปในจิตใจของเธอแล้วรื้อค้นเข้าไปในทุกซอกทุกมุมในหัวใจอันอ้างว้างของเอลิน
เลย่ารู้อย่างลึกซึ้งว่าเอลินไม่มีทางจะอวตารลงไปยังโลกมนุษย์ด้วยการใช้แค่จิตสำนึกเพื่อการสำรวจเท่านั้น การอวตารแบบจิตสำนึกจะทำให้เอลินไม่มีร่างกายจริงๆ เธอจะกลายเป็นจิตสำนึกที่ล่องลอยอยู่ในโลกมนุษย์เท่านั้น ทั้งๆ ที่จริงแล้ว การใช้แค่จิตสำนึกนั้น ทำให้เธอมีอำนาจพิเศษที่ช่วยให้การสำรวจโลกมนุษย์ของเธอทำได้ง่ายดายกว่ามาก เพราะเธอสามารถใช้พลังอำนาจที่เหล่ามนุษย์เรียกกันว่า อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ มาใช้เปลี่ยนแปลงความจริงได้ แต่การอวตารลงไปแบบที่มีร่างกายจริงๆ ที่เอลินต้องการนั้น จะทำให้เธอดำรงอยู่ในโลกนั้นเสมือนเป็นมนุษย์จริงๆ เธอจะไม่มีพลังอำนาจพิเศษหรืออภิสิทธิ์ใดๆ เกินกว่ามนุษย์ปกติเลย
“ก็ใช่น่ะสิ คิดแล้วก็รู้สึกมีพลังชีวิตขึ้นมาแล้วละ” ดวงตาของเอลินเป็นประกายสดใส สำเนียงการพูดบริสุทธิ์ราวกับเด็กน้อยที่ยังไม่รู้ประสาดี
“อยู่ที่นี่มันไม่มีพลังชีวิตตรงไหนกัน เราก็ต่างมีพลังชีวิตกันทั้งนั้น” น้ำเสียงของเลย่าแห้งแล้ง ด้วยพยายามอภิปรายหัวข้อนี้กับเอลินหลายครั้งแล้ว ซึ่งแน่นอนไม่เคยได้ผล เพื่อนของเธอไม่เคยเข้าใจ
“ฉันน่ะ…อยู่ที่นี่แล้ว…เหมือนว่าตัวเองตายลงซ้ำไปซ้ำมา ทั้งๆ ที่ไม่มีวันตาย”
สวรรค์ก็แค่นรกที่อ่อนโยนสำหรับเธอ เอลินได้ยินเสียงอันสั่นเครือของตัวเธอเองดังก้องอยู่ในหัว เธอมองไปยังเลย่าราวกับกำลังขอความกรุณา เธอเห็นเลย่ายิ้มออกมาอย่างเศร้าๆ ความเศร้าบนใบหน้านั้นไม่เคยมีอยู่จริง เลย่าแค่ปั้นหน้า เธอไม่เคยเศร้า เอลินรับรู้ได้
เอลินไม่อาจเข้าใจได้อย่างชัดเจนว่าแท้จริงแล้วเลย่ารู้สึกยังไงกับความทุกข์ของเธอ บางครั้งก็รู้สึกว่าเลย่าเป็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ไม่เหมือนกับเธอ ราวกับว่าเราเป็นมนุษย์คนละสปีชีส์ที่คุยกันรู้เรื่องแต่ไม่เข้าใจกัน เหมือนมีม่านหมอกบางๆ อยู่ตรงกลาง พอจะมองเห็นรางๆ แต่ไม่ว่าจะพยายามเพ่งพิศพิจารณาไปสักเท่าไร สิ่งสิ่งนั้นก็ไม่อาจปรากฏเด่นชัดขึ้นมาได้
อย่าว่าแต่จะเข้าใจเลย่าที่เป็นคนอื่นเลย บางครั้งแม้แต่ตัวเธอเองไม่อาจเข้าใจในสิ่งที่ตัวเองได้พูดออกมา ถ้าพวกเธอเป็นสิ่งที่สมบูรณ์แบบ เราจะต้องตามหาสิ่งที่ไม่สมบูรณ์แบบนั้นกันทำไม ตกลงแล้วความพยายามเป็นสิ่งที่สมบูรณ์ หรือความพยายามตามหาสิ่งที่ไม่สมบูรณ์ อย่างไหนคือสิ่งที่ถูกต้องกันแน่
**********
มีต่อข้อความข้างล่าง
*~Lost in Paradise~* ตอนที่ 1
นกน้อยร่อนตัวลงเกาะบนกิ่งไม้ที่ยื่นขยายออกมาจากต้นไม้สูงใหญ่ซึ่งกำลังให้ร่มเงาเย็นสบายแก่สรรพสิ่งเบื้องล่างราวกับชายชราผู้เอื้ออาทร ทุ่งดอกไม้ห่างออกไปอยู่ไม่ไกล กลิ่นหอมของมวลดอกไม้อันแสนอ่อนหวานลอยอ้อยอิ่งไปตามสายลมเอื่อยๆ ท่ามกลางแสงแดดอ่อนๆ ยามเช้า อากาศบริสุทธิ์แผ่ความเย็นสบายให้สรรพชีวิตรอบๆ สายลมบางเบาเคล้าคลอล้อให้ดอกไม้สั่นไหวน้อยๆ ไปตามแรงลมอันอ่อนโยน
นิ้วมือเรียวค่อยๆ ละเลียดสัมผัสดอกไม้สีขาวดอกหนึ่งที่ชูช่อเบ่งบานสดใสท่ามกลางหมู่มวลดอกไม้หลากสี เธอเริ่มต้นสัมผัสก้านดอกสีเขียวสด ไล้ไปยังใบเขียวเข้มเรียวยาว แวะจับตุ่มดอกเล็กที่ยังคงตูมอยู่ ก่อนจะเด็ดดึงเอาดอกไม้สีขาวกำลังบานสะพรั่ง เกสรเล็กๆ ด้านในสั่นไหวน้อยๆ ราวกับกำลังประท้วงด้วยแรงน้อยนิดที่มี
“ทำอะไรนะ”
ดอกไม้ในมือที่ถูกเด็ดสั่นไหว เช่นเดียวกับผู้ที่เด็ดมัน ทั้งๆ ที่การเด็ดดอกไม้สักดอกไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ทำไมเธอต้องรู้สึกผิดด้วย
“ก็แค่เด็ดดอกไม้ไง ทำน้ำเสียงแบบนั้นทำไมกันเล่า”
เอลิน พยายามทำท่าทางสบายๆ กลบเกลื่อนความรู้สึกผิดที่ต้องทำให้ดอกไม้บอบบางแสนสวยดอกนั้นต้องถูกพรากจากลำต้น
“ไม่ใช่ว่ามีแผนอะไรในใจเหรอกหรือ” เลย่าจ้องมองกิริยาท่าทางของเพื่อนสาวของเธออย่างสงบ น้ำเสียงของเลย่าแช่มชื่นอย่างที่เป็นมาเสมอ
ที่นี่คือสถานที่ที่ผู้คนเรียกกันว่า สรวงสวรรค์
ที่นี่ทุกอย่างสมบูรณ์ไร้ที่ติด้วยตัวของมันเอง ไม่มีสิ่งใดทนทุกข์ ไม่มีสิ่งใดจะต้องตาย ทุกอย่างที่อยู่ที่นี่จะดำรงอยู่ตลอดไป หากไม่มีผู้ใดประสงค์ร้ายต่อมัน ดั่งเช่น ดอกไม้ดอกนั้นที่คงจะเบ่งบานสวยงามและส่งกลิ่นหอมไปนานแสนนาน หากว่าเอลินไม่ตั้งใจไปเด็ดพรากมันออกจากลำต้น
“ฉันน่ะ จะลงไปที่โลกมนุษย์” เอลินมองหน้าเลย่าด้วยสีหน้าเด็ดเดี่ยว ในมือยังถือกำดอกไม้นั้นไว้แน่น
“ที่นี่ไม่ใช่ที่ของฉัน เธอก็รู้”
ทำไม อะไรๆ ที่นี่ดูสมบูรณ์แบบไร้ที่ติไปเสียหมด ทว่ากลับรู้สึกเหมือนตัวตนของเธอตกหล่นหายไปอยู่ที่ไหนสักที่
การที่เราไม่มีตัวตน ไม่มีอัตตา มันก็เป็นเรื่องที่ดีนี่หน่า ทำไมเธอยังไม่รู้สึกดีขึ้น ทั้งๆ ที่จำเป็นต้องรู้สึกดี เอลินได้กลิ่นบางสิ่งผิดปกติในตัวของเธอ ไม่ใช่ในร่างกายของเธอ หากเป็นความรู้สึกลึกซึ้งที่ซ่อนอยู่ในก้นบึ้งของหัวใจ สมองของเธอยังคงประมวลผลได้อย่างยอดเยี่ยมสมบูรณ์แบบ ดั่งเช่นสิ่งอื่นๆ ที่ดำรงอยู่ ณ ที่นี้ แต่ลึกๆ ลงไปในจุดใดจุดหนึ่งของสมองมีบางอย่างขาดหายไปจริงๆ อะไรบางอย่างที่ทำให้ข้างในตัวกลวงโบ๋ สิ่งสิ่งนั้น ทำให้ตัวเธอยังไม่สมบูรณ์
จริงสิ ถ้าอย่างนั้น ที่นี่ สวรรค์แห่งนี้ก็ยังไม่อาจเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบได้อย่างแท้จริง หลักฐานก็คือ การมีอยู่ของเธอ ผู้ซึ่งไม่สมบูรณ์แบบ ยิ่งกว่าสิ่งใดๆ ณ ที่แห่งนี้
เธอจะต้องละทิ้งความสมบูรณ์แบบบนสวรรค์แห่งนี้ แล้วกระโจนเข้าสู่อีกโลกหนึ่ง โลกที่ยังไม่สมบูรณ์ บางทีโลกนั้น อาจมีคำตอบมาเติมเต็มตัวตนของเธอ
“กำลังคิดเรื่องการอวตารลงไปเป็นมนุษย์จริงๆ เลยน่ะหรือ” เลย่าพยายามทำหน้าประหลาดใจ ซึ่งเอลินดูออกว่าเธอไม่ได้ประหลาดใจจริงๆ ด้วยน้ำเสียงของเลย่ายังคงราบเรียบ เลย่าจ้องลึกเข้าไปดวงตาของเอลินราวกับกำลังรุกล้ำเข้าไปในจิตใจของเธอแล้วรื้อค้นเข้าไปในทุกซอกทุกมุมในหัวใจอันอ้างว้างของเอลิน
เลย่ารู้อย่างลึกซึ้งว่าเอลินไม่มีทางจะอวตารลงไปยังโลกมนุษย์ด้วยการใช้แค่จิตสำนึกเพื่อการสำรวจเท่านั้น การอวตารแบบจิตสำนึกจะทำให้เอลินไม่มีร่างกายจริงๆ เธอจะกลายเป็นจิตสำนึกที่ล่องลอยอยู่ในโลกมนุษย์เท่านั้น ทั้งๆ ที่จริงแล้ว การใช้แค่จิตสำนึกนั้น ทำให้เธอมีอำนาจพิเศษที่ช่วยให้การสำรวจโลกมนุษย์ของเธอทำได้ง่ายดายกว่ามาก เพราะเธอสามารถใช้พลังอำนาจที่เหล่ามนุษย์เรียกกันว่า อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ มาใช้เปลี่ยนแปลงความจริงได้ แต่การอวตารลงไปแบบที่มีร่างกายจริงๆ ที่เอลินต้องการนั้น จะทำให้เธอดำรงอยู่ในโลกนั้นเสมือนเป็นมนุษย์จริงๆ เธอจะไม่มีพลังอำนาจพิเศษหรืออภิสิทธิ์ใดๆ เกินกว่ามนุษย์ปกติเลย
“ก็ใช่น่ะสิ คิดแล้วก็รู้สึกมีพลังชีวิตขึ้นมาแล้วละ” ดวงตาของเอลินเป็นประกายสดใส สำเนียงการพูดบริสุทธิ์ราวกับเด็กน้อยที่ยังไม่รู้ประสาดี
“อยู่ที่นี่มันไม่มีพลังชีวิตตรงไหนกัน เราก็ต่างมีพลังชีวิตกันทั้งนั้น” น้ำเสียงของเลย่าแห้งแล้ง ด้วยพยายามอภิปรายหัวข้อนี้กับเอลินหลายครั้งแล้ว ซึ่งแน่นอนไม่เคยได้ผล เพื่อนของเธอไม่เคยเข้าใจ
“ฉันน่ะ…อยู่ที่นี่แล้ว…เหมือนว่าตัวเองตายลงซ้ำไปซ้ำมา ทั้งๆ ที่ไม่มีวันตาย”
สวรรค์ก็แค่นรกที่อ่อนโยนสำหรับเธอ เอลินได้ยินเสียงอันสั่นเครือของตัวเธอเองดังก้องอยู่ในหัว เธอมองไปยังเลย่าราวกับกำลังขอความกรุณา เธอเห็นเลย่ายิ้มออกมาอย่างเศร้าๆ ความเศร้าบนใบหน้านั้นไม่เคยมีอยู่จริง เลย่าแค่ปั้นหน้า เธอไม่เคยเศร้า เอลินรับรู้ได้
เอลินไม่อาจเข้าใจได้อย่างชัดเจนว่าแท้จริงแล้วเลย่ารู้สึกยังไงกับความทุกข์ของเธอ บางครั้งก็รู้สึกว่าเลย่าเป็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ไม่เหมือนกับเธอ ราวกับว่าเราเป็นมนุษย์คนละสปีชีส์ที่คุยกันรู้เรื่องแต่ไม่เข้าใจกัน เหมือนมีม่านหมอกบางๆ อยู่ตรงกลาง พอจะมองเห็นรางๆ แต่ไม่ว่าจะพยายามเพ่งพิศพิจารณาไปสักเท่าไร สิ่งสิ่งนั้นก็ไม่อาจปรากฏเด่นชัดขึ้นมาได้
อย่าว่าแต่จะเข้าใจเลย่าที่เป็นคนอื่นเลย บางครั้งแม้แต่ตัวเธอเองไม่อาจเข้าใจในสิ่งที่ตัวเองได้พูดออกมา ถ้าพวกเธอเป็นสิ่งที่สมบูรณ์แบบ เราจะต้องตามหาสิ่งที่ไม่สมบูรณ์แบบนั้นกันทำไม ตกลงแล้วความพยายามเป็นสิ่งที่สมบูรณ์ หรือความพยายามตามหาสิ่งที่ไม่สมบูรณ์ อย่างไหนคือสิ่งที่ถูกต้องกันแน่